หากใครเคยได้ดูหนังเรื่อง Eat Pray Love คงจำกันได้ดีในพาร์ทของ ‘Love’ ที่ไปถ่ายบนเกาะบาหลี
หลังดูจบ..
เราจำได้แม่นว่ากลิ่นอายของนาขั้นบันไดและความเป็นบาหลีมันตลบอบอวลออกมาจากหนังจนเราอดเคลิบเคลิ้มเพ้อฝันไปกับมันไม่ได้
และเมื่อ 3 ปีที่แล้วคือครั้งแรกที่เราได้ไปบาหลีและสถานที่อื่นๆในอินโดนีเซีย
เราจำตัวเองได้แม่นอีกว่ารู้สึกประหม่า ตื่นเต้น และสนุกไปกับการเดินทางประเทศแห่งเกาะ ถ้ำ อารยธรรมและภูเขาไฟ นั้นมากแค่ไหน
จากวันนั้นอินโดกลายเป็น 1 ในประเทศที่ครองอันดับอยู่ในใจ และเป็นประเทศที่สุดจะมีเอกลักษณ์ไม่มีใครเหมือน ที่เราคิดว่าต่อให้มาบ่อยๆอีกสักกี่ครั้งก็ไม่มีวันสำรวจได้ทั่ว

จนกระทั่งมาถึงวันนี้เราได้มีโอกาสกลับไปเยือนอินโดนีเซียอีกครั้ง ในเมืองและเกาะอื่นๆที่ไม่เคยไป
ยิ่งตอกย้ำความคิดของเราที่ว่า ที่นี่ยังมีอีกหลายสถานที่ทั้งเก่าและใหม่
รอพวกเราเหล่านักเดินทางที่ชอบความท้าทายและการผจญภัยกลับไปเยือนเสมอๆ
เราตื่นเต้นที่จะได้ไปอินโดเหมือนครั้งแรก
แต่ที่มันต่างออกไปคือ ทริปนี้กลายเป็นความทรงจำครั้งสุดท้ายของเรากับแฟนที่เดินทางด้วยกัน
คือมีปัญหากันตั้งแต่ก่อนมา แต่ตั๋วเอย โรงแรมเอย จองไว้หมดแล้ว
ไหนจะด้วยเรื่องงานอีก เลยตกลงว่าก็ไปด้วยกันนี่แหละ เอาเรื่องงานก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน

ย้อนหลังไปก่อนที่จะมีปัญหา
เคยคุยกันว่าจะไปรินจานีกัน แต่ดูจะเหนื่อยถ้าดิ่งไปปีนเขาต่อ
เลยกะว่างั้นก็พักสัก 2-3 วันอยู่แถวๆบาหลีถือว่าเป็นการพักร่างจากฝั่ง West-East Java
ระหว่างนี้ตานั่นก็หาข้อมูลไปเรื่อยเปื่อย จนไปเจอที่เที่ยวใหม่ในเนตที่น่าสนใจ 2 ที่
คือ
Hidden Canyon และ
เกาะเปอร์นิดา (Penida) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบาหลี
เลยตกลงกันว่าจะแวะไปดูที่นี่ก่อนไปรินจานี
ทริปนี้เริ่มต้นตั้งแต่ฝั่ง
Jakarta - Argapura
Bandung
Bromo
Madagaripura Waterfall
Kawah Ijen
รวมทั้งหมด 8 วัน แต่เป็นพาร์ทที่เราพาลูกค้าเที่ยว ซึ่งก็คงมีหลายๆคนได้เคยรีวิวไว้บ้างแล้ว
ต่อจากนั้น 10 วันที่เหลือ คือช่วงที่พวกเราเดินทางกันเอง
รายละเอียดที่เคยแพลนไว้คร่าวๆ จบทริปออกมาตามนี้ค่ะ
Hidden Canyon - Penida Island - Rinjani (Backpack version) - Gili Island
Day 1 : Bali - Hidden Canyon – Ubud
Day 2 : Ubud - Penida Island
Day 3 : Penida Island - Bali - Flight to Lombok – Senggigi
Day 4 : Senggigi แว๊นไป – Senaru (ไปถึงบ่ายมาก ต้องเลื่อนไปขึ้นรินจานีอีกวัน)
Day 5 : Senaru – Crater rim camp
Day 6 : Crater rim - Summit camp
Day 7 : Summit - Sembalun - Gili port - (ข้ามเกาะไม่ทัน เลยต้องนอนฝั่งนี้)
Day 8 : Gili Island - Snorkelling day tour (มัวแต่โอ้เอ้พลาดพระอาทิตย์ตก)
Day 9 : Gili island – Lombok
Day 10 : Lombok - KL - Bkk
ตลอด 8 วันของการเดินทางในพาร์ทแรก อินโดไม่เคยทำให้ผิดหวัง
บางที่เคยมาหลายครั้งแต่ก็ยังทำให้สนุกสนานตื่นเต้นกันไป
จนกระทั่งมาถึงวันจบงาน ดูทรงแล้วคิดว่า 10 วันที่เหลือถ้าจะแบคแพคเที่ยวด้วยกันต่อก็คงไม่ได้แย่อะไรนัก
ดีกว่าแยกกันตรงนี้เลย(มั้ง) ไหนๆก็มาด้วยกันขนาดนี้ อยู่ต่อจนจบทริปให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้วกัน
เอาละ เข้าเรื่องซักที
หลังส่งลูกค้าที่สนามบินบาหลี ก็ไปหาเช่ามอเตอร์ไซค์แล้วแว๊นไปสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ที่ปักหมุดไว้ที่แรก

ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดสุกาวตี ใครจะนึกว่าใกล้ๆแหล่งชุมชน ยังมีโตรกผาทอดยาวขนาบไปกับลำธารซ่อนตัวอยู่ที่นี่
Hidden Canyon คือโตรกผาที่เกิดจากการกัดกร่อนของธรรมชาติ
ลมและแม่น้ำที่ไหลผ่านเป็นเวลาเนิ่นนาน ได้กัดเซาะหน้าผาและก้อนหินให้มีรูปร่างแปลกตา สวยงาม น่าพิศวง
ซึ่งถ้าไปช่วงที่น้ำลดจะเห็นโตรกผาที่ว่าได้ชัดเจน ส่วนเราเองแนะนำให้ไปช่วงน้ำน้อยๆ เหตุผลหลักๆคือสิ่งที่กำลังจะเล่า มาตามอ่านพร้อมกันนะคะ

จากคูตาขี่มอเตอร์ไซค์ที่เช่า ตามกูเกิ้ลบอกทางมาเรื่อยๆ ทางเข้าไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่ป้ายไม่ได้ใหญ่ชัดเจน แค่ต้องสังเกตดีๆ

หรือจะยิงพิกัดมาที่ Pura Dalem Guwang ก็ได้ เพราะทีนี่อยู่ติดกับวัด
ไปถึงด้านหน้าจ่ายค่าเข้าคนละ 10000 รูเปี๊ยะ มีล๊อกเกอร์ให้ฝากของด้วย มีไว้ให้ใช้ฟรีๆ
ดีที่ตอนนั้นเอาไปแค่กล้องกับกระเป๋าตังค์ ใส่รองเท้าแตะแบบพอมีดอกยาง และแต่งตัวไม่ได้รุ่มร่ามมาก

