
(เรือ Carnival Freedom ซึ่งเป็นลำแรกที่เราได้มีวาสนาได้ทำ )
[Credit picture from google ]
ขอบคุณสำหรับเสียงตอบรับของตอนที่ 1 นะคะทุกคน ขอโทษที่ต้องให้รอนาน ทางนี้เป็นวันหยุดครอบครัว
เลยพักผ่อนซะนานเลย เอ้าๆๆมาต่อกัน ถึงไหนแล้วเนี่ย ?? ยิ่งความจำสั้นบ้าง ยาวบ้าง เฮ่ๆ เตือนๆ กันได้นะคะ
โอเค.... ทันทีที่เห็นเรือและกำลังเดินลากกระเป๋าเข้าไปใกล้ทีละเก้า..ทีละก้าวนั้น ก็แหงนหน้ามองเรือมันไปเรื่อยๆ โอ้โห!!! มันใหญ่จริงๆ แฮะ ณ ตอนนั้น เรือ Carnival Freedom เพิ่งสร้างเสร็จค่ะ เป็นลำใหม่สุดของบริษัท มีความจุทั้งผู้โดยสารและลูกเรือได้อยู่ประมาณ 4,000 คน ค่ะ 4พัน นี่มันใหญ่และคนมันเยอะกว่าหมู่บ้านหรือตึกๆ นึงเลยนะคะนี่ ตอนนั้นมัวแต่ตื่นตาตื่นใจค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลย และหน้าที่ต้องมาก่อน
หลังจากทั้งสามสาวได้ลงเรือลำใหญ่ ลำเดียวกันเป็นที่เรียบร้อย ก็มีเจ้าหน้าที่ฝรั่งผมบรอนซ์สาว มารอต้อนรับเรา อย่างที่เจ้าหน้าที่ CTI ได้บอกเราไว้ในเสียงตามสายที่เราได้คุยกันไว้ค่ะ เฮ้ออออ ถอนหายใจเฮือกที่สอง เราไม่โดนหลอกแล้ว แต่เหนื่อยและลุ้นเป็นบ้าเลย
ทันทีที่เดินเข้าไปในบริเวณของลูกเรือนั้นก็จะมีพนักงานที่เค้ามาทำงานอยู่แล้วหรือเด็กเก่าว่างั้น จ้องมองพวกเราสาวไทยอย่างกะพวกนางงามเดินแคทวอร์ค อร๊ายยย ที่ไหนได้ มองอย่างกะตัวปะหลาดละไม่ว่า555
เกิดความรู้สึกสะหยิวกิ้ว เพราะลูกกะตามันหลายคู่จริงๆ หลายสัญชาติด้วย เค้าก็มองตามประสาเด็กใหม่อะค่ะ เป็นปกติของพวกเค้าเนอะ ก็เหมือนที่พวกเราเห็นคนหล่อๆ สวยๆ เดินผ่าน (ช่างกล้าพูด!!!) เพราะคนส่วนใหญ่ในนั้น แม้จะมีพนักงานเยอะ แต่เค้าก็คุ้นหน้าคุ้นตากันบ้าง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ฝรั่งคนนั้นก็เอาเก็บ passport และเอกสารที่ทาง CTI เตรียมให้พวกเราไว้นั้น เก็บไว้กับเค้า แล้วก็อธิบายข้อมูลอะไรหลายๆ อย่างที่จำเป็นที่จะต้องรู้จักในวันแรก รวมถึงกำหนดการอบรมหรือ orientation แล้วเอากุญแจห้องให้เราค่ะ แต่เค้าจะให้พี่ๆ คนไทยที่อาสาหรือเค้าจัดแจงพาเราไปส่งที่ห้องค่ะ ถือว่าเป็นการต้อนรับที่อบอุ่นดีค่ะ เค้าคงเข้าใจความรู้สึกเราอะเนอะ ว่าจากบ้านมาไกล แต่ทุกวันนี้ไม่รู้ยังทำแบบนี้อยู่รึเปล่านะคะ เพราะมันผ่านมาจะ 10 ปีแล้วเน้อ ว้าแก่แล้วอ่ะ
แล้วที่อยู่หลับนอนล่ะเป็นยังไง ?
ในส่วนของห้องพักนั้นจะเป็นห้องที่แชร์กัน อยู่ด้วยกัน 2 คน มีเตียง 2 ชั้น อารมณ์เหมือนเด็กหอ ตู้เสื้อผ้าที่เล็กน้อยนิดแยกของใครของมัน มีโทรศัพท์ประจำห้อง ชั้นที่ว่าง, ลิ้นชักและตู้เย็นมินิบาร์จะถูกออกแบบให้ประหยัดพื้นที่ใช้สอยให้มากและลงตัวที่สุด มีห้องน้ำในตัว ระบบน้ำและการกดชักโครกด้วยแรงดันนั้นอยากจะบอกว่าดีกว่าโรงแรมหรือคอนโดบ้านเราเยอะเลย สำหรับเด็กบ้านนอกอย่างเราเลยไม่มีปัญหาเรื่องที่อยู่หลับนอน ความรู้สึกเหมือนอยู่โรงแรมแต่มันเล็กหน่อยก็แค่นั้นเอง แต่จะมีปัญหาก็เรื่องเพื่อนร่วมห้องหรือรูมเมทล่ะค่ะ เพราะคอนแทรคแรกเรายังเลือกรูมเมทไม่ได้ สามสาวเราก็ต้องแยกย้ายกันไป เค้าให้อยู่กับใครก็อยู่ไปก่อน อยู่ไปสักพักก็ค่อยยื่นเรื่องขอย้ายห้องไปอยู่กับเพื่อนที่คนที่สนิทใจกันได้ ซึ่งรูมเมทเราเป็นยายป้าชาวโรมาเนีย ที่เรียกยายป้า เพราะแกหน้าเหี้ยมมาก ไม่ยิ้มเลยและไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าไหร่ ทนอยู่ไปสักพักเลยขอย้ายไปอยู่กับเพื่อนสาวที่เรียนมาด้วยกันล่ะค่ะ ค่อยดีขึ้นมาหน่อย คอยปรับทุกข์ ช่วยเหลือ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

(ที่นอนก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ คนมาหลังจะได้อยู่ชั้นบน มันคือกฏ ที่ใครสร้างขึ้น ??)
