Trekking to Bromo-Kawahijen [ ข้อมูลสำหรับเดินทาง ]

Trekking to Bromo-Kawahijen
     "Trekking Indonesia" เราเสริชหาข้อมูลทันทีหลังจากดูรายการ Discoveryในทีวีจบ..อินโดนีเซียเพื่อนบ้านเรามีป่าที่อุดมสมบูรณ์ ยิ่งใหญ่ และมีเสน่ห์ขนาดนี้เชียวหรอ....อยากออกเดินทางไปสัมผัสของจริงแล้ว
     เราเลือกไป Bromo กับ Kawah Ijen แล้วชวนเพื่อนร่วมทริปสายลุยอีก 2 คน...ทริปนี้เราใช้เวลาหาข้อมูลเยอะมาก จองไฟท์ไปสุราบายาได้ทันก่อน Airasia จะยกเลิกเที่ยวบิน.....ส่ง Email ต่อรองราคากับไกด์เกือบเดือนจนไกด์เพลีย และด้านล่างนี้คือรายชื่อที่เราติดต่อไปทั้งหมด
(ถ้าลงเครื่องที่จาร์กาต้า ก็ติดต่อให้ไปรับได้)
     สุดท้ายเราตกลงกับ Mr.Andrew ได้อย่างลงตัว ในราคาที่ยิ้มได้ 1,850,000 รูเปียร์ต่อคน หรือประมาณ4,965 บาท
     ช่วงเวลา : 22-26 กรกฎาคม 59
     ออกเดินทางวันที่ 22 กรกฎาคม  จากสนามบินดอนเมือง 15.50 น. ถึงสนามบินสุราบายา 19.50 น. ถึงแล้วก็หิวเลย.....
     พี่ Farid เปิดเพลงแดนซ์พาพวกเราขับรถไปทานอาหารง่ายๆริมทาง นั่นคือ Nasi Goreng (ข้าวผัดใส่ไก่) และ Soto Ayam (ซุปไก่) อร่อยถูกใจจนอิ่ม แล้วไปซื้อ Sim card (เราซื้อยี่ห้อ SimPatic รวมค่าซิมและแพคเกจอินเตอร์เนท 4 GB ราคา 100,000 IDR หรือประมาณ 268 บาท) เบอร์เดียวใช้ได้ถึงบาหลีเลย
     22.00 น. ออกจากเมืองสุราบายา ไปโบรโม่ สองข้างทางมืดสนิท เพลงแดนซ์ของ Farid กล่อมพวกเราจนหลับบนรถ แล้วถึงโบรโม่ตอนตีสองของวันรุ่งขึ้น
     รถจอดที่ Cemera Indah Hotel อากาศเย็นเฉียบ ห้องพักถูกจัดอย่างเรียบง่าย ไม่มีแอร์ มีน้ำอุ่นที่ไม่อุ่น พวกเรางีบกันสักครึ่งชั่วโมง แล้วลุกขึ้นเตรียมตัว
     3.00 น. วันที่ 23 กรกฎาคม รถ Jeep มารับไปส่งที่ตีนเขา เพื่อเดินขึ้น Penanjakan viewpoint ใช้เวลาชั่วโมงกว่า เราเดินนวยนาดขึ้นเขาพร้อมกับดาวเต็มท้องฟ้า อากาศเย็นลงเรื่อยๆ เริ่มเห็นภูเขาไฟโบรโม่ลางๆระหว่างทาง.....จนถึงจุดชมวิวที่มีคนล้นจนเกือบไม่มีที่นั่ง
(จุดชมภูเขาไฟโบรโม่จะมี 2 จุด เดินขึ้นเนินไปอีกนิด ห่างกัน 200 เมตร สวยเหมือนกันเลย)
      ท้องฟ้าเปิดแล้ว...ทุกคนร้อง "Wow!!!" กับสิ่งที่เห็นด้านหน้า ภาพภูเขาไฟสามลูกตั้งติดกัน มีหมอกปกคลุมผืนทรายด้านล่าง แสงไฟของรถ Jeep ที่วิ่งฝ่ากลางหมอก สีเขียวเข้มของเหล่าภูเขาไฟสลับกับท้องฟ้าสดใส เหมือนกับในเทพนิยาย
      จากนั้น น้อง Merindu ขับรถ Jeep พาพวกเราไปยังทุ่งสะวันนา เพื่อเก็บภาพและบรรยากาศยามเช้า
  
