Part 1 ->
http://pantip.com/topic/35781322
ทริปนี้เคยมีความฝันไว้ว่าซักวันนึงต้องไปให้ได้ กับหนึ่งในดินแดนที่ถูกเปรียบว่าเป็นสวรรค์บนดินที่ถูกซ่อนอยู่และครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปลองดูให้รู้กันกับ เลห์ ลาดักห์
เมืองเลห์เป็นเมืองหลวงของแคว้นลาดักห์ เขตจัมมู-แคชเมียร์ ในประเทศอินเดียตอนเหนือสุด ฝั่งซ้ายจะติดกับปากีสถานและฝั่งขวาติดกับประเทศจีนด้านทิเบต ผู้คนของที่นี่จะหน้าตาออกไปทางมองโกเลีย รัสเซีย และทิเบต ที่นี่จึงถูกขนานนามว่าทิเบตน้อย ( Little Tibet ) อดีตที่นี่เคยเป็นหนึ่งในเส้นทางสายไหมซึ่งเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญระหว่างประเทศต่างๆในแถบนี้ ภูมิประเทศส่วนใหญ่จะเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนมากมายและเราก้อจะมีโอกาสได้นั่งรถผ่านเทือกเขาเหล่านั้น......
เกริ่นนิดหน่อยพอประมาณ ไปเที่ยวกันต่อนะครับ หลังจากที่แท๊กซี่ไปรับเราที่โรงแรมตอนตี 3 ก้อมาถึงสนามบิน เราใช้เวลาเช็คอินอยุ่พอประมาณเพราะว่าเคาท์เตอร์ของแอร์อินเดียเปิดเช็คอินกับทุกเส้นทาง คนจึงแห่กันไปเยอะมาก แนะนำว่าให้เผื่อเวลาไปหน่อย เผื่อจะได้เข้าไปหาอะไรกินก่อนขึ้นเครื่อง เราใช้เวลาไม่นานก้อผ่านตม.เข้าไป ( มีโอกาสแวะกิน KFC ด้วย ดีใจ อิอิ ) ไฟล์ทออกจากเดลลีไปเลห์เวลา 0555 ใช้เวลาบินประมาณชั่วโมงนิดๆ เครื่องที่เราบินเป็น Airbus A319 ตัวเล็ก ที่นั่งจะเป็นแบบ 3 -3 ก่อนมาเรารบกวนให้เพื่อนของน้องที่ออฟฟิซทำการจองที่นั่งให้แบบริมหน้าต่างทุกคน เพื่อจะได้เห็นวิวสวยๆอย่างที่เค้าบอก ทุกคนได้นั่งแถว G ริมหน้าต่างด้านขวา แต่ผมอยากแนะนำว่าถ้าจองได้แนะนำให้จองทางด้านซ้ายครับ วิวจะสวยมาก
บนเครื่องจะเสิร์ฟอาหารว่างเป็นแซนวิช น้ำเปล่าและน้ำส้ม ( อร่อยดี )
วิวภูเขาต่างๆมองจากหน้าต่างเครื่องบิน
ก่อนลงเครื่องทางสายการบินก้อมีประกาศบนเครื่องว่า เนื่องจากสภาพอากาศของที่เลห์มีอากาศเบาบางเพราะอยู่ที่สูง นักท่องเที่ยวควรจะหาเวลาพักผ่อนเมื่อไปถึง 24 ชม. หรือถ้าเป็นไปได้อย่างน้อยก้อ 6 ชม. เพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับสภาพอากาศที่นั่น ไม่นานเครื่องก้อลงจอดครับ