ข้าวปลาอาหารล่ะ กินอยู่อย่างไร
เค้ามีโรงอาหารเป็นแบบบุพเฟ่ต์ให้พนักงานทานฟรีค่ะ เหมือนกับงานโรงแรมบ้านเรา ซึ่งโรงอาหารนี้เรียกว่า ครูเมส( Crew Mess) จะเปิดตลอด 24 ชม.เลย แต่จะมีอาหารคอยบริการประมาณ 3-4 มื้อหลัก เช้า-เที่ยง-เย็น และรอบดึก เพราะงานแต่ละแผนกเลิกเวลาต่างกัน ก็จะมีอาหารไว้ให้ได้ประทังชีวิตตลอด พูดซะหดหู่เลย ที่ว่าประทังชีวิตก็เพราะว่าอาหารมีเยอะค่ะ แต่บางครั้งงานมันยุ่งก็แทบจะไม่มีเวลากิน ก็กินๆ ประทังชีวิตไป แล้วพนักงานมันก็หลายสัญชาติ ทั้งอาหารแนวอินเดีย พวกแกงกะหรี่ทั้งหลาย อาหารฟิลิปปินส์ เพราะ2 ชาตินี้เยอะ อาหารฝรั่งแบบยุโรปและอเมริกัน ไทยและอาหารชาติอื่นๆ สลับสับเปลี่ยนกันไป บางอย่างเราก็ทานได้ บางอย่างก็ทานไม่ได้เพราะว่ายังไม่ชินหรือเริ่มมีการเบื่ออาหารไปตามสภาพแวดล้อม
ดีหน่อยที่เอาพริกป่น น้ำพริกไปด้วย เค้ามีน้ำปลาให้นะ เป็นอาวุธหลักกันตายดีๆ เลยนะคะเนี่ย คนไทยขาดไม่ได้ และระหว่างที่ทานข้าวก็มีพี่ๆ คนไทยแวะเข้ามาทักทาย มาพูดคุยกันบ้าง พอให้พวกเราได้สบายใจขึ้นมาหน่อยค่ะ พี่ๆ เหล่านั้นเป็นใครบ้างจำไม่ได้เลย แต่ขอบคุณมากนะคะที่คอยต้อนรับเรา

( อาหารพนักงานก็จะเป็นประมาณนี้ค่ะ สลับสับเปลี่ยนกันไป)
ทานข้าวเสร็จก็ไปอบรมพวกกฎระเบียบเรื่องความปลอดภัยและกฎต่างๆ ของเรือกันค่ะ ก็จะมีตัวแทนของแต่ละแผนกที่เกี่ยวข้องมาอธิบายและอบรมพวกเรา ซึ่งเป็นแค่เบื้องต้นเองนะ วันถัดๆ ไป ก็มีตารางอบรมอีก ยาวเหยียดเลยล่ะ วันแรกเค้าสอนแค่หอมปากหอมคอไปก่อนเพราะไม่งั้นพวกนี้จะลาออกตั้งแต่วันแรก 5555 แล้วเค้าก็ปล่อยให้แยกย้ายให้หัวหน้าแต่แผนกรับผิดชอบต่อ แผนกใครแผนกมัน ของเราแผนก F&B ก็มีพี่ Head Waiter ( หัวหน้าเด็กเสิร์ฟ) และ Assistant Maitre'D หรือผู้ช่วยผู้จัดการ มาคอยต้อนรับค่ะ จำได้ว่าตอนนั้นผู้ช่วยผู้จัดการเป็นผู้หญิงฝรั่ง สูงยาว หัวหยิก นางใจดีค่ะ แต่จำชื่อนางไม่ได้ละ จำได้ที่ก็เก่งเกิ๊น 555 อบรมของแผนกเสร็จก็ไม่นานค่ะ เค้าก็ให้ไปรับชุดพนักงานและไปพักผ่อน ตามอัธยาศัยประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ก่อนที่จะเข้าไปรายงานตัวทำงานกะแรกของชีวิตตามที่ได้รับมอบหมายค่ะ
ประมาณบ่าย 4 โมงครึ่ง งานกะแรกของเราก็เริ่มขึ้น เราทั้ง3 คนได้ไปประจำอยู่ที่ห้องอาหารของพนักงานพวกออฟฟิศและพวกมีตำแหน่ง เรียกว่า สตาฟ เมส (Staff Mess) ห้องอาหารพนักงานจะแบ่งเป็น 3 ขั้นตามตำแหน่งค่ะ คือ
- ขั้นต่ำสุด อย่างพวกเราสามคน ใช้แรงงานเป็นหลัก จะให้ทานที่ Crew Mess ค่ะ
- ขั้นที่สอง คือพวกหัวหน้าระดับเล็ก พวกทำงานออฟฟิศ พนักงานต้อนรับ จะให้ทานที่ Staff Mess
- ขั้นที่สาม คือหัวหน้าระดับสูง รวมไปถึงกัปตัน จะทานที่ห้อง Captain Mess ค่ะ
