สิริรีบชวนอาหมอกลับบ้านหลังตรวจสัตว์เลี้ยงตัวสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย ระยะทางจากคลินิกกลับมาบ้านใช้เวลาเดินทางไม่ไกลแต่สำหรับคนสูงวัยอย่างพวกเธอเล่นเอาเหงื่อโซม แต่พอก้าวพ้นประตูรั้วเข้ามาความเหน็ดเหนื่อยก็แทบมลายไปจนสิ้น เมื่อเห็นโต๊ะอาหารถูกนำมาวางตรงลานจอดด้านบนมีแจกันปักด้วยดอกกุหลาบสีแดงสะดุดตา
คนต้นคิดคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจันทร์จิรา เธอสวมเสื้อผ้าชุดเดิมขาดเพียงผ้ากันเปื้อนเข้ามาจูงคนทั้งสองที่เหมือนเป็นแขกมากกว่าญาติผู้ใหญ่ให้นั่งประจำที่ หญิงวัยกลางคนเจ้าของบ้านเห็นอาหารที่จัดวางบนโต๊ะล้วนตกแต่งได้อย่างพิถีพิถัน สีสันน่าทานจนไม่เหมือนฝีมือแม่ครัวคนเดิม
สิริเห็นเธอแอบยิ้ม ปรายตามองไปทางธีรุตม์ที่เอวมีผ้ากันเปื้อนคาดเอาไว้ มือทั้งสองข้างยกถ้วยแกงขนาดย่อมตามเข้ามาปิดท้ายของรายการอาหารคาว
“ยายหนู!!” สิริดึงดึงตัวเธอเข้ามาใกล้พลางกระซิบถาม
“อย่าบอกนะว่าหนูให้คุณรุตม์เป็นคนลงมือทำอาหารเย็นเลี้ยงพวกเรา”
“ค่ะน้าสิริ แต่หนูเปล่าใช้พี่เขานะคะ พี่เขาขอแสดงฝีมืออวดน้ากับอาหมอเอง จันทร์รับรองค่ะ ฝีมือพี่เขาไม่ด้อยหรืออาจดีกว่าจันทร์ด้วยซ้ำ” จันทร์จิราที่แปลงกายเป็นผู้ช่วยพ่อครัวเอ่ยชมอย่างออกนอกหน้า สิริพยักหน้าแทบไม่อยากเชื่อคำพูดของเธอ จนกระทั่งของหวานถูกยกเข้ามาปิดท้าย แหม ครบเครื่องเชียวนะ ทั้งของคาว ของหวาน ไม่เสียแรงที่หลานของเธอหลงรักตั้งแต่แรกเจอ
“เชิญทานได้เลยครับ หากฝีมือผมไม่อร่อยเท่าที่จันทร์เขาทำก็อย่าว่ากันนะครับ” ธีรุตม์ลงมือตักข้าวให้อาหมอเป็นคนแรกและเขาเป็นคนสุดท้าย สิริไม่รอช้าลงมือชิมกับข้าวทุกจาน สีหน้าบ่งบอกถึงความประหลาดใจ เธอแทบไม่อยากเชื่อ ผู้ชายคนนี้ทำอาหารได้อร่อยกว่าจันทร์จิราเสียอีก เช่นเดียวกับอาหมอที่บ่นไม่ขาดปากว่าอีกหน่อยคงต้องขอฝากท้องกับหลานเขยของสิริในอนาคตทุกวัน
จันทร์จิราปลื้มใจจนอดใจไม่ไหวต้องแอบกุมมือชายคนรัก แล้วตักอาหารให้เขาเป็นการตอบแทน สิริแกล้งทำไม่เห็นปล่อยให้คู่รักแสดงความเอื้ออาทรที่มีต่อกัน หล่อนแกล้งตักอาหารให้อาหมอเมื่อเห็นสายตาสอดรู้สอดเห็นเอาแต่จ้องมองธีรุตม์และจันทร์จิราอย่างไม่ละสายตา
“มัวแต่มองเด็กๆเขาหวานกันอยู่ได้รีบๆกินซะเดี๋ยวฉันแย่งกินหมดไม่รู้ด้วย” เสียงดุไม่จริงจังเล่นเอาอาหมอต้องเลิกเก็บภาพประทับใจของคนทั้งสองไปโดยปริยาย
ทุกคนอิ่มเอมกับอาหารเย็นที่แสนวิเศษ โดยเฉพาะคนสูงวัยทั้งสองที่แม้ทานอาหารคาวจนเต็มคราบ แต่ยังไม่วายยืนมือไปรับของหวานจากพ่อครัวคนเก่ง
“ของหวานนี่ก็เยี่ยมไม่แพ้กัน ไม่หวานจนเลี่ยน เก่งอย่างนี้น่าไปเปิดร้านขายอาหารให้รู้แล้วรู้รอด” อาหมอเอ่ยชมเมื่อลิ้มรสของหวานจานพิเศษ
“พ่อรุตม์เคยไปเรียนทำอาหารมาหรือเปล่า” สิริเอ่ยถามไม่ปฏิเสธฝีมือในการทำอาหารของเขาเหนือกว่าจันทร์จิราจริงๆ
“ผมเรียนจากแม่และป้าครับ เวลาว่างแม่มักสอนให้ผมทำอาหาร หลังจากท่านเสียไปก็ได้ป้าคอยช่วยอบรมสั่งสอน โดยเฉพาะของหวาน” ธีรุตม์เอ่ยอย่างถ่อมตนยกความดีความชอบให้แม่และป้าไปเต็มๆ
“ใช่ค่ะน้าสิริ ป้าพริ้งต้นตำรับสาลี่สุพรรณที่โด่งดังเป็นป้าแท้ๆของพี่รุตม์ค่ะ” สิริเคยได้ยินชื่อเสียงป้าพริ้งมานานนึกไม่ถึงจะเป็นป้าแท้ๆของเขา
“เพราะได้อาจารย์ดีนี่เองถึงสืบทอดฝีมืออย่างครบครัน”
“ท่านบอกว่าจะสอนให้จันทร์ทำขนมด้วยค่ะ เสียดายที่กลับมาก่อนเลยไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียน” จันทร์จิราหน้ามุ่ยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นกับเธอไม่นาน
“แหม ถึงขั้นพาไปกราบไหว้ญาติผู้ใหญ่ อีกไม่นานคงจะมีข่าวดีใช่ไหมพ่อหนุ่ม” อาหมอคิดไว ปากไว จันทร์จิราทั้งปลื้มทั้งอายอดดีใจไม่ได้เมื่อเห็นสายตาที่เปี่ยมรักจ้องมองมา
“ผมคงไม่เร่งรัดอะไร อยากให้จันทร์มุ่งมั่นในสิ่งที่ใฝ่ฝันให้สำเร็จเสียก่อน” ธีรุตม์เอื้อมมือไปบีบมือเรียวเบาๆเพื่อตอกย้ำในสิ่งที่เขาพูด
“น้าชอบคนอย่างเราน่ะพ่อรุตม์ มีความเป็นสุภาพบุรุษ ทำอะไรเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่น้าว่ามันนานไปหรือเปล่า อีกตั้งหกปี น้ากลัวคนข้างๆจะขาดใจตายเสียก่อน น้าว่าหมั้นหมายให้เป็นที่เรียบร้อย รอให้เรียนจบแล้วค่อยแต่งไม่ดีกว่าหรือ” สิริอยากให้คนทั้งสองเข้าพิธีแต่งงานเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่พอใจเรื่องที่ปวินทร์เข้าไปลวนลามจันทร์จิราถึงในโรงพยาบาล
“น้าสิริ ล้อหนูอีกแล้ว” เด็กสาวอายม้วนนั่งบิดไปบิดมา พอเห็นผู้ใหญ่ทั้งสองยิ้มแย้มด้วยความเอ็นดู จันทร์จิรายิ่งทำอะไรไม่ถูกเลยพาลมาลงที่คนด้านข้าง
“พี่ห้ามยิ้มตามคนอื่นนะคะ ไม่งั้นจันทร์โกรธจริงๆด้วย” ธีรุตม์รีบหุบปากโดยอัตโนมัติ คนอื่นๆที่เธอหมายถึงเลยพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน
หลังอาหารเย็นผ่านพ้น ธีรุตม์ขอเป็นคนทำความสะอาดถ้วยชาม จันทร์จิราขอเป็นผู้ช่วยแต่ถูกปฏิเสธ เขาให้เหตุผลเธอควรใช้เวลาอยู่กับสิริให้มาก ส่วนเรื่องล้างจานปล่อยให้เป็นหน้าที่เขา
เพิ่งผิดหวังเรื่องในครัวเลยว่าจะออกมาช่วยเก็บโต๊ะเก้าอี้ แต่กลับต้องผิดหวังซ้ำสองเมื่อข้าวของทุกอย่างถูกนำมาเก็บไว้ที่เดิมแถมเช็ดถูทำความสะอาดเป็นที่เรียบร้อย
คงเป็นญาติผู้ใหญ่ทั้งสองของเธอ ที่ช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาด แต่ทั้งคู่หายขึ้นไปนาน จันทร์จิราอดเป็นห่วงไม่ได้ ไม่กล้าขึ้นไปตามกลัวคนที่อยู่ในครัวต้องการความช่วยเหลือต้องมายืนรออยู่ที่เชิงบันได สักพัก คนที่ก้าวเดินลงมากลับเป็นสิริเพียงผู้เดียว
“หายไปไหนมาคะ หนูเป็นห่วงแทบแย่ อาหมอเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมถึงไม่ลงมาด้วย”
“รายนั้นสงสัยยกเก้าอี้มากไปหน่อย เห็นบ่นปวดหลัง น้าเลยพาไปอาบน้ำแล้วหายามานวดให้ นี่ก็หลับไปแล้ว” สิริหัวเราะเยาะเพื่อนวัยใกล้กันจนตัวเองเริ่มปวดหลังขึ้นมาตะหงิดๆ เลยขอให้จันทร์จิราช่วยพาไปนั่งที่โซฟาแทนที่จะยืนคุย
“จะมาห่วงน้าทำไม หนูน่าจะเข้าไปช่วยพี่เขาล้างจานมากกว่า” สิริพูดทีเล่นทีจริงเพราะไม่คิดว่าเธอจะปล่อยให้ผู้ชายอย่างธีรุตม์ต้องลงมือล้างจานด้วยตัวเอง
“หนูจะเข้าไปช่วยแล้วค่ะ แต่พี่เขาไล่ให้ออกมาคุยกับน้า”
“แหม รักเขามากละสิ ถึงยอมเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่าง” สิริเชยคางขึ้นเห็นแววตาเธอสุกสกาวราวกับมีดวงดาวนับร้อยนับพันประดับประดา
“ค่ะ พี่เขาเป็นคนดี ไม่เคยล่วงเกินจันทร์สักครั้งแม้จะมีโอกาสเมื่ออยู่ด้วยกันสองต่อสอง” เธอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงเรื่องที่เธอถูกล่อลวงจากรติมาเจ้าของรีสอร์ทหน้าเนื้อใจเสือให้ฟัง
“ตายจริง น้าก็ได้ดูข่าวเรื่องรีสอร์ทถูกไฟไหม้ เห็นตำรวจระบุไฟฟ้าลัดวงจร ที่แท้ฝีมือพ่อรุตม์นี่เอง” สิรินึกชมเชยไหวพริบ หากไม่ได้เขาช่วยหลานสาวของเธอคงตกเป็นเหยื่อของเสี่ยตัณหากลับคนนั้นไปแล้ว
“โชคดีของหนูด้วยค่ะที่เจอคนดีๆและมีพี่รุตม์อยู่เคียงข้าง ถึงกลับมาได้อย่างปลอดภัย” เธอเล่าเรื่องสารวัตรสุริยาและณัฐรินีย์ ที่คอยให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แม้เพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก
“คงเป็นบุญที่หนูทำไว้แหละจ้ะ ผลบุญถึงเกื้อหนุนให้พบแต่คนดีๆ รักษาความดีให้ตลอดไปนะจ๊ะคนดีของน้า” พูดจบ สิริก้มลงจูบจันทร์จิราด้วยความรัก
“น้าไม่ตำหนิหนูใช่ไหมคะ เรื่องที่หนูคบหาและมีใจให้พี่เขา” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองญาติผู้ใหญ่ที่เธอให้ความเคารพนับถือมากที่สุด
“แค่ไหนล่ะจ๊ะที่หนูแสดงออกกับพี่เขา บอกน้าได้ไหม น้าจะได้ตัดสินใจว่าที่หนูทำลงไป สมควรตำหนิหรือเปล่า” สิริพูดอย่างผู้ใหญ่ที่เข้าใจความรู้สึกวัยรุ่น เธอไม่เคยซักไซ้ไล่เลียงแต่อดทนรอให้จันทร์จิราเดินมาขอคำปรึกษา
“จันทร์กับพี่รุตม์ก็แค่ จับมือ กอด จูบ ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นค่ะ” พูดถึงตอนท้ายจันทร์จิราถึงกับก้มหน้างุด
“โถ เรื่องแค่นี้ ตอนน้าคบกับน้าผู้ชายก็ทำเหมือนหนูแหละจ้ะ ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน คนรักกันชอบกันมันอดไม่ได้หรอกที่อยากแสดงความรักความห่วงหาอาทร แต่เราต้องดูกาละเทศะ และอย่าให้เลยเถิดจนถึงขั้นมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง เข้าใจนะจ๊ะว่าน้าหมายถึงอะไร”
“เข้าใจค่ะ” จันทร์จิราพยักหน้าน้อยๆรู้สึกรักคนตรงหน้ามากกว่าแต่ก่อน เลื่อนมือทั้งสองข้างเข้ามาโอบกอดสิริจนแนบแน่น
“ขืนน้าห้ามโน่น นี่ นั่น จนหยุมหยิม ยังไงหนูจันทร์ของน้าคงแอบไปทำตอนที่อยู่กันสองต่อสอง สู้ทำให้น้าดูไม่ดีกว่าเหรอ คนแก่อย่างน้าได้พลอยมีชีวิตชีวาไปด้วย” สิริพูดติดตลกทำเอาเด็กสาวหัวใจชุ่มชื่นที่มีคนเห็นดีเห็นงามในเรื่องความรักของเธอ ยิ่งถ้ารวมศศินาด้วยอีกคนเธอคงมีความสุขมากกว่าใคร จันทร์จิราเงียบไปเพราะครุ่นคิดถึงสิ่งที่เธออยากให้กลายเป็นจริงมากที่สุดนั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสิริ
“หนูอยากให้น้าสิริมาเป็นแม่ของหนูจังเลย หนูจะได้มีแม่ที่รักและเข้าใจหนูเพิ่มอีกคน” คนสูงวัยเชยคางจันทร์จิราขึ้นมาสบตา
“ก็แล้วทำไมไม่เรียกแม่เสียทีล่ะจ๊ะ น้าน่ะ รอให้หนูเรียกแม่ตั้งนานแล้วนะ ยังนึกอิจฉาศศินาที่หนูยอมเรียกเธอว่าแม่ แต่กับน้าที่ทั้งรักทั้งเอ็นดูหนูมากกว่าใคร จนป่านนี้ไม่เห็นว่าหนูจะใจอ่อนยอมเรียกแม่เสียที” จันทร์จิราได้ฟังคำตัดพ้อแล้วนึกเสียใจ จริงทุกคำที่สิริพูดออกมา คนแรกที่มอบความรักให้เธอมากกว่าใครคือผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า แต่เธอกลับไม่เคยเรียกสิริว่าแม่สักคำ เด็กสาวน้ำตาไหลพรากด้วยความเสียใจ ทรุดตัวลงนั่งพับเพียบกราบแทบเท้าสิริเพื่อขอขมา
“หนูขอโทษค่ะแม่ ยกโทษให้หนูด้วยนะคะ หนูอยากเรียกแม่อยากนอนหนุนตักแม่ตั้งแต่วันแรกที่แม่ให้ที่พักอาศัยกับหนู แต่หนูไม่กล้าเพราะกลัวความรู้สึกของอ้อย หนูกลัวเธอคิดมากและน้อยใจหากแม่มอบความรักให้หนูมากกว่าเธอ” สิริพยุงร่างที่สั่นเทาขึ้นมาปลอบโยน
“โถ แม่ก็เพิ่งเข้าใจสาเหตุวันนี้ ที่จริงแม่รักพวกหนูทั้งสองคนเหมือนลูกแท้ๆเท่าเทียมกัน ส่วนอ้อยคงชินปากเพราะเรียกน้าตั้งแต่จำความได้ ทั้งที่แม่ดูแลอ้อยตั้งแต่เล็ก ก็ได้จ้ะต่อนี้ไปแม่จะรับทั้งสองคนไว้เป็นลูก ลูกจันทร์ของแม่จะได้ไม่ลำบากใจ” จันทร์จิราพยักหน้าแต่ยังอดถามไม่ได้
“แม่ไม่โกรธหนูแล้วใช่ไหมคะ”
“แม่ไม่โกรธหนูหรอกจ้ะ แค่บางเวลาที่นึกแล้วอดน้อยใจไม่ได้ ไอ้เราทั้งรักและห่วงหาอาทรไม่แพ้ใคร ทำไมยายเด็กคนนี้ถึงใจแข็งไม่ยอมเรียกเราว่าแม่สัก” จันทร์จิราจูบแก้มสิริไม่อยากได้ยินคำตัดพ้อที่เอ่ยจากปากของท่านอีกต่อไป
“แม่จะดุจะด่าหรือจะตี หนูไม่ว่าค่ะ แต่อย่าพูดตัดพ้ออีกเลยนะคะ แค่นี้ก็ทำให้หนูนอนไม่หลับไปหลายคืนแล้วค่ะ” เด็กสาวก้มลงกราบที่อกสิริอีกครั้ง
ไม่มีหัวใจให้ใครอีกแล้ว ตอนที่ 30
คนต้นคิดคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจันทร์จิรา เธอสวมเสื้อผ้าชุดเดิมขาดเพียงผ้ากันเปื้อนเข้ามาจูงคนทั้งสองที่เหมือนเป็นแขกมากกว่าญาติผู้ใหญ่ให้นั่งประจำที่ หญิงวัยกลางคนเจ้าของบ้านเห็นอาหารที่จัดวางบนโต๊ะล้วนตกแต่งได้อย่างพิถีพิถัน สีสันน่าทานจนไม่เหมือนฝีมือแม่ครัวคนเดิม
สิริเห็นเธอแอบยิ้ม ปรายตามองไปทางธีรุตม์ที่เอวมีผ้ากันเปื้อนคาดเอาไว้ มือทั้งสองข้างยกถ้วยแกงขนาดย่อมตามเข้ามาปิดท้ายของรายการอาหารคาว
“ยายหนู!!” สิริดึงดึงตัวเธอเข้ามาใกล้พลางกระซิบถาม
“อย่าบอกนะว่าหนูให้คุณรุตม์เป็นคนลงมือทำอาหารเย็นเลี้ยงพวกเรา”
“ค่ะน้าสิริ แต่หนูเปล่าใช้พี่เขานะคะ พี่เขาขอแสดงฝีมืออวดน้ากับอาหมอเอง จันทร์รับรองค่ะ ฝีมือพี่เขาไม่ด้อยหรืออาจดีกว่าจันทร์ด้วยซ้ำ” จันทร์จิราที่แปลงกายเป็นผู้ช่วยพ่อครัวเอ่ยชมอย่างออกนอกหน้า สิริพยักหน้าแทบไม่อยากเชื่อคำพูดของเธอ จนกระทั่งของหวานถูกยกเข้ามาปิดท้าย แหม ครบเครื่องเชียวนะ ทั้งของคาว ของหวาน ไม่เสียแรงที่หลานของเธอหลงรักตั้งแต่แรกเจอ
“เชิญทานได้เลยครับ หากฝีมือผมไม่อร่อยเท่าที่จันทร์เขาทำก็อย่าว่ากันนะครับ” ธีรุตม์ลงมือตักข้าวให้อาหมอเป็นคนแรกและเขาเป็นคนสุดท้าย สิริไม่รอช้าลงมือชิมกับข้าวทุกจาน สีหน้าบ่งบอกถึงความประหลาดใจ เธอแทบไม่อยากเชื่อ ผู้ชายคนนี้ทำอาหารได้อร่อยกว่าจันทร์จิราเสียอีก เช่นเดียวกับอาหมอที่บ่นไม่ขาดปากว่าอีกหน่อยคงต้องขอฝากท้องกับหลานเขยของสิริในอนาคตทุกวัน
จันทร์จิราปลื้มใจจนอดใจไม่ไหวต้องแอบกุมมือชายคนรัก แล้วตักอาหารให้เขาเป็นการตอบแทน สิริแกล้งทำไม่เห็นปล่อยให้คู่รักแสดงความเอื้ออาทรที่มีต่อกัน หล่อนแกล้งตักอาหารให้อาหมอเมื่อเห็นสายตาสอดรู้สอดเห็นเอาแต่จ้องมองธีรุตม์และจันทร์จิราอย่างไม่ละสายตา
“มัวแต่มองเด็กๆเขาหวานกันอยู่ได้รีบๆกินซะเดี๋ยวฉันแย่งกินหมดไม่รู้ด้วย” เสียงดุไม่จริงจังเล่นเอาอาหมอต้องเลิกเก็บภาพประทับใจของคนทั้งสองไปโดยปริยาย
ทุกคนอิ่มเอมกับอาหารเย็นที่แสนวิเศษ โดยเฉพาะคนสูงวัยทั้งสองที่แม้ทานอาหารคาวจนเต็มคราบ แต่ยังไม่วายยืนมือไปรับของหวานจากพ่อครัวคนเก่ง
“ของหวานนี่ก็เยี่ยมไม่แพ้กัน ไม่หวานจนเลี่ยน เก่งอย่างนี้น่าไปเปิดร้านขายอาหารให้รู้แล้วรู้รอด” อาหมอเอ่ยชมเมื่อลิ้มรสของหวานจานพิเศษ
“พ่อรุตม์เคยไปเรียนทำอาหารมาหรือเปล่า” สิริเอ่ยถามไม่ปฏิเสธฝีมือในการทำอาหารของเขาเหนือกว่าจันทร์จิราจริงๆ
“ผมเรียนจากแม่และป้าครับ เวลาว่างแม่มักสอนให้ผมทำอาหาร หลังจากท่านเสียไปก็ได้ป้าคอยช่วยอบรมสั่งสอน โดยเฉพาะของหวาน” ธีรุตม์เอ่ยอย่างถ่อมตนยกความดีความชอบให้แม่และป้าไปเต็มๆ
“ใช่ค่ะน้าสิริ ป้าพริ้งต้นตำรับสาลี่สุพรรณที่โด่งดังเป็นป้าแท้ๆของพี่รุตม์ค่ะ” สิริเคยได้ยินชื่อเสียงป้าพริ้งมานานนึกไม่ถึงจะเป็นป้าแท้ๆของเขา
“เพราะได้อาจารย์ดีนี่เองถึงสืบทอดฝีมืออย่างครบครัน”
“ท่านบอกว่าจะสอนให้จันทร์ทำขนมด้วยค่ะ เสียดายที่กลับมาก่อนเลยไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียน” จันทร์จิราหน้ามุ่ยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นกับเธอไม่นาน
“แหม ถึงขั้นพาไปกราบไหว้ญาติผู้ใหญ่ อีกไม่นานคงจะมีข่าวดีใช่ไหมพ่อหนุ่ม” อาหมอคิดไว ปากไว จันทร์จิราทั้งปลื้มทั้งอายอดดีใจไม่ได้เมื่อเห็นสายตาที่เปี่ยมรักจ้องมองมา
“ผมคงไม่เร่งรัดอะไร อยากให้จันทร์มุ่งมั่นในสิ่งที่ใฝ่ฝันให้สำเร็จเสียก่อน” ธีรุตม์เอื้อมมือไปบีบมือเรียวเบาๆเพื่อตอกย้ำในสิ่งที่เขาพูด
“น้าชอบคนอย่างเราน่ะพ่อรุตม์ มีความเป็นสุภาพบุรุษ ทำอะไรเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่น้าว่ามันนานไปหรือเปล่า อีกตั้งหกปี น้ากลัวคนข้างๆจะขาดใจตายเสียก่อน น้าว่าหมั้นหมายให้เป็นที่เรียบร้อย รอให้เรียนจบแล้วค่อยแต่งไม่ดีกว่าหรือ” สิริอยากให้คนทั้งสองเข้าพิธีแต่งงานเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่พอใจเรื่องที่ปวินทร์เข้าไปลวนลามจันทร์จิราถึงในโรงพยาบาล
“น้าสิริ ล้อหนูอีกแล้ว” เด็กสาวอายม้วนนั่งบิดไปบิดมา พอเห็นผู้ใหญ่ทั้งสองยิ้มแย้มด้วยความเอ็นดู จันทร์จิรายิ่งทำอะไรไม่ถูกเลยพาลมาลงที่คนด้านข้าง
“พี่ห้ามยิ้มตามคนอื่นนะคะ ไม่งั้นจันทร์โกรธจริงๆด้วย” ธีรุตม์รีบหุบปากโดยอัตโนมัติ คนอื่นๆที่เธอหมายถึงเลยพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน
หลังอาหารเย็นผ่านพ้น ธีรุตม์ขอเป็นคนทำความสะอาดถ้วยชาม จันทร์จิราขอเป็นผู้ช่วยแต่ถูกปฏิเสธ เขาให้เหตุผลเธอควรใช้เวลาอยู่กับสิริให้มาก ส่วนเรื่องล้างจานปล่อยให้เป็นหน้าที่เขา
เพิ่งผิดหวังเรื่องในครัวเลยว่าจะออกมาช่วยเก็บโต๊ะเก้าอี้ แต่กลับต้องผิดหวังซ้ำสองเมื่อข้าวของทุกอย่างถูกนำมาเก็บไว้ที่เดิมแถมเช็ดถูทำความสะอาดเป็นที่เรียบร้อย
คงเป็นญาติผู้ใหญ่ทั้งสองของเธอ ที่ช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาด แต่ทั้งคู่หายขึ้นไปนาน จันทร์จิราอดเป็นห่วงไม่ได้ ไม่กล้าขึ้นไปตามกลัวคนที่อยู่ในครัวต้องการความช่วยเหลือต้องมายืนรออยู่ที่เชิงบันได สักพัก คนที่ก้าวเดินลงมากลับเป็นสิริเพียงผู้เดียว
“หายไปไหนมาคะ หนูเป็นห่วงแทบแย่ อาหมอเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมถึงไม่ลงมาด้วย”
“รายนั้นสงสัยยกเก้าอี้มากไปหน่อย เห็นบ่นปวดหลัง น้าเลยพาไปอาบน้ำแล้วหายามานวดให้ นี่ก็หลับไปแล้ว” สิริหัวเราะเยาะเพื่อนวัยใกล้กันจนตัวเองเริ่มปวดหลังขึ้นมาตะหงิดๆ เลยขอให้จันทร์จิราช่วยพาไปนั่งที่โซฟาแทนที่จะยืนคุย
“จะมาห่วงน้าทำไม หนูน่าจะเข้าไปช่วยพี่เขาล้างจานมากกว่า” สิริพูดทีเล่นทีจริงเพราะไม่คิดว่าเธอจะปล่อยให้ผู้ชายอย่างธีรุตม์ต้องลงมือล้างจานด้วยตัวเอง
“หนูจะเข้าไปช่วยแล้วค่ะ แต่พี่เขาไล่ให้ออกมาคุยกับน้า”
“แหม รักเขามากละสิ ถึงยอมเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่าง” สิริเชยคางขึ้นเห็นแววตาเธอสุกสกาวราวกับมีดวงดาวนับร้อยนับพันประดับประดา
“ค่ะ พี่เขาเป็นคนดี ไม่เคยล่วงเกินจันทร์สักครั้งแม้จะมีโอกาสเมื่ออยู่ด้วยกันสองต่อสอง” เธอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงเรื่องที่เธอถูกล่อลวงจากรติมาเจ้าของรีสอร์ทหน้าเนื้อใจเสือให้ฟัง
“ตายจริง น้าก็ได้ดูข่าวเรื่องรีสอร์ทถูกไฟไหม้ เห็นตำรวจระบุไฟฟ้าลัดวงจร ที่แท้ฝีมือพ่อรุตม์นี่เอง” สิรินึกชมเชยไหวพริบ หากไม่ได้เขาช่วยหลานสาวของเธอคงตกเป็นเหยื่อของเสี่ยตัณหากลับคนนั้นไปแล้ว
“โชคดีของหนูด้วยค่ะที่เจอคนดีๆและมีพี่รุตม์อยู่เคียงข้าง ถึงกลับมาได้อย่างปลอดภัย” เธอเล่าเรื่องสารวัตรสุริยาและณัฐรินีย์ ที่คอยให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แม้เพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก
“คงเป็นบุญที่หนูทำไว้แหละจ้ะ ผลบุญถึงเกื้อหนุนให้พบแต่คนดีๆ รักษาความดีให้ตลอดไปนะจ๊ะคนดีของน้า” พูดจบ สิริก้มลงจูบจันทร์จิราด้วยความรัก
“น้าไม่ตำหนิหนูใช่ไหมคะ เรื่องที่หนูคบหาและมีใจให้พี่เขา” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองญาติผู้ใหญ่ที่เธอให้ความเคารพนับถือมากที่สุด
“แค่ไหนล่ะจ๊ะที่หนูแสดงออกกับพี่เขา บอกน้าได้ไหม น้าจะได้ตัดสินใจว่าที่หนูทำลงไป สมควรตำหนิหรือเปล่า” สิริพูดอย่างผู้ใหญ่ที่เข้าใจความรู้สึกวัยรุ่น เธอไม่เคยซักไซ้ไล่เลียงแต่อดทนรอให้จันทร์จิราเดินมาขอคำปรึกษา
“จันทร์กับพี่รุตม์ก็แค่ จับมือ กอด จูบ ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นค่ะ” พูดถึงตอนท้ายจันทร์จิราถึงกับก้มหน้างุด
“โถ เรื่องแค่นี้ ตอนน้าคบกับน้าผู้ชายก็ทำเหมือนหนูแหละจ้ะ ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน คนรักกันชอบกันมันอดไม่ได้หรอกที่อยากแสดงความรักความห่วงหาอาทร แต่เราต้องดูกาละเทศะ และอย่าให้เลยเถิดจนถึงขั้นมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง เข้าใจนะจ๊ะว่าน้าหมายถึงอะไร”
“เข้าใจค่ะ” จันทร์จิราพยักหน้าน้อยๆรู้สึกรักคนตรงหน้ามากกว่าแต่ก่อน เลื่อนมือทั้งสองข้างเข้ามาโอบกอดสิริจนแนบแน่น
“ขืนน้าห้ามโน่น นี่ นั่น จนหยุมหยิม ยังไงหนูจันทร์ของน้าคงแอบไปทำตอนที่อยู่กันสองต่อสอง สู้ทำให้น้าดูไม่ดีกว่าเหรอ คนแก่อย่างน้าได้พลอยมีชีวิตชีวาไปด้วย” สิริพูดติดตลกทำเอาเด็กสาวหัวใจชุ่มชื่นที่มีคนเห็นดีเห็นงามในเรื่องความรักของเธอ ยิ่งถ้ารวมศศินาด้วยอีกคนเธอคงมีความสุขมากกว่าใคร จันทร์จิราเงียบไปเพราะครุ่นคิดถึงสิ่งที่เธออยากให้กลายเป็นจริงมากที่สุดนั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสิริ
“หนูอยากให้น้าสิริมาเป็นแม่ของหนูจังเลย หนูจะได้มีแม่ที่รักและเข้าใจหนูเพิ่มอีกคน” คนสูงวัยเชยคางจันทร์จิราขึ้นมาสบตา
“ก็แล้วทำไมไม่เรียกแม่เสียทีล่ะจ๊ะ น้าน่ะ รอให้หนูเรียกแม่ตั้งนานแล้วนะ ยังนึกอิจฉาศศินาที่หนูยอมเรียกเธอว่าแม่ แต่กับน้าที่ทั้งรักทั้งเอ็นดูหนูมากกว่าใคร จนป่านนี้ไม่เห็นว่าหนูจะใจอ่อนยอมเรียกแม่เสียที” จันทร์จิราได้ฟังคำตัดพ้อแล้วนึกเสียใจ จริงทุกคำที่สิริพูดออกมา คนแรกที่มอบความรักให้เธอมากกว่าใครคือผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า แต่เธอกลับไม่เคยเรียกสิริว่าแม่สักคำ เด็กสาวน้ำตาไหลพรากด้วยความเสียใจ ทรุดตัวลงนั่งพับเพียบกราบแทบเท้าสิริเพื่อขอขมา
“หนูขอโทษค่ะแม่ ยกโทษให้หนูด้วยนะคะ หนูอยากเรียกแม่อยากนอนหนุนตักแม่ตั้งแต่วันแรกที่แม่ให้ที่พักอาศัยกับหนู แต่หนูไม่กล้าเพราะกลัวความรู้สึกของอ้อย หนูกลัวเธอคิดมากและน้อยใจหากแม่มอบความรักให้หนูมากกว่าเธอ” สิริพยุงร่างที่สั่นเทาขึ้นมาปลอบโยน
“โถ แม่ก็เพิ่งเข้าใจสาเหตุวันนี้ ที่จริงแม่รักพวกหนูทั้งสองคนเหมือนลูกแท้ๆเท่าเทียมกัน ส่วนอ้อยคงชินปากเพราะเรียกน้าตั้งแต่จำความได้ ทั้งที่แม่ดูแลอ้อยตั้งแต่เล็ก ก็ได้จ้ะต่อนี้ไปแม่จะรับทั้งสองคนไว้เป็นลูก ลูกจันทร์ของแม่จะได้ไม่ลำบากใจ” จันทร์จิราพยักหน้าแต่ยังอดถามไม่ได้
“แม่ไม่โกรธหนูแล้วใช่ไหมคะ”
“แม่ไม่โกรธหนูหรอกจ้ะ แค่บางเวลาที่นึกแล้วอดน้อยใจไม่ได้ ไอ้เราทั้งรักและห่วงหาอาทรไม่แพ้ใคร ทำไมยายเด็กคนนี้ถึงใจแข็งไม่ยอมเรียกเราว่าแม่สัก” จันทร์จิราจูบแก้มสิริไม่อยากได้ยินคำตัดพ้อที่เอ่ยจากปากของท่านอีกต่อไป
“แม่จะดุจะด่าหรือจะตี หนูไม่ว่าค่ะ แต่อย่าพูดตัดพ้ออีกเลยนะคะ แค่นี้ก็ทำให้หนูนอนไม่หลับไปหลายคืