แค่คิดก็มีความสุขแล้วครับ---------------------ทวดเอง

กระทู้คำถาม
แค่คิดว่า ในอนาคตข้างหน้า นักการเมืองน้ำดีทั้งหลายที่พอมีหน้ามีตา มีฐานะก็คงออกมาตั้งมูลนิธิฯ ส่วนพวกที่ด้อยกว่า ก็คงกลายเป็นท่านห้อยท่านโหยคอยเชลียร์คนดี เพื่อให้เข้าตา แล้วรอโอกาสได้รับการคัดสรรค์เข้ามาทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างเต็มภาคภูมิ คิดแค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วครับ

ส่วนนักการเมืองที่ห้อยโหนไม่เป็น เชลียร์ไม่เก่ง ทั้งไม่มีปัญญาตั้งมูลนิธิฯ ก็คงต้องบากหน้าลงเลือกตั้ง แต่ต่อให้ชนะการเลือกตั้ง ก็คงไม่กล้าทำอะไรมากนัก

นอกจากคอยยกมือสนับสนุนตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ดังนั้นประเทศไทยก็จะปราศจากคอรัปชั่น ไม่มีการทุจริต อย่างนี้แล้วประเทศไทยไม่รวยตอนนี้ แล้วจะรวยเมื่อไหร่กันเล่า แค่คิดผมก็มีความสุขแล้วครับ

แค่คิดว่า เมื่อเรามีแต่นักการเมืองที่มีทั้งจริยธรรม คุณธรรม และเพียบพร้อมด้วยจิตสำนึกกันทั้งสภา ประเทศก็มีแต่ความโปร่งใส

ถึงตอนนั้น เราคงไม่จำเป็นต้องมีสารพัดองค์กรอิสระต่างๆไว้เอียงข้าง หวังทำงานใหญ่กันอีกต่อไป เราคงประหยัดเงินงบประมาณแผ่นดินต่อปีได้ไม่ใช่น้อย

เราคงไม่จำเป็นต้องมีสารพัดหน่วยงานที่มีชื่อเกี่ยวกับการตรวจสอบทุจริตคอรัปชั่น แต่มักจะตรวจสอบเฉพาะคนที่อยู่คนละฝ่าย จนสร้างความแตกแยกกันอีกต่อไป

และสุดท้าย นอกจากสร้างความปรองดองแล้ว ยังเป็นการสร้างสถาบันครอบครัวให้เกิดความใกล้ชิดและแน่นแฟ้นยิ่งๆขึ้นทั้งฝ่ายการเมืองและเหล่าข้าราชการที่มีหน้าที่อนุมัตหรือเซ็นคำสั่งใดๆ

เพราะก่อนเซ็นอนุมัติหรือคำสั่งใดๆ จำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่า จะเอื้อประโยชน์ให้กับญาติๆหรือเปล่า แถมยังต้องเจาะลึกไปถึง 3 ชั่วโค-ตรเลยทีเดียว ไม่อย่างนั้นอาจเข้าข่ายความผิดโดยไม่รู้ตัว

และเมื่อไม่มีการทุจริต ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับญาติมิตร และยังมีนักการเมืองลากตั้งที่คอยสแกนตามคำสั่ง คิดถึงตอนนี้ ผมมีความสุขจริงๆครับ

ข้อสำคัญ เมื่อเสียงส่วนน้อยได้กลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ ก็จะไม่เกิดทฤษฎีสมคบคิด จนทำให้ประเทศวุ่นวาย ไม่มีการปิดประเทศ ไม่มีการขัดขวางการเลือกตั้ง ไม่มีการปิดสนามบิน และคงไม่มีการบังคับใช้กฎหมายสองมาตรฐานอีกต่อไป ก็มันกลายเป็นพวกเดียวกันหมดแล้วนี่ครับ อย่างนี้คนอื่นๆจะมีความสุขเหมือนผมหรือเปล่าล่ะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่