เดินไปสักพัก เห็นลุงจนท.เดินตามหลัง ตอนนั้นไม่มีเอะใจสักนิดว่าแกเดินตามมาทำไม?
Hidden Canyon Beji Guwang ซึ่งภาษาบาหลีคำว่า Beji หมายถึงแม่น้ำที่เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์
ทางช่วงแรกเดินลงตามขั้นบันได ผ่านไร่นาสบายๆ บรรยากาศดูร่มรื่น และเงียบสงัด
สักพักเริ่มเห็นแววความลำบาก ต้องเดินเลาะไปบนก้อนหินโขดหินที่ราบเรียบไม่มีรอยหยักให้เท้าได้จิกได้เกาะยึด
ตลอดทางมีลำธารไหลผ่าน แถมบางช่วงน้ำขุ่นมองไม่รู้ว่าลึกแค่ไหน

ลุงคนเดิมยังเดินเท้าเปล่าตามมาห่างๆ อย่างห่วงๆ เป็นระยะ
จนมาถึงจุดวัดใจที่ 1 ... มองไปข้างหน้า ไม่มีทางให้เดินเลาะหินไปอีกแล้ว
มีแค่หินกลางน้ำก้อนใหญ่กับเชือกที่ไม่รู้ว่าแข็งแรงแค่ไหนยึดไว้ให้โหนข้ามไปอีกฝั่ง ..

ไอ่คนขายาวๆก็คงไม่ลำบากอะไร แต่เราขาสั้นไง ตั้งท่าจะโดดๆก็กลัวลื่นหัวทิ่ม
เลยเก้ๆกังๆ จะลงเดินข้ามน้ำก็ไม่รู้ว่าจะคุ้มเปียกมั้ย

หันไปเจอลุง แกทำท่าทางว่าให้โหนเชือกที่เค้าทำไว้แหละถูกแล้ว .. เอาเท้าแหย่ๆแล้วโดดฮึบ อีกมือโหนเชือกไว้กันร่วง
สภาพเลยดูตลกเหมือนลูกลิงที่เพิ่งจะเริ่มโหนต้นไม้ยังไงยังงั้น

ผ่านไปได้ด่านแรก เดินต่อไปได้สักพัก เจอจุดวัดใจที่ 2 .. ทางยากกว่าเดิมมากกก ต้องเกาะยึดไปตามโตรก
ถึงจะช่วงสั้นๆ แต่ขาเราไม่ถึงง่ะ
ยิ่งเห็นคนจีนที่ผ่านไปก่อนแล้วลื่นตกน้ำลึกพ้นเอวแล้วแบบไม่คุ้มให้กล้องเปียก
คือเอากระเป๋ากันน้ำมา แต่ไม่ได้เอาเข้ามาด้วย เพราะไม่ได้คิดว่าที่นี่จะได้ใช้ TT

เห็นอยู่ว่าทางข้างหน้ามันยั่วยวนให้ลุยต่อ
แต่พอลองเอาเท้าแหย่ๆ นอกจากจะแตะได้หมิ่นเหม่แล้วก็ดูลื่นๆไม่รู้จะเกาะตรงไหนได้
จนปัญญา ให้ตาคนนั้นเค้าล่วงหน้าสำรวจไป ส่วนเรายอมยกธงขาวนั่งรออยู่ที่เดิม

ลุง .. หลังจากรอห่างๆมาได้พักใหญ่ แกคงคิดว่าได้เวลาเสนอตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวสักที
เดินดุ่มๆมาขอช่วยนำทางไป ตอนแรกเราบอกปัด เพราะกลัวกล้องเปียก
แต่แกทำท่าทางยืนยันหนักแน่น ว่าเชื่อใจพี่เดี๋ยวดีเอง ได้จ้ะ ไปก็ไป ไหนๆก็มาแล้ว
จากนั้นลุงก็เริ่มโชว์ลีลาตีนตุ๊กแก ทั้งฉุด ทั้งดึง
พร้อมกำกับว่าเราต้องเหยียบตรงไหน ยึดตรงไหน
ซึ่งถ้าไม่ได้แก เราร่วงน้ำชัวร์
พอข้ามมาได้ ก็อาสาถ่ายรูปให้ถี่ๆรัวๆ ชัดบ้าง เบลอบ้าง
จนเราว่าพอแล้วมั้งลุง อะไรจะเซอร์วิสดีขนาดนี้