       
        เดินทางต่อไปยังภูเขาไฟ Batok ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ดับลงแล้ว เราว่าที่นี่มีเสน่ห์ ดูสงบ อุ่นใจ และเรียบง่าย ด้านหน้าภูเขาไฟเป็นลานทุ่งหญ้ากว้าง

       ตอนสาย พวกเราจอดรถ Jeep บริเวณด้านหน้าภูเขาไฟ Bromo ทานข้าวเช้าในรถ
       เมื่อร่างกายพร้อม เรานั่งน้องม้าชื่อ Aujin ที่มีพี่ Dani ช่วยจูงไปยังทางขึ้นภูเขาไฟ...น้องม้า Aujin ก็จะร่าเริงไปไหน คึกจะวิ่งอยู่ตลอด  เหมือนดีใจที่ได้เดินทางกับเรา พีคสุดคือ ตดใส่กันตลอดทาง
      เมื่อมาถึงทางเดินขึ้นภูเขาไฟ Bromo ระหว่างทางมีบันไดขี้เถ้า ที่ดูเหมือนไม่ใช่บันไดสักเท่าไหร่ มันลื่นและไหลลงตลอด กางเกงสีเขียวเข้มกลายเป็นสีเทาไปแล้ว...ต้องเกาะราวบันไดขึ้นตลอดทาง
       และเราก็ได้เจอ "ลมหายใจของเทพเจ้า" ซึ่งเป็นความเชื่อ ความหวัง และจิตวิญญาณของชาวฮินดูที่มาบวงสรวงสักการะ....ความยิ่งใหญ่ เสียงปะทุที่ก้องกังวาลตรงปากปล่อง ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่ามันมีชีวิต
        เราเดินบนระยะทางเดินที่กว้างไม่ถึง 1 เมตรบนปากปล่อง แล้วค่อยๆนั่งลงดื่มด่ำความมหัศจรรย์ของภูเขาไฟ Bromo ที่ปะทุอยู่ด้านล่าง กับวิวอีกด้านนึงที่ ก ว้ า ง สุดสายตา
     เราเดินลงและนั่งม้า Aujin ขากลับเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว มีฟึดฟัดใส่กันเล็กน้อย แต่เราชอบ Aujin นะ...น่ารักดี
     ขับรถต่อไปที่ Whisper sand ที่มีพื้นทรายนุ่ม อยู่ด้านหน้าภูเขาลูกใหญ่
   กลับมาอาบน้ำเก็บของที่โรงแรม....ทานอาหารกลางวันกับวิวภูเขาไฟ Bromo ด้านหลัง...ผ่อนคลายหลังมื้ออาหาร โดย Mr.Wandri ที่นวดแบบ Javanist massage style  
   
     ออกเดินทางต่อไปที่ Madakaripura Waterfall  ปากทางเข้ามีร้านกาแฟเล็กๆจิบกาแฟแล้วเดินเข้าน้ำตก
    ภูเขาสูงใหญ่มีหมอกหนาลอยอยู่บนยอด สองข้างทางเดินมีต้นไม้รายเรียงเต็มไปหมด
      สูดโอโซนไปเรื่อยๆจนเห็นน้ำตกไกลๆ เรารู้สึกทำไมมันเล็กจัง....
     เดินเข้าไปใกล้ ลึกเข้าไปผ่านซอกหิน ตัวเราก็เริ่มเปียกเพราะสายน้ำตกกระเด็นลงมา....เงยหน้าขึ้นอีกที โอ้วว.....โหวว เราตกหลุมรักม่านน้ำตกแสนอลังการนี้ทันที เห็นสายรุ้งพาดผ่านกลางน้ำตก เป็นภาพที่มีเสน่ห์เหมือนในความฝันเลย
      