มาถึงสนามบินแล้วก้อขอซักภาพละกัน
สนามบินชื่อยาวมากครับ ขอเรียกแค่ สนามบินเลห์ ละกัน
ก้าวแรกที่เหยียบลงบนแผ่นดินเลห์ ทั้งอากาศและวิวบรรยากาศรอบ ถึงกับทำให้ผมร้องว้าวอยู่ในใจ คือมันสวยมากครับ
ตอนมาถึงสนามบิน ก้อจะมีพนักงานแจกใบคนเข้าเมืองเพื่อเขียน เราก้อกรอกข้อมุลตามปกติ แล้วรอกระเป๋า ของผมและเพื่ออีกคนได้ครบ ก้อยังรออีก 1 ใบเมื่อไหร่จะมา อยุ่ๆมีเจ้าหน้าที่เดินมาหาเราและเรียกเพื่อนร่วมทริปอีกหนึ่งท่านไปคุย ปรากฏว่าพนักงานแจ้งว่ากระเป๋าของเพื่อนโดนกักไว้ที่เดลลีครับ ไม่ได้มาด้วย แล้วสาเหตุคืออะไร?...................... จำได้มั๊ยครับกระทู้ที่แล้วที่ผมบอกสาเหตุว่าทำไมไม่ควรเอาออกซิเจนกระป่องมาจากเมืองไทยด้วย 555 อันนี้แหละครับคือสาเหตุว่ากระเป๋าไม่มา เห้นว่ามีของคนอื่นโดนกักด้วยเหมือนกัน พนักงานแจ้งว่าจะโทรแจ้งเมื่อกระเป่ามาถึง เพื่อนเลยเซ็งไป แต่ก้อไม่ได้อะไรมากครับ อิอิ
ออกมานอกสนามบินก้อจะเจอไกด์มายืนรออยู่ ไกด์ชื่อ Gigmat Gyalpo ครับ ถ้าลองค้นชื่อเค้าใน facebook จะเห็นว่าคนไทยชอบไกด์คนนี้มากเพราะนิสัยดี เราแจ้งเค้าว่ากระเป๋าเพื่อนไม่ได้มาด้วย เค้าก้อบอกว่าไม่ต้องห่วง เพราะที่พักอยุ่ห่างจากสนามบินแค่ 10 - 15 นาทีเท่านั้น จากนั้นเราก้อขับรถซึ่งทริปนี้เราจะใช้รถ Totoya Innova ซึ่งเป็นรถมาตรฐานใช้งานของที่นี้ ใช้เวลาไม่นานก้อขับถึงที่พักครับ วันแรกจะไม่มีอะไร ปล่อยให้พักผ่อนปรับตัวกับอากาสที่นี่ก่อน เราแพลนว่าจะไปเดินเล่นในเมืองช่วงเย็นๆ
ที่พักของเราตลอดทริปนี้ชื่อ Hotel Lingzi ครับ ตั้งอยุ่ในเมืองเลห์เลย ทำเลดีมาก ใกล้กับร้านอาหาร ตลาดคนเดิน ว่าแล้วก้อไปเช็คอินกันครับ
เดินเข้าดรงแรมก้อจะเจอ reception ซึ่งพนักงานจะเข้ามาช่วยยกกระเป๋าด้วย
โรงแรมเคยได้รางวัลจาก trip advisor ด้วยครับ ตอนไปยังไม่ค่อยมีแขกเข้ามาพักเท่าไหร่
ลีอบบี้ของที่พัก ซึ่งเราสามารถใช้ free wifi ได้ในพื้นที่นี้ สัญญาณก้อดีมั่งไม่ดีมั่งครับ
หลังจากเช็คอินแล้วก้อจะได้กุญแจมา
โรงแรมนี้จะมี 3 ชั้นเท่านั้น ไม่มีลิฟท์ครับ พอเดินขึ้นไปเท่านั้น เหนื่อยเลย 5555555 เปิดห้องมาก้อจะเจอเตียงแบบนี้