พอผ่านที่จะต้องปีนยากๆ ก็เป็นเวลาชื่นชมความงามของสถานที่แห่งนี้
หน้าผาทั้งสองข้างสูงราวๆ 20-30 เมตร ก้อนหินแต่ละก้อนเว้าโค้งจรดด้านบนได้สัดส่วนสวยงามแตกต่างกันไป
แสงที่ทะลุร่มไม้จากด้านบนสาดลงมาให้ร่มเงาเป็นช่วงๆประกอบกับตะใคร้เขียวบนก้อนหินยิ่งทำให้ที่นี่ดูลึกลับขึ้นไปอีก
ลุงบอกว่าจะมีวิวประมาณนี้แบ่งเป็น 3 ช่วง ระยะทางร่วมๆ 500 เมตร
ระหว่างที่กำลังสับสนว่าจะไปต่อดีหรือกลับดี เพราะมันก็เริ่มบ่ายคล้อยแล้ว
ไหนจะไม่ได้เตรียมตัวมาเปียกอีก ก็เจอต่างชาติคู่นึงเดินสวนออกมาจากข้างใน
สภาพเปียกทั้งตัว ไม่รู้ลงเล่นน้ำหรือตกน้ำมา
ได้คำตอบว่าข้างในเนี่ยสวยนะ แต่เซมๆ
เราเลยตัดสินใจกันง่ายๆที่จะไม่ไปต่อ ถ่ายรูปตรงนั้นกันสักพัก
แล้วเดินตัดขึ้นมาทางออกที่อยู่ข้างบน ซึ่งออกอีกทาง ไม่ได้กลับทางเดิม