ดูเหมือนมีการแบ่งชนชั้นวรรณะบ้าง แต่ลูกเรือของบริษัทคาร์นิวัลส่วนใหญ่เป็นกันเองไม่ค่อยจะถือตัวเท่าไหร่ค่ะ แล้วบ่อยครั้งก็มีการที่หัวหน้าระะดับสูงหรือพวกเมเนจเมนท์นั้น มาทำอาหารและทานข้าวกับพนักงานชั้นต๊อกต๋อยอย่างพวกเรา ทำให้พนักงานชั้นล่างรู้สึกไม่ต้อยต่ำเกินไป อันนี้ก็เข้าใจนะคะ เค้าต้องแยกกันเป็นธรรมดาเพราะตามสวัสดิการของแต่ละตำแหน่ง ตามกฏระเบียบของบริษัท
ทำงานวันแรกล่ะ เหนื่อยและหนักมั้ย? 
มีหัวหน้ามาคอยแนะนำงานให้เราในวันแรกค่ะ แนะนำให้รู้จักเพื่อนรวมงานด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝรั่งชาวยุโรปที่จะคอยสอนงานพวกเรา หน้าที่ก็จะเป็นพวกคอยเตรียมไลน์บุพเฟต์ที่จะเปิด ไปเอาของจากครัวใหญ่มาแยก คอยทำความสะอาด คอยเติมอาหารเวลามันพร่อง และช่วยรับออเดอร์พวกอาหารร้อนที่จะต้องสั่งพิเศษกับในครัวและเอามาเสิร์ฟ แต่สำหรับ staff mess คนจะสั่งอาหารไม่ค่อยเยอะ และคอยจัดโต๊ะ แต่ไม่ต้องไปเก็บจาน เพราะพวกพนักงานเค้ากินเสร็จ เค้าก็จะเอามาเคลียร์ที่สเตชั่นเอง เราก็คอยเคลียร์สเตชั่นให้ว่างอยู่ตลอด
ฟังดูเหมือนง่ายๆ ไม่มีอะไรมาก ตอนทำงานโรงแรมอาจทำเยอะกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่มันเป็นแค่วันแรกเองค่ะ เหอะๆๆๆ อย่าพึ่งชะล่าใจนะสาวๆ งานช่วงแรกก็ง่ายๆ ก่อนค่ะ เป็นธรรมดา จะให้ก้าวกระโดดไปเลยก็ไม่ได้ เพราะเราไม่มีประสบการณ์งานเรือมาก่อน ก็ต้องเทรนแต่ขั้นเล็กๆ ไป หลังๆ ก็เริ่มเยอะและยากขึ้น
แล้วเรื่องของภาษาล่ะ จะคุยกับเค้ารู้เรื่องรึเปล่า เพราะมีประเด็นที่สนามบินกับแท๊กซี่แล้ว ?
เรื่องของการสื่อสารนั้น ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษาหลักของเกือบทุกๆ บริษัท บางบริษัทอาจจะต้องมีหลายภาษาบ้าง เช่น ภาษาสเปน อิตาเลี่ยน ฝรั่งเศส เยอรมัน และอื่นๆ แตกต่างตามบริษัทค่ะ
พวกเราก็คิดว่าภาษาอังกฤษของเราทั้งสามอยู่ในขั้นดีนะ การฟัง การพูดจา ก็ได้อยู่นะ (คิดไปเองอีกละ อิพวกนี้) แต่พอใช้กับลูกเรือที่มีหลายสัญชาตินั้น โอ้ยยอิแม่ คุยไปก็อกจะแตกตาย ฟังพวกเค้าไม่รู้เรื่องเลย บางครั้งเค้าพูดกันเร็วๆ สอนงานเรา ไอ้เราก็ได้แต่หันมองหน้ากัน แล้วถามกันว่า ไอ้นั่นมันบอกตรูว่าไรว่ะ คำอังกฤษที่ได้ใช้บ่อยมากก็คือ What? Excuse me? Pardon me? แทบจะร้องไห้เป็นภาษาพม่า (ร้องเป็นที่ไหนล่ะภาษาพม่า 555) แล้วไอ้พวกสาวๆ ยุโรปนั้นก็จะชอบทำท่าทางฟึดฟัดๆ ใส่เรา พวกนางคงคิดว่า อิพวกนี้มันไปเรียนภาษาอังกฤษมาจากไหนวะ สื่อสารอะไรก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ไอ้พวกตรูก็อยากจะถามไปเหมือนกันว่า แล้วพวกเมิงไปเรียนมาจากไหนฟระ ตรูก็ฟังเมิงไม่รู้เรื่อง 55555 ทั้งรู้สึกแย่ ทั้งรู้สึกเสียความมั้นใจ แต่ก็ยอมแพ้ไม่ได้ค่ะ สู้ต่อไป แล้วมันก็ดีขึ้นเองค่ะ เริ่มฟัง และสื่อสารกันรู้เรื่องมากขึ้น
เมาเรือกันบ้างรึเปล่า ? 