ที่ห้องจะไม่มี heater นะครับแต่สามารถบอกพนักงานให้เอามาไว้ได้ หน้าต่างห้องพักก้อจะได้วิวแบบนี้
ห้องน้ำมี shower และกระป่องอาบน้ำเหมือนเดิม น้ำร้อนที่นี่ร้อนจริงจังมากครับ ตอนเปิดต้องระวังให้ดี
อุปกรณ์อาบน้ำมีให้ครบครับ ผ้าเช็ดตัวก้อมีให้ แต่เราใช้ที่อาบน้ำที่พกมาดีกว่า อิอิ
เดินขึ้นไปบนดาดฟ้าของโรงแรม วิวสวยมากครับ เลยขอซักรุปนึง 555 อากาศเย็นสบายสุดๆ
วิวสวยๆจากที่พักครับ
หลังจากที่จัดของแล้วก้องีบซัก 2-3 ชม. จากนั้นก้อนัดกันเพื่อไปเดินเล่นตลาดในเมือง ซึ่งอยุ่แค่ 2 นาทีจากที่พักของเราเอง ใกล้มากครับ
มีร้านค้า สินค้าท้องถิ่นมากมายขาย
แอบเห้นร้านขายซาโมซ่า ทอดมาร้อนๆ น่ากินมากมาย
ร้านขายชุดท้องถิ่นสีสวยๆก้อมี
ที่ตลาดก้อจะมีชาวพื้นเมืองนั่งขายของพวกผัก ผลไม้ด้วย
จะมีขอทานซึ่งบางทีเด็กๆก้อจะวิ่งมาขอเศษเงินจากเรา เราอาจจะให้เป้นเงินหรือขนมอะไรแทนได้ ขอถ่ายรุปก้อง่ายด้วย
มีร้าน Himalaya ซึ่งเราสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ที่นี่เป็นของฝากๆได้ด้วย อย่างพวก ลิปมัน หรือยาหม่องต่างๆ สบู่แชมพู อะไรเยอะแยะไปหมด
จากนั้นเราก้อไปหาของกินกันต่อมื้อเย็น ตกลงว่าเราก้อจะหาอาหารท้องถิ่นกินเหมือนเดิม ว่าแล้วก้อเดินไปร้านอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก ร้านอาหารที่นี่ แนะนำ 3 ร้านครับ ร้านแรกชื่อ Lamayuru ซึ่งมีอาหารทั้งท้องถิ่น ฝรั่ง จีน ไทย ครบเลย ราคาก้อไม่แพงด้วย ร้านที่สองชื่อ Gismo ซึ่งอยู่ติดกับร้านแรกเลย ขายอาหารทุกชนิดเหมือนกันแถมมีเบอเกอรี่ด้วย ร้านนี้ชาวต่างชาติมากินเยอะมาก ส่วนอีกร้านนึงชื่อ Dreamland เป็นร้านอาหารแบบหรูขึ้นมาหน่อย อาหารเน้นไปทางฝรั่ง
เรากินร้าน Lamayari ร้านแรกเลยครับ ก้อสั่งมาเลย เมนูแรกข้าวผัดไก่
บะหมี่ไก่
โมโม่ ( จะเหมือนเกี๊ยวซ่าบ้านเรา แต่แป้งจะหนากว่ามาก มีทั้งไส้ไก่ ทูน่า หรือผัก ) มีแบบทอดด้วยนะครับ แต่กินวันอื่น
แต่ละมื้อที่นี่คือกินกันหนักมาก จัดเต็มทุกมื้อ กินกันจนจุกก้อจ่ายกันแค่สองร้อยกว่าบาท แต่สวรรค์ของที่นี่คือโค๊กขวดครับ ที่อินเดียเค้าไม่แนะนำให้กินน้ำแข้ง ส่วนน้ำเย็นก้อเย็นไม่ถึงใจ ที่นี่สั่งโค๊กขวด จะได้ขวดแบบ 600ml มา ซึ่งพอเปิดแล้วซดปุ๊บ....อ้า มันเย็นชื่นใจมาก บางวันมาเป็นเกล้ดน้ำแข็งเรย เค้าว่าโค๊กเย็นๆจะทำให้อาหารอร่อยขึ้น 27% ( ผมมั่วนะครับ ) อิ่มแล้วก้อกลับที่พักนอน พรุ่งนี้เช้าเที่ยวแล้ว ดีใจจัง
เช้าวันที่ 2 ไกด์นัดพวกเราตอน 8 โมงเช้า ( ซึ่งกระเป๋าเพื่อนอีกคนก้อยังไม่มา 555 ) วันนี้เราจะไปเที่ยวกัน 4 วัดนะครับ ใช้เวลาขับรถหลายชม.อยุ่ โปรแกรมคือ Hemis Monastery / Stakna Monastery / Thiksey Monastery และ Shay Palace ครับ
เส้นทางที่เราจะขับไปก้อจะเจอวิวสวยๆตลอดทาง
เราจะผ่านสะพานที่มีธงผูกอยู่เยอะๆ ผมถามไกด์ว่าทำไมคนที่มาเที่ยวต้องมาถ่ายรูปที่สะพานนี้ เค้าบอกไม่รู้เหมือนกัน 55
ถ่ายรูปกับไกด์เราซักหน่อย
วิวสวยๆจะมีให้ดุตลอดทางจริงๆครับ
ขับมาประมาณสองชม. เราก้อมาถึงวัดแรกคือ Hemis Monastery
ต้องเสียค่าเข้าคนละ 100RS ( 50 บาท ) นะครับ
บรรยากาศภายในวัด ซึ่งมี museum ด้วยแต่พวกผมไม่ได้เดินไปดุ
มีลามะนั่งดูนักท่องเที่ยว ซึ่งวันนั้นคนยังไม่เยอะเท่าไหร่
ขออีกซักรุปนะ
วิวที่นี่สวยงามมาก ถ่ายรูปกันเพลินเลยทีเดียว
จากนั้นตอนขับรถลงมาจากวัด พวกเราเห็นลานกว้างที่เป็นจุดถ่ายรุปสวยๆก้อแวะเลยครับ เราเจอเจ้าลาน้อยตัวนี้ ยอมยืนให้ถ่ายรูปโดยไม่กลัวคนเลย น่ารักมากอ่ะ
[CR] I "Leh" my love in Ladakh เที่ยวเลห์กันนะ ( part 2 )
ทริปนี้เคยมีความฝันไว้ว่าซักวันนึงต้องไปให้ได้ กับหนึ่งในดินแดนที่ถูกเปรียบว่าเป็นสวรรค์บนดินที่ถูกซ่อนอยู่และครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปลองดูให้รู้กันกับ เลห์ ลาดักห์
เมืองเลห์เป็นเมืองหลวงของแคว้นลาดักห์ เขตจัมมู-แคชเมียร์ ในประเทศอินเดียตอนเหนือสุด ฝั่งซ้ายจะติดกับปากีสถานและฝั่งขวาติดกับประเทศจีนด้านทิเบต ผู้คนของที่นี่จะหน้าตาออกไปทางมองโกเลีย รัสเซีย และทิเบต ที่นี่จึงถูกขนานนามว่าทิเบตน้อย ( Little Tibet ) อดีตที่นี่เคยเป็นหนึ่งในเส้นทางสายไหมซึ่งเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญระหว่างประเทศต่างๆในแถบนี้ ภูมิประเทศส่วนใหญ่จะเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนมากมายและเราก้อจะมีโอกาสได้นั่งรถผ่านเทือกเขาเหล่านั้น......