เดินผ่านไร่นาไม่นาน ก็กลับมาถึงหน้าทางเข้า
ลุงบอกลา ส่วนพวกเราให้น้ำใจขอบคุณเล็กๆน้อยๆที่ช่วยดูแล
Hidden Canyon - Penida Island - Rinjani | Last Memories ที่ Indo
หากใครเคยได้ดูหนังเรื่อง Eat Pray Love คงจำกันได้ดีในพาร์ทของ ‘Love’ ที่ไปถ่ายบนเกาะบาหลี
หลังดูจบ..
เราจำได้แม่นว่ากลิ่นอายของนาขั้นบันไดและความเป็นบาหลีมันตลบอบอวลออกมาจากหนังจนเราอดเคลิบเคลิ้มเพ้อฝันไปกับมันไม่ได้
และเมื่อ 3 ปีที่แล้วคือครั้งแรกที่เราได้ไปบาหลีและสถานที่อื่นๆในอินโดนีเซีย
เราจำตัวเองได้แม่นอีกว่ารู้สึกประหม่า ตื่นเต้น และสนุกไปกับการเดินทางประเทศแห่งเกาะ ถ้ำ อารยธรรมและภูเขาไฟ นั้นมากแค่ไหน
จากวันนั้นอินโดกลายเป็น 1 ในประเทศที่ครองอันดับอยู่ในใจ และเป็นประเทศที่สุดจะมีเอกลักษณ์ไม่มีใครเหมือน ที่เราคิดว่าต่อให้มาบ่อยๆอีกสักกี่ครั้งก็ไม่มีวันสำรวจได้ทั่ว
จนกระทั่งมาถึงวันนี้เราได้มีโอกาสกลับไปเยือนอินโดนีเซียอีกครั้ง ในเมืองและเกาะอื่นๆที่ไม่เคยไป
ยิ่งตอกย้ำความคิดของเราที่ว่า ที่นี่ยังมีอีกหลายสถานที่ทั้งเก่าและใหม่
รอพวกเราเหล่านักเดินทางที่ชอบความท้าทายและการผจญภัยกลับไปเยือนเสมอๆ
เราตื่นเต้นที่จะได้ไปอินโดเหมือนครั้งแรก
แต่ที่มันต่างออกไปคือ ทริปนี้กลายเป็นความทรงจำครั้งสุดท้ายของเรากับแฟนที่เดินทางด้วยกัน
คือมีปัญหากันตั้งแต่ก่อนมา แต่ตั๋วเอย โรงแรมเอย จองไว้หมดแล้ว
ไหนจะด้วยเรื่องงานอีก เลยตกลงว่าก็ไปด้วยกันนี่แหละ เอาเรื่องงานก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน
ย้อนหลังไปก่อนที่จะมีปัญหา
เคยคุยกันว่าจะไปรินจานีกัน แต่ดูจะเหนื่อยถ้าดิ่งไปปีนเขาต่อ
เลยกะว่างั้นก็พักสัก 2-3 วันอยู่แถวๆบาหลีถือว่าเป็นการพักร่างจากฝั่ง West-East Java
ระหว่างนี้ตานั่นก็หาข้อมูลไปเรื่อยเปื่อย จนไปเจอที่เที่ยวใหม่ในเนตที่น่าสนใจ 2 ที่
คือ Hidden Canyon และเกาะเปอร์นิดา (Penida) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบาหลี
เลยตกลงกันว่าจะแวะไปดูที่นี่ก่อนไปรินจานี
Jakarta - Argapura
รวมทั้งหมด 8 วัน แต่เป็นพาร์ทที่เราพาลูกค้าเที่ยว ซึ่งก็คงมีหลายๆคนได้เคยรีวิวไว้บ้างแล้ว
ต่อจากนั้น 10 วันที่เหลือ คือช่วงที่พวกเราเดินทางกันเอง
รายละเอียดที่เคยแพลนไว้คร่าวๆ จบทริปออกมาตามนี้ค่ะ
Hidden Canyon - Penida Island - Rinjani (Backpack version) - Gili Island
Day 1 : Bali - Hidden Canyon – Ubud
Day 2 : Ubud - Penida Island
Day 3 : Penida Island - Bali - Flight to Lombok – Senggigi
Day 4 : Senggigi แว๊นไป – Senaru (ไปถึงบ่ายมาก ต้องเลื่อนไปขึ้นรินจานีอีกวัน)
Day 5 : Senaru – Crater rim camp
Day 6 : Crater rim - Summit camp
Day 7 : Summit - Sembalun - Gili port - (ข้ามเกาะไม่ทัน เลยต้องนอนฝั่งนี้)
Day 8 : Gili Island - Snorkelling day tour (มัวแต่โอ้เอ้พลาดพระอาทิตย์ตก)
Day 9 : Gili island – Lombok
Day 10 : Lombok - KL - Bkk
ตลอด 8 วันของการเดินทางในพาร์ทแรก อินโดไม่เคยทำให้ผิดหวัง
บางที่เคยมาหลายครั้งแต่ก็ยังทำให้สนุกสนานตื่นเต้นกันไป
จนกระทั่งมาถึงวันจบงาน ดูทรงแล้วคิดว่า 10 วันที่เหลือถ้าจะแบคแพคเที่ยวด้วยกันต่อก็คงไม่ได้แย่อะไรนัก
ดีกว่าแยกกันตรงนี้เลย(มั้ง) ไหนๆก็มาด้วยกันขนาดนี้ อยู่ต่อจนจบทริปให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้วกัน
เอาละ เข้าเรื่องซักที
หลังส่งลูกค้าที่สนามบินบาหลี ก็ไปหาเช่ามอเตอร์ไซค์แล้วแว๊นไปสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ที่ปักหมุดไว้ที่แรก
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดสุกาวตี ใครจะนึกว่าใกล้ๆแหล่งชุมชน ยังมีโตรกผาทอดยาวขนาบไปกับลำธารซ่อนตัวอยู่ที่นี่
Hidden Canyon คือโตรกผาที่เกิดจากการกัดกร่อนของธรรมชาติ
ลมและแม่น้ำที่ไหลผ่านเป็นเวลาเนิ่นนาน ได้กัดเซาะหน้าผาและก้อนหินให้มีรูปร่างแปลกตา สวยงาม น่าพิศวง
ซึ่งถ้าไปช่วงที่น้ำลดจะเห็นโตรกผาที่ว่าได้ชัดเจน ส่วนเราเองแนะนำให้ไปช่วงน้ำน้อยๆ เหตุผลหลักๆคือสิ่งที่กำลังจะเล่า มาตามอ่านพร้อมกันนะคะ
จากคูตาขี่มอเตอร์ไซค์ที่เช่า ตามกูเกิ้ลบอกทางมาเรื่อยๆ ทางเข้าไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่ป้ายไม่ได้ใหญ่ชัดเจน แค่ต้องสังเกตดีๆ
หรือจะยิงพิกัดมาที่ Pura Dalem Guwang ก็ได้ เพราะทีนี่อยู่ติดกับวัด
ไปถึงด้านหน้าจ่ายค่าเข้าคนละ 10000 รูเปี๊ยะ มีล๊อกเกอร์ให้ฝากของด้วย มีไว้ให้ใช้ฟรีๆ
ดีที่ตอนนั้นเอาไปแค่กล้องกับกระเป๋าตังค์ ใส่รองเท้าแตะแบบพอมีดอกยาง และแต่งตัวไม่ได้รุ่มร่ามมาก
เดินไปสักพัก เห็นลุงจนท.เดินตามหลัง ตอนนั้นไม่มีเอะใจสักนิดว่าแกเดินตามมาทำไม?
Hidden Canyon Beji Guwang ซึ่งภาษาบาหลีคำว่า Beji หมายถึงแม่น้ำที่เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์
ทางช่วงแรกเดินลงตามขั้นบันได ผ่านไร่นาสบายๆ บรรยากาศดูร่มรื่น และเงียบสงัด
สักพักเริ่มเห็นแววความลำบาก ต้องเดินเลาะไปบนก้อนหินโขดหินที่ราบเรียบไม่มีรอยหยักให้เท้าได้จิกได้เกาะยึด
ตลอดทางมีลำธารไหลผ่าน แถมบางช่วงน้ำขุ่นมองไม่รู้ว่าลึกแค่ไหน
ลุงคนเดิมยังเดินเท้าเปล่าตามมาห่างๆ อย่างห่วงๆ เป็นระยะ
จนมาถึงจุดวัดใจที่ 1 ... มองไปข้างหน้า ไม่มีทางให้เดินเลาะหินไปอีกแล้ว