แม้ว่าเรือมันจะลำใหญ่มาก แต่ด้วยความยังไม่ชินของพวกเรา มันก็ยังเป็นปัญหาใหญ่อยู่ มันจะเริ่มมีอาหารเมาหนักเลยคือช่วงที่เรือถอดสมอ และถอยออกจากฝั่ง มีการโคลงเคลงเยอะ เล่นเอาจนพวกเราทำงานแทบจะไม่ได้ในอาทิตย์แรกๆ หัวหน้าต้องไล่กลับไปห้อง ไปกินยาแก้เมาและพักไปก่อนสักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยมาทำงานต่อ ไอ้ยาแก้เมาเรือห่อเล็กๆ ที่มี 2 เม็ด และยาหม่องยาดม กลายเป็นเพื่อนคู่ยาก ติดกระเป๋ากางเกงเล่นแบบ tripple protection การป้องกันแบบ3ต่อ ดมให้ตายกันไปข้างนึงเลย แต่หลังๆ มาก็เริ่มชินค่ะ นอกจากว่าเรือจะเจอลมมรสุมแรงๆ เรือก็จะโคลงแรงหน่อย ก็ทนกันต่อไปค่ะ พวกเราทั้งสวยถึกและบึกบึน เอิ๊กๆๆๆ
คิดถึงบ้าน คิดถึงเมืองไทยกันบ้างมั้ย ?? 
อาการคิดถึงบ้านมากหรือโฮมซิค( Homesick ) นั้น เป็นอาการที่เหมือนจะขาดไม่ได้และเป็นปัญหาใหญ่ของคนไกลบ้าน คิดถึงพ่อแม่ คนที่เรารัก ที่จากกันไปไกล และอาหารไทยที่แซ่บๆ อร่อยๆ แอบร้องไห้คิดถึงบ้านอยู่พักใหญ่เหมือนกันค่ะ แต่ก็ผ่านมันมาได้ด้วยการโทรกลับจากเรือหาแม่ หาญาติตลอด ซึ่งก็ซื้อบัตรโทรศัพท์ 20 เหรียญดอลล่าร์ โทรได้ประมาณ 1 ชั่วโมง มีอินเตอร์เนตคาเฟ่ให้ลูกเรือได้ใช้บริการด้วย ก็ 20 เหรียญเล่นได้ 1 ชม. เหมือนกัน แต่เน็ตช้ามากๆๆๆ เลยไม่ค่อยใช้เน็ตเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็ออกไปใช้บริกาอินเตอร์เนตคาเฟ่และร้านโทรศัพท์ที่อยู่แถวท่าเรือ จะราคาถูกกว่าในเรือค่ะ สมัยนั้นยังไม่มีไลน์ ไม่เฟสบุ๊คให้โทรฟรีเนอะ ลำบากกันหน่อย
แล้วเรื่องเงินเดือนล่ะ ได้รับกันยังไง ประมาณเท่าไหร่ ? 
บริษัทจะจ่ายเงินให้เราทุก ๆ 2 อาทิตย์ค่ะ ไม่ต้องนานถึงเดือน สมัยนั้นจ่ายเป็นเงินสด หลังๆ มาก็เปลี่ยนเป็นเข้าธนาคารที่ทางเรือให้เปิด แล้วกดตู้ATMเอา ได้เงินเร็วใครมีหนี้สินก็พอจะได้หมุนทัน 555 ทำงานแป๊บๆ ได้เงินละ พวกเราเองทำเสิร์ฟที่ก็จะได้ทิปบ้าง แต่เป็นทิปรวม พอจบอาทิตย์นึง ก็เอามาแจกกัน จำได้ว่าอาทิตย์แรก 47 เหรียญ เย้ๆๆๆ ดีใจเป็นบ้าเลย แต่แบ่งทิปปุ๊บ ก็มีงานลดราคาสินค้าของแบรนด์เนมที่ขายให้ลูกค้าในเรือนั้น เปิดขายและลดให้ราคาให้ลูกเรือ ไอ้เราก็ด้วยความตื่นตาตื่นใจก็ไปจัดมาเลยจ้า ครีมบำรุงของ Clinique เหลือติดตัวมา 7 เหรียญ หนทางหายนะทางการเงินได้บังเกิดแล้ว
ว้าๆๆ เขียนกำลังจะหนุก โควต้าตัวหนังสือจะหมดอีกแล้ว บอกแล้วว่า มหากาพย์จริง เดี๋ยวมีต่อ ตอนต่อไปนะคะ
ใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 คลิกตามนี้
http://pantip.com/topic/35777406 [:pig:
ตอนที่ 3 อ่านที่ลิงค์นี้
http://pantip.com/topic/35786213
ตอนที่ 4 คลิก
http://pantip.com/topic/35804121
ขอให้สนุกในการอ่านค่ะ แล้วเจอกันค่ะ
มหากาพย์ ประสบการณ์การทำงานเรือสำราญ ตอนที่ 2 มาแล้วจ้า
(เรือ Carnival Freedom ซึ่งเป็นลำแรกที่เราได้มีวาสนาได้ทำ )
[Credit picture from google ]
ขอบคุณสำหรับเสียงตอบรับของตอนที่ 1 นะคะทุกคน ขอโทษที่ต้องให้รอนาน ทางนี้เป็นวันหยุดครอบครัว
เลยพักผ่อนซะนานเลย เอ้าๆๆมาต่อกัน ถึงไหนแล้วเนี่ย ?? ยิ่งความจำสั้นบ้าง ยาวบ้าง เฮ่ๆ เตือนๆ กันได้นะคะ
โอเค.... ทันทีที่เห็นเรือและกำลังเดินลากกระเป๋าเข้าไปใกล้ทีละเก้า..ทีละก้าวนั้น ก็แหงนหน้ามองเรือมันไปเรื่อยๆ โอ้โห!!! มันใหญ่จริงๆ แฮะ ณ ตอนนั้น เรือ Carnival Freedom เพิ่งสร้างเสร็จค่ะ เป็นลำใหม่สุดของบริษัท มีความจุทั้งผู้โดยสารและลูกเรือได้อยู่ประมาณ 4,000 คน ค่ะ 4พัน นี่มันใหญ่และคนมันเยอะกว่าหมู่บ้านหรือตึกๆ นึงเลยนะคะนี่ ตอนนั้นมัวแต่ตื่นตาตื่นใจค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลย และหน้าที่ต้องมาก่อน
หลังจากทั้งสามสาวได้ลงเรือลำใหญ่ ลำเดียวกันเป็นที่เรียบร้อย ก็มีเจ้าหน้าที่ฝรั่งผมบรอนซ์สาว มารอต้อนรับเรา อย่างที่เจ้าหน้าที่ CTI ได้บอกเราไว้ในเสียงตามสายที่เราได้คุยกันไว้ค่ะ เฮ้ออออ ถอนหายใจเฮือกที่สอง เราไม่โดนหลอกแล้ว แต่เหนื่อยและลุ้นเป็นบ้าเลย
ทันทีที่เดินเข้าไปในบริเวณของลูกเรือนั้นก็จะมีพนักงานที่เค้ามาทำงานอยู่แล้วหรือเด็กเก่าว่างั้น จ้องมองพวกเราสาวไทยอย่างกะพวกนางงามเดินแคทวอร์ค อร๊ายยย ที่ไหนได้ มองอย่างกะตัวปะหลาดละไม่ว่า555
เกิดความรู้สึกสะหยิวกิ้ว เพราะลูกกะตามันหลายคู่จริงๆ หลายสัญชาติด้วย เค้าก็มองตามประสาเด็กใหม่อะค่ะ เป็นปกติของพวกเค้าเนอะ ก็เหมือนที่พวกเราเห็นคนหล่อๆ สวยๆ เดินผ่าน (ช่างกล้าพูด!!!) เพราะคนส่วนใหญ่ในนั้น แม้จะมีพนักงานเยอะ แต่เค้าก็คุ้นหน้าคุ้นตากันบ้าง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ฝรั่งคนนั้นก็เอาเก็บ passport และเอกสารที่ทาง CTI เตรียมให้พวกเราไว้นั้น เก็บไว้กับเค้า แล้วก็อธิบายข้อมูลอะไรหลายๆ อย่างที่จำเป็นที่จะต้องรู้จักในวันแรก รวมถึงกำหนดการอบรมหรือ orientation แล้วเอากุญแจห้องให้เราค่ะ แต่เค้าจะให้พี่ๆ คนไทยที่อาสาหรือเค้าจัดแจงพาเราไปส่งที่ห้องค่ะ ถือว่าเป็นการต้อนรับที่อบอุ่นดีค่ะ เค้าคงเข้าใจความรู้สึกเราอะเนอะ ว่าจากบ้านมาไกล แต่ทุกวันนี้ไม่รู้ยังทำแบบนี้อยู่รึเปล่านะคะ เพราะมันผ่านมาจะ 10 ปีแล้วเน้อ ว้าแก่แล้วอ่ะ
แล้วที่อยู่หลับนอนล่ะเป็นยังไง ?
ในส่วนของห้องพักนั้นจะเป็นห้องที่แชร์กัน อยู่ด้วยกัน 2 คน มีเตียง 2 ชั้น อารมณ์เหมือนเด็กหอ ตู้เสื้อผ้าที่เล็กน้อยนิดแยกของใครของมัน มีโทรศัพท์ประจำห้อง ชั้นที่ว่าง, ลิ้นชักและตู้เย็นมินิบาร์จะถูกออกแบบให้ประหยัดพื้นที่ใช้สอยให้มากและลงตัวที่สุด มีห้องน้ำในตัว ระบบน้ำและการกดชักโครกด้วยแรงดันนั้นอยากจะบอกว่าดีกว่าโรงแรมหรือคอนโดบ้านเราเยอะเลย สำหรับเด็กบ้านนอกอย่างเราเลยไม่มีปัญหาเรื่องที่อยู่หลับนอน ความรู้สึกเหมือนอยู่โรงแรมแต่มันเล็กหน่อยก็แค่นั้นเอง แต่จะมีปัญหาก็เรื่องเพื่อนร่วมห้องหรือรูมเมทล่ะค่ะ เพราะคอนแทรคแรกเรายังเลือกรูมเมทไม่ได้ สามสาวเราก็ต้องแยกย้ายกันไป เค้าให้อยู่กับใครก็อยู่ไปก่อน อยู่ไปสักพักก็ค่อยยื่นเรื่องขอย้ายห้องไปอยู่กับเพื่อนที่คนที่สนิทใจกันได้ ซึ่งรูมเมทเราเป็นยายป้าชาวโรมาเนีย ที่เรียกยายป้า เพราะแกหน้าเหี้ยมมาก ไม่ยิ้มเลยและไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าไหร่ ทนอยู่ไปสักพักเลยขอย้ายไปอยู่กับเพื่อนสาวที่เรียนมาด้วยกันล่ะค่ะ ค่อยดีขึ้นมาหน่อย คอยปรับทุกข์ ช่วยเหลือ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
(ที่นอนก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ คนมาหลังจะได้อยู่ชั้นบน มันคือกฏ ที่ใครสร้างขึ้น ??)
ข้าวปลาอาหารล่ะ กินอยู่อย่างไร
เค้ามีโรงอาหารเป็นแบบบุพเฟ่ต์ให้พนักงานทานฟรีค่ะ เหมือนกับงานโรงแรมบ้านเรา ซึ่งโรงอาหารนี้เรียกว่า ครูเมส( Crew Mess) จะเปิดตลอด 24 ชม.เลย แต่จะมีอาหารคอยบริการประมาณ 3-4 มื้อหลัก เช้า-เที่ยง-เย็น และรอบดึก เพราะงานแต่ละแผนกเลิกเวลาต่างกัน ก็จะมีอาหารไว้ให้ได้ประทังชีวิตตลอด พูดซะหดหู่เลย ที่ว่าประทังชีวิตก็เพราะว่าอาหารมีเยอะค่ะ แต่บางครั้งงานมันยุ่งก็แทบจะไม่มีเวลากิน ก็กินๆ ประทังชีวิตไป แล้วพนักงานมันก็หลายสัญชาติ ทั้งอาหารแนวอินเดีย พวกแกงกะหรี่ทั้งหลาย อาหารฟิลิปปินส์ เพราะ2 ชาตินี้เยอะ อาหารฝรั่งแบบยุโรปและอเมริกัน ไทยและอาหารชาติอื่นๆ สลับสับเปลี่ยนกันไป บางอย่างเราก็ทานได้ บางอย่างก็ทานไม่ได้เพราะว่ายังไม่ชินหรือเริ่มมีการเบื่ออาหารไปตามสภาพแวดล้อม
ดีหน่อยที่เอาพริกป่น น้ำพริกไปด้วย เค้ามีน้ำปลาให้นะ เป็นอาวุธหลักกันตายดีๆ เลยนะคะเนี่ย คนไทยขาดไม่ได้ และระหว่างที่ทานข้าวก็มีพี่ๆ คนไทยแวะเข้ามาทักทาย มาพูดคุยกันบ้าง พอให้พวกเราได้สบายใจขึ้นมาหน่อยค่ะ พี่ๆ เหล่านั้นเป็นใครบ้างจำไม่ได้เลย แต่ขอบคุณมากนะคะที่คอยต้อนรับเรา
( อาหารพนักงานก็จะเป็นประมาณนี้ค่ะ สลับสับเปลี่ยนกันไป)
ทานข้าวเสร็จก็ไปอบรมพวกกฎระเบียบเรื่องความปลอดภัยและกฎต่างๆ ของเรือกันค่ะ ก็จะมีตัวแทนของแต่ละแผนกที่เกี่ยวข้องมาอธิบายและอบรมพวกเรา ซึ่งเป็นแค่เบื้องต้นเองนะ วันถัดๆ ไป ก็มีตารางอบรมอีก ยาวเหยียดเลยล่ะ วันแรกเค้าสอนแค่หอมปากหอมคอไปก่อนเพราะไม่งั้นพวกนี้จะลาออกตั้งแต่วันแรก 5555 แล้วเค้าก็ปล่อยให้แยกย้ายให้หัวหน้าแต่แผนกรับผิดชอบต่อ แผนกใครแผนกมัน ของเราแผนก F&B ก็มีพี่ Head Waiter ( หัวหน้าเด็กเสิร์ฟ) และ Assistant Maitre'D หรือผู้ช่วยผู้จัดการ มาคอยต้อนรับค่ะ จำได้ว่าตอนนั้นผู้ช่วยผู้จัดการเป็นผู้หญิงฝรั่ง สูงยาว หัวหยิก นางใจดีค่ะ แต่จำชื่อนางไม่ได้ละ จำได้ที่ก็เก่งเกิ๊น 555 อบรมของแผนกเสร็จก็ไม่นานค่ะ เค้าก็ให้ไปรับชุดพนักงานและไปพักผ่อน ตามอัธยาศัยประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ก่อนที่จะเข้าไปรายงานตัวทำงานกะแรกของชีวิตตามที่ได้รับมอบหมายค่ะ
ประมาณบ่าย 4 โมงครึ่ง งานกะแรกของเราก็เริ่มขึ้น เราทั้ง3 คนได้ไปประจำอยู่ที่ห้องอาหารของพนักงานพวกออฟฟิศและพวกมีตำแหน่ง เรียกว่า สตาฟ เมส (Staff Mess) ห้องอาหารพนักงานจะแบ่งเป็น 3 ขั้นตามตำแหน่งค่ะ คือ
- ขั้นต่ำสุด อย่างพวกเราสามคน ใช้แรงงานเป็นหลัก จะให้ทานที่ Crew Mess ค่ะ
- ขั้นที่สอง คือพวกหัวหน้าระดับเล็ก พวกทำงานออฟฟิศ พนักงานต้อนรับ จะให้ทานที่ Staff Mess
- ขั้นที่สาม คือหัวหน้าระดับสูง รวมไปถึงกัปตัน จะทานที่ห้อง Captain Mess ค่ะ
ดูเหมือนมีการแบ่งชนชั้นวรรณะบ้าง แต่ลูกเรือของบริษัทคาร์นิวัลส่วนใหญ่เป็นกันเองไม่ค่อยจะถือตัวเท่าไหร่ค่ะ แล้วบ่อยครั้งก็มีการที่หัวหน้าระะดับสูงหรือพวกเมเนจเมนท์นั้น มาทำอาหารและทานข้าวกับพนักงานชั้นต๊อกต๋อยอย่างพวกเรา ทำให้พนักงานชั้นล่างรู้สึกไม่ต้อยต่ำเกินไป อันนี้ก็เข้าใจนะคะ เค้าต้องแยกกันเป็นธรรมดาเพราะตามสวัสดิการของแต่ละตำแหน่ง ตามกฏระเบียบของบริษัท
ทำงานวันแรกล่ะ เหนื่อยและหนักมั้ย?
มีหัวหน้ามาคอยแนะนำงานให้เราในวันแรกค่ะ แนะนำให้รู้จักเพื่อนรวมงานด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝรั่งชาวยุโรปที่จะคอยสอนงานพวกเรา หน้าที่ก็จะเป็นพวกคอยเตรียมไลน์บุพเฟต์ที่จะเปิด ไปเอาของจากครัวใหญ่มาแยก คอยทำความสะอาด คอยเติมอาหารเวลามันพร่อง และช่วยรับออเดอร์พวกอาหารร้อนที่จะต้องสั่งพิเศษกับในครัวและเอามาเสิร์ฟ แต่สำหรับ staff mess คนจะสั่งอาหารไม่ค่อยเยอะ และคอยจัดโต๊ะ แต่ไม่ต้องไปเก็บจาน เพราะพวกพนักงานเค้ากินเสร็จ เค้าก็จะเอามาเคลียร์ที่สเตชั่นเอง เราก็คอยเคลียร์สเตชั่นให้ว่างอยู่ตลอด
ฟังดูเหมือนง่ายๆ ไม่มีอะไรมาก ตอนทำงานโรงแรมอาจทำเยอะกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่มันเป็นแค่วันแรกเองค่ะ เหอะๆๆๆ อย่าพึ่งชะล่าใจนะสาวๆ งานช่วงแรกก็ง่ายๆ ก่อนค่ะ เป็นธรรมดา จะให้ก้าวกระโดดไปเลยก็ไม่ได้ เพราะเราไม่มีประสบการณ์งานเรือมาก่อน ก็ต้องเทรนแต่ขั้นเล็กๆ ไป หลังๆ ก็เริ่มเยอะและยากขึ้น
แล้วเรื่องของภาษาล่ะ จะคุยกับเค้ารู้เรื่องรึเปล่า เพราะมีประเด็นที่สนามบินกับแท๊กซี่แล้ว ?
เรื่องของการสื่อสารนั้น ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษาหลักของเกือบทุกๆ บริษัท บางบริษัทอาจจะต้องมีหลายภาษาบ้าง เช่น ภาษาสเปน อิตาเลี่ยน ฝรั่งเศส เยอรมัน และอื่นๆ แตกต่างตามบริษัทค่ะ
พวกเราก็คิดว่าภาษาอังกฤษของเราทั้งสามอยู่ในขั้นดีนะ การฟัง การพูดจา ก็ได้อยู่นะ (คิดไปเองอีกละ อิพวกนี้) แต่พอใช้กับลูกเรือที่มีหลายสัญชาตินั้น โอ้ยยอิแม่ คุยไปก็อกจะแตกตาย ฟังพวกเค้าไม่รู้เรื่องเลย บางครั้งเค้าพูดกันเร็วๆ สอนงานเรา ไอ้เราก็ได้แต่หันมองหน้ากัน แล้วถามกันว่า ไอ้นั่นมันบอกตรูว่าไรว่ะ คำอังกฤษที่ได้ใช้บ่อยมากก็คือ What? Excuse me? Pardon me? แทบจะร้องไห้เป็นภาษาพม่า (ร้องเป็นที่ไหนล่ะภาษาพม่า 555) แล้วไอ้พวกสาวๆ ยุโรปนั้นก็จะชอบทำท่าทางฟึดฟัดๆ ใส่เรา พวกนางคงคิดว่า อิพวกนี้มันไปเรียนภาษาอังกฤษมาจากไหนวะ สื่อสารอะไรก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ไอ้พวกตรูก็อยากจะถามไปเหมือนกันว่า แล้วพวกเมิงไปเรียนมาจากไหนฟระ ตรูก็ฟังเมิงไม่รู้เรื่อง 55555 ทั้งรู้สึกแย่ ทั้งรู้สึกเสียความมั้นใจ แต่ก็ยอมแพ้ไม่ได้ค่ะ สู้ต่อไป แล้วมันก็ดีขึ้นเองค่ะ เริ่มฟัง และสื่อสารกันรู้เรื่องมากขึ้น
เมาเรือกันบ้างรึเปล่า ?
แม้ว่าเรือมันจะลำใหญ่มาก แต่ด้วยความยังไม่ชินของพวกเรา มันก็ยังเป็นปัญหาใหญ่อยู่ มันจะเริ่มมีอาหารเมาหนักเลยคือช่วงที่เรือถอดสมอ และถอยออกจากฝั่ง มีการโคลงเคลงเยอะ เล่นเอาจนพวกเราทำงานแทบจะไม่ได้ในอาทิตย์แรกๆ หัวหน้าต้องไล่กลับไปห้อง ไปกินยาแก้เมาและพักไปก่อนสักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยมาทำงานต่อ ไอ้ยาแก้เมาเรือห่อเล็กๆ ที่มี 2 เม็ด และยาหม่องยาดม กลายเป็นเพื่อนคู่ยาก ติดกระเป๋ากางเกงเล่นแบบ tripple protection การป้องกันแบบ3ต่อ ดมให้ตายกันไปข้างนึงเลย แต่หลังๆ มาก็เริ่มชินค่ะ นอกจากว่าเรือจะเจอลมมรสุมแรงๆ เรือก็จะโคลงแรงหน่อย ก็ทนกันต่อไปค่ะ พวกเราทั้งสวยถึกและบึกบึน เอิ๊กๆๆๆ
คิดถึงบ้าน คิดถึงเมืองไทยกันบ้างมั้ย ??
อาการคิดถึงบ้านมากหรือโฮมซิค( Homesick ) นั้น เป็นอาการที่เหมือนจะขาดไม่ได้และเป็นปัญหาใหญ่ของคนไกลบ้าน คิดถึงพ่อแม่ คนที่เรารัก ที่จากกันไปไกล และอาหารไทยที่แซ่บๆ อร่อยๆ แอบร้องไห้คิดถึงบ้านอยู่พักใหญ่เหมือนกันค่ะ แต่ก็ผ่านมันมาได้ด้วยการโทรกลับจากเรือหาแม่ หาญาติตลอด ซึ่งก็ซื้อบัตรโทรศัพท์ 20 เหรียญดอลล่าร์ โทรได้ประมาณ 1 ชั่วโมง มีอินเตอร์เนตคาเฟ่ให้ลูกเรือได้ใช้บริการด้วย ก็ 20 เหรียญเล่นได้ 1 ชม. เหมือนกัน แต่เน็ตช้ามากๆๆๆ เลยไม่ค่อยใช้เน็ตเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็ออกไปใช้บริกาอินเตอร์เนตคาเฟ่และร้านโทรศัพท์ที่อยู่แถวท่าเรือ จะราคาถูกกว่าในเรือค่ะ สมัยนั้นยังไม่มีไลน์ ไม่เฟสบุ๊คให้โทรฟรีเนอะ ลำบากกันหน่อย
แล้วเรื่องเงินเดือนล่ะ ได้รับกันยังไง ประมาณเท่าไหร่ ?
บริษัทจะจ่ายเงินให้เราทุก ๆ 2 อาทิตย์ค่ะ ไม่ต้องนานถึงเดือน สมัยนั้นจ่ายเป็นเงินสด หลังๆ มาก็เปลี่ยนเป็นเข้าธนาคารที่ทางเรือให้เปิด แล้วกดตู้ATMเอา ได้เงินเร็วใครมีหนี้สินก็พอจะได้หมุนทัน 555 ทำงานแป๊บๆ ได้เงินละ พวกเราเองทำเสิร์ฟที่ก็จะได้ทิปบ้าง แต่เป็นทิปรวม พอจบอาทิตย์นึง ก็เอามาแจกกัน จำได้ว่าอาทิตย์แรก 47 เหรียญ เย้ๆๆๆ ดีใจเป็นบ้าเลย แต่แบ่งทิปปุ๊บ ก็มีงานลดราคาสินค้าของแบรนด์เนมที่ขายให้ลูกค้าในเรือนั้น เปิดขายและลดให้ราคาให้ลูกเรือ ไอ้เราก็ด้วยความตื่นตาตื่นใจก็ไปจัดมาเลยจ้า ครีมบำรุงของ Clinique เหลือติดตัวมา 7 เหรียญ หนทางหายนะทางการเงินได้บังเกิดแล้ว
ว้าๆๆ เขียนกำลังจะหนุก โควต้าตัวหนังสือจะหมดอีกแล้ว บอกแล้วว่า มหากาพย์จริง เดี๋ยวมีต่อ ตอนต่อไปนะคะ
ใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 คลิกตามนี้ http://pantip.com/topic/35777406 [:pig:
ตอนที่ 3 อ่านที่ลิงค์นี้ http://pantip.com/topic/35786213
ตอนที่ 4 คลิก http://pantip.com/topic/35804121
ขอให้สนุกในการอ่านค่ะ แล้วเจอกันค่ะ