       พี่ Farid สายตื๊ด พาเราเดินทางออกจากน้ำตก มุ่งสู่ Kawahijen การเดินทางส่วนใหญ่จะอยู่ในรถแต่ละที่ค่อนข้างห่างกัน ถนนเส้นหลักมีแค่สองเลน คนที่นี่ขับรถเร็ว จะแซงก็เกร็งกันทั้งรถ จนพี่ Faridต้องหันมาบอก calm down.....calm down
       เมื่อถึงที่พักพวกเรามีเวลานอนแค่ 3-4 ชม.แล้วลุกขึ้นเตรียมตัวขึ้นภูเขาไฟ Kawahijen
       1.00 น. 24 กรกฎาคม มาถึงทางขึ้น นักท่องเที่ยวละลานตาเต็มไปหมด ไกด์ท้องถิ่นที่จะพาพวกเราขึ้นภูเขาไฟ Kawahijen ชื่อน้อง Ropik
       2 กิโลเมตรแรกเป็นสโลปขึ้น 45 องศา เราไม่แปลกใจทำไมถึงสร้างทางคอนกรีตเล็กๆ เราเดินไม่เกินสิบก้าวแล้วพัก สลับกันแบบนี้ เพราะทางชันมากและสองข้างทางมีกลิ่นบุหรี่ตลอด
       2 กิโลเมตรหลัง ไม่มีทางคอนกรีต ไม่ชันเหมือนช่วงแรก ลมพัดแรง พระจันทร์ก็กลมมากเช่นกัน เราเหนื่อยน้อยลงมากเพราะรู้ถึงเป้าหมายที่สวยงามที่กำลังจะเจอ
        เกือบตีสี่ พวกเราถึงที่หมาย เวลาดีที่จะเห็น Blue flame (ช่วงตีสี่ถึงตีห้า) พวกเราเดินลงไปด้านล่างอีก 500 เมตร และพอใจที่จะหยุดตรงแผ่นหินใหญ่กลางทาง ไม่ได้เดินลงไปใกล้ชิด Blue flame เหมือนคนอื่น
          พวกเรานั่งบนแผ่นหินใหญ่ กับ ลมหนาว 6 องศา ชมวิวเบื้องหน้าของทะเลสาบสีเขียว เห็น Blue flame ด้านล่าง มีดวงดาวลอยอยู่ด้านบน จนถึง หกโมงเช้า พวกเราจึงเดินกลับขึ้นไป
        บรรยากาศโดยรอบของภูเขาไฟ Kawahijen ที่เราไม่ได้เห็นตอนขาขึ้น...เมื่อมีแสงสว่าง ความสวยงามของทะเลหมอกก็มา
       พวกเราวิ่ง trail ลงเขา ไม่ว่าจะเหนื่อยและหิวแค่ไหน แค่ได้เห็นธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ก็ร่าเริงเลยนี่แหละ...ที่เค้าบอก "ธรรมชาติบำบัด"
       พักเหนื่อยกันที่ร้านกาแฟแบบชาวบ้าน....แล้วไปเดินเล่นน้ำตกใกล้ๆ จุ่มขากับน้ำใสๆผ่อนคลายก่อนจะข้ามไปฝั่งบาหลี
  
      เราดีใจที่ได้เดินทางกับเพื่อนร่วมทางที่แสนดี ได้พบเจอมิตรภาพที่น่ารักกับ Farid สายตื๊ด และไกด์ท้องถิ่นทุกคน
     เราหันกลับมามองฝั่งชวาขณะล่องเรือออกไป...ยิ้มอิ่มใจที่ได้เดินทางมาสัมผัสเสี้ยวนึงของประเทศที่อุดมสมบูรณ์อย่างอินโดนีเซีย...เราเสียบหูฟังแล้วพร้อมไปลุยต่อที่บาหลี
     ♫......และฉันก็พร้อม จะเตรียมรับเรื่องใหม่
บอกตัวเอง จะมองดูโลก ก ว้ า ง ใหญ่ ให้เห็นกับตา ♫.........♫
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่