มีแค่หินกลางน้ำก้อนใหญ่กับเชือกที่ไม่รู้ว่าแข็งแรงแค่ไหนยึดไว้ให้โหนข้ามไปอีกฝั่ง ..
ไอ่คนขายาวๆก็คงไม่ลำบากอะไร แต่เราขาสั้นไง ตั้งท่าจะโดดๆก็กลัวลื่นหัวทิ่ม
เลยเก้ๆกังๆ จะลงเดินข้ามน้ำก็ไม่รู้ว่าจะคุ้มเปียกมั้ย
หันไปเจอลุง แกทำท่าทางว่าให้โหนเชือกที่เค้าทำไว้แหละถูกแล้ว .. เอาเท้าแหย่ๆแล้วโดดฮึบ อีกมือโหนเชือกไว้กันร่วง
สภาพเลยดูตลกเหมือนลูกลิงที่เพิ่งจะเริ่มโหนต้นไม้ยังไงยังงั้น
ผ่านไปได้ด่านแรก เดินต่อไปได้สักพัก เจอจุดวัดใจที่ 2 .. ทางยากกว่าเดิมมากกก ต้องเกาะยึดไปตามโตรก
ถึงจะช่วงสั้นๆ แต่ขาเราไม่ถึงง่ะ
ยิ่งเห็นคนจีนที่ผ่านไปก่อนแล้วลื่นตกน้ำลึกพ้นเอวแล้วแบบไม่คุ้มให้กล้องเปียก
คือเอากระเป๋ากันน้ำมา แต่ไม่ได้เอาเข้ามาด้วย เพราะไม่ได้คิดว่าที่นี่จะได้ใช้ TT
เห็นอยู่ว่าทางข้างหน้ามันยั่วยวนให้ลุยต่อ
แต่พอลองเอาเท้าแหย่ๆ นอกจากจะแตะได้หมิ่นเหม่แล้วก็ดูลื่นๆไม่รู้จะเกาะตรงไหนได้
จนปัญญา ให้ตาคนนั้นเค้าล่วงหน้าสำรวจไป ส่วนเรายอมยกธงขาวนั่งรออยู่ที่เดิม
ลุง .. หลังจากรอห่างๆมาได้พักใหญ่ แกคงคิดว่าได้เวลาเสนอตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวสักที
เดินดุ่มๆมาขอช่วยนำทางไป ตอนแรกเราบอกปัด เพราะกลัวกล้องเปียก
แต่แกทำท่าทางยืนยันหนักแน่น ว่าเชื่อใจพี่เดี๋ยวดีเอง ได้จ้ะ ไปก็ไป ไหนๆก็มาแล้ว
จากนั้นลุงก็เริ่มโชว์ลีลาตีนตุ๊กแก ทั้งฉุด ทั้งดึง
พร้อมกำกับว่าเราต้องเหยียบตรงไหน ยึดตรงไหน
ซึ่งถ้าไม่ได้แก เราร่วงน้ำชัวร์
พอข้ามมาได้ ก็อาสาถ่ายรูปให้ถี่ๆรัวๆ ชัดบ้าง เบลอบ้าง
จนเราว่าพอแล้วมั้งลุง อะไรจะเซอร์วิสดีขนาดนี้
พอผ่านที่จะต้องปีนยากๆ ก็เป็นเวลาชื่นชมความงามของสถานที่แห่งนี้
หน้าผาทั้งสองข้างสูงราวๆ 20-30 เมตร ก้อนหินแต่ละก้อนเว้าโค้งจรดด้านบนได้สัดส่วนสวยงามแตกต่างกันไป
แสงที่ทะลุร่มไม้จากด้านบนสาดลงมาให้ร่มเงาเป็นช่วงๆประกอบกับตะใคร้เขียวบนก้อนหินยิ่งทำให้ที่นี่ดูลึกลับขึ้นไปอีก
ลุงบอกว่าจะมีวิวประมาณนี้แบ่งเป็น 3 ช่วง ระยะทางร่วมๆ 500 เมตร
ระหว่างที่กำลังสับสนว่าจะไปต่อดีหรือกลับดี เพราะมันก็เริ่มบ่ายคล้อยแล้ว
ไหนจะไม่ได้เตรียมตัวมาเปียกอีก ก็เจอต่างชาติคู่นึงเดินสวนออกมาจากข้างใน
สภาพเปียกทั้งตัว ไม่รู้ลงเล่นน้ำหรือตกน้ำมา
ได้คำตอบว่าข้างในเนี่ยสวยนะ แต่เซมๆ
เราเลยตัดสินใจกันง่ายๆที่จะไม่ไปต่อ ถ่ายรูปตรงนั้นกันสักพัก
แล้วเดินตัดขึ้นมาทางออกที่อยู่ข้างบน ซึ่งออกอีกทาง ไม่ได้กลับทางเดิม
เดินผ่านไร่นาไม่นาน ก็กลับมาถึงหน้าทางเข้า
ลุงบอกลา ส่วนพวกเราให้น้ำใจขอบคุณเล็กๆน้อยๆที่ช่วยดูแล