เกริ่นนิดหน่อยพอประมาณ ไปเที่ยวกันต่อนะครับ หลังจากที่แท๊กซี่ไปรับเราที่โรงแรมตอนตี 3 ก้อมาถึงสนามบิน เราใช้เวลาเช็คอินอยุ่พอประมาณเพราะว่าเคาท์เตอร์ของแอร์อินเดียเปิดเช็คอินกับทุกเส้นทาง คนจึงแห่กันไปเยอะมาก แนะนำว่าให้เผื่อเวลาไปหน่อย เผื่อจะได้เข้าไปหาอะไรกินก่อนขึ้นเครื่อง เราใช้เวลาไม่นานก้อผ่านตม.เข้าไป ( มีโอกาสแวะกิน KFC ด้วย ดีใจ อิอิ ) ไฟล์ทออกจากเดลลีไปเลห์เวลา 0555 ใช้เวลาบินประมาณชั่วโมงนิดๆ เครื่องที่เราบินเป็น Airbus A319 ตัวเล็ก ที่นั่งจะเป็นแบบ 3 -3 ก่อนมาเรารบกวนให้เพื่อนของน้องที่ออฟฟิซทำการจองที่นั่งให้แบบริมหน้าต่างทุกคน เพื่อจะได้เห็นวิวสวยๆอย่างที่เค้าบอก ทุกคนได้นั่งแถว G ริมหน้าต่างด้านขวา แต่ผมอยากแนะนำว่าถ้าจองได้แนะนำให้จองทางด้านซ้ายครับ วิวจะสวยมาก
บนเครื่องจะเสิร์ฟอาหารว่างเป็นแซนวิช น้ำเปล่าและน้ำส้ม ( อร่อยดี )
วิวภูเขาต่างๆมองจากหน้าต่างเครื่องบิน
ก่อนลงเครื่องทางสายการบินก้อมีประกาศบนเครื่องว่า เนื่องจากสภาพอากาศของที่เลห์มีอากาศเบาบางเพราะอยู่ที่สูง นักท่องเที่ยวควรจะหาเวลาพักผ่อนเมื่อไปถึง 24 ชม. หรือถ้าเป็นไปได้อย่างน้อยก้อ 6 ชม. เพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับสภาพอากาศที่นั่น ไม่นานเครื่องก้อลงจอดครับ
มาถึงสนามบินแล้วก้อขอซักภาพละกัน
สนามบินชื่อยาวมากครับ ขอเรียกแค่ สนามบินเลห์ ละกัน
ก้าวแรกที่เหยียบลงบนแผ่นดินเลห์ ทั้งอากาศและวิวบรรยากาศรอบ ถึงกับทำให้ผมร้องว้าวอยู่ในใจ คือมันสวยมากครับ
ตอนมาถึงสนามบิน ก้อจะมีพนักงานแจกใบคนเข้าเมืองเพื่อเขียน เราก้อกรอกข้อมุลตามปกติ แล้วรอกระเป๋า ของผมและเพื่ออีกคนได้ครบ ก้อยังรออีก 1 ใบเมื่อไหร่จะมา อยุ่ๆมีเจ้าหน้าที่เดินมาหาเราและเรียกเพื่อนร่วมทริปอีกหนึ่งท่านไปคุย ปรากฏว่าพนักงานแจ้งว่ากระเป๋าของเพื่อนโดนกักไว้ที่เดลลีครับ ไม่ได้มาด้วย แล้วสาเหตุคืออะไร?...................... จำได้มั๊ยครับกระทู้ที่แล้วที่ผมบอกสาเหตุว่าทำไมไม่ควรเอาออกซิเจนกระป่องมาจากเมืองไทยด้วย 555 อันนี้แหละครับคือสาเหตุว่ากระเป๋าไม่มา เห้นว่ามีของคนอื่นโดนกักด้วยเหมือนกัน พนักงานแจ้งว่าจะโทรแจ้งเมื่อกระเป่ามาถึง เพื่อนเลยเซ็งไป แต่ก้อไม่ได้อะไรมากครับ อิอิ
ออกมานอกสนามบินก้อจะเจอไกด์มายืนรออยู่ ไกด์ชื่อ Gigmat Gyalpo ครับ ถ้าลองค้นชื่อเค้าใน facebook จะเห็นว่าคนไทยชอบไกด์คนนี้มากเพราะนิสัยดี เราแจ้งเค้าว่ากระเป๋าเพื่อนไม่ได้มาด้วย เค้าก้อบอกว่าไม่ต้องห่วง เพราะที่พักอยุ่ห่างจากสนามบินแค่ 10 - 15 นาทีเท่านั้น จากนั้นเราก้อขับรถซึ่งทริปนี้เราจะใช้รถ Totoya Innova ซึ่งเป็นรถมาตรฐานใช้งานของที่นี้ ใช้เวลาไม่นานก้อขับถึงที่พักครับ วันแรกจะไม่มีอะไร ปล่อยให้พักผ่อนปรับตัวกับอากาสที่นี่ก่อน เราแพลนว่าจะไปเดินเล่นในเมืองช่วงเย็นๆ
ที่พักของเราตลอดทริปนี้ชื่อ Hotel Lingzi ครับ ตั้งอยุ่ในเมืองเลห์เลย ทำเลดีมาก ใกล้กับร้านอาหาร ตลาดคนเดิน ว่าแล้วก้อไปเช็คอินกันครับ
เดินเข้าดรงแรมก้อจะเจอ reception ซึ่งพนักงานจะเข้ามาช่วยยกกระเป๋าด้วย
โรงแรมเคยได้รางวัลจาก trip advisor ด้วยครับ ตอนไปยังไม่ค่อยมีแขกเข้ามาพักเท่าไหร่
ลีอบบี้ของที่พัก ซึ่งเราสามารถใช้ free wifi ได้ในพื้นที่นี้ สัญญาณก้อดีมั่งไม่ดีมั่งครับ
หลังจากเช็คอินแล้วก้อจะได้กุญแจมา
โรงแรมนี้จะมี 3 ชั้นเท่านั้น ไม่มีลิฟท์ครับ พอเดินขึ้นไปเท่านั้น เหนื่อยเลย 5555555 เปิดห้องมาก้อจะเจอเตียงแบบนี้
ที่ห้องจะไม่มี heater นะครับแต่สามารถบอกพนักงานให้เอามาไว้ได้ หน้าต่างห้องพักก้อจะได้วิวแบบนี้
ห้องน้ำมี shower และกระป่องอาบน้ำเหมือนเดิม น้ำร้อนที่นี่ร้อนจริงจังมากครับ ตอนเปิดต้องระวังให้ดี
อุปกรณ์อาบน้ำมีให้ครบครับ ผ้าเช็ดตัวก้อมีให้ แต่เราใช้ที่อาบน้ำที่พกมาดีกว่า อิอิ
เดินขึ้นไปบนดาดฟ้าของโรงแรม วิวสวยมากครับ เลยขอซักรุปนึง 555 อากาศเย็นสบายสุดๆ
วิวสวยๆจากที่พักครับ
หลังจากที่จัดของแล้วก้องีบซัก 2-3 ชม. จากนั้นก้อนัดกันเพื่อไปเดินเล่นตลาดในเมือง ซึ่งอยุ่แค่ 2 นาทีจากที่พักของเราเอง ใกล้มากครับ
มีร้านค้า สินค้าท้องถิ่นมากมายขาย
แอบเห้นร้านขายซาโมซ่า ทอดมาร้อนๆ น่ากินมากมาย
ร้านขายชุดท้องถิ่นสีสวยๆก้อมี
ที่ตลาดก้อจะมีชาวพื้นเมืองนั่งขายของพวกผัก ผลไม้ด้วย
จะมีขอทานซึ่งบางทีเด็กๆก้อจะวิ่งมาขอเศษเงินจากเรา เราอาจจะให้เป้นเงินหรือขนมอะไรแทนได้ ขอถ่ายรุปก้อง่ายด้วย
มีร้าน Himalaya ซึ่งเราสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ที่นี่เป็นของฝากๆได้ด้วย อย่างพวก ลิปมัน หรือยาหม่องต่างๆ สบู่แชมพู อะไรเยอะแยะไปหมด
จากนั้นเราก้อไปหาของกินกันต่อมื้อเย็น ตกลงว่าเราก้อจะหาอาหารท้องถิ่นกินเหมือนเดิม ว่าแล้วก้อเดินไปร้านอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก ร้านอาหารที่นี่ แนะนำ 3 ร้านครับ ร้านแรกชื่อ Lamayuru ซึ่งมีอาหารทั้งท้องถิ่น ฝรั่ง จีน ไทย ครบเลย ราคาก้อไม่แพงด้วย ร้านที่สองชื่อ Gismo ซึ่งอยู่ติดกับร้านแรกเลย ขายอาหารทุกชนิดเหมือนกันแถมมีเบอเกอรี่ด้วย ร้านนี้ชาวต่างชาติมากินเยอะมาก ส่วนอีกร้านนึงชื่อ Dreamland เป็นร้านอาหารแบบหรูขึ้นมาหน่อย อาหารเน้นไปทางฝรั่ง
เรากินร้าน Lamayari ร้านแรกเลยครับ ก้อสั่งมาเลย เมนูแรกข้าวผัดไก่
บะหมี่ไก่
โมโม่ ( จะเหมือนเกี๊ยวซ่าบ้านเรา แต่แป้งจะหนากว่ามาก มีทั้งไส้ไก่ ทูน่า หรือผัก ) มีแบบทอดด้วยนะครับ แต่กินวันอื่น
แต่ละมื้อที่นี่คือกินกันหนักมาก จัดเต็มทุกมื้อ กินกันจนจุกก้อจ่ายกันแค่สองร้อยกว่าบาท แต่สวรรค์ของที่นี่คือโค๊กขวดครับ ที่อินเดียเค้าไม่แนะนำให้กินน้ำแข้ง ส่วนน้ำเย็นก้อเย็นไม่ถึงใจ ที่นี่สั่งโค๊กขวด จะได้ขวดแบบ 600ml มา ซึ่งพอเปิดแล้วซดปุ๊บ....อ้า มันเย็นชื่นใจมาก บางวันมาเป็นเกล้ดน้ำแข็งเรย เค้าว่าโค๊กเย็นๆจะทำให้อาหารอร่อยขึ้น 27% ( ผมมั่วนะครับ ) อิ่มแล้วก้อกลับที่พักนอน พรุ่งนี้เช้าเที่ยวแล้ว ดีใจจัง
เช้าวันที่ 2 ไกด์นัดพวกเราตอน 8 โมงเช้า ( ซึ่งกระเป๋าเพื่อนอีกคนก้อยังไม่มา 555 ) วันนี้เราจะไปเที่ยวกัน 4 วัดนะครับ ใช้เวลาขับรถหลายชม.อยุ่ โปรแกรมคือ Hemis Monastery / Stakna Monastery / Thiksey Monastery และ Shay Palace ครับ
เส้นทางที่เราจะขับไปก้อจะเจอวิวสวยๆตลอดทาง
เราจะผ่านสะพานที่มีธงผูกอยู่เยอะๆ ผมถามไกด์ว่าทำไมคนที่มาเที่ยวต้องมาถ่ายรูปที่สะพานนี้ เค้าบอกไม่รู้เหมือนกัน 55
ถ่ายรูปกับไกด์เราซักหน่อย
วิวสวยๆจะมีให้ดุตลอดทางจริงๆครับ
ขับมาประมาณสองชม. เราก้อมาถึงวัดแรกคือ Hemis Monastery
ต้องเสียค่าเข้าคนละ 100RS ( 50 บาท ) นะครับ
บรรยากาศภายในวัด ซึ่งมี museum ด้วยแต่พวกผมไม่ได้เดินไปดุ
มีลามะนั่งดูนักท่องเที่ยว ซึ่งวันนั้นคนยังไม่เยอะเท่าไหร่
ขออีกซักรุปนะ
วิวที่นี่สวยงามมาก ถ่ายรูปกันเพลินเลยทีเดียว
จากนั้นตอนขับรถลงมาจากวัด พวกเราเห็นลานกว้างที่เป็นจุดถ่ายรุปสวยๆก้อแวะเลยครับ เราเจอเจ้าลาน้อยตัวนี้ ยอมยืนให้ถ่ายรูปโดยไม่กลัวคนเลย น่ารักมากอ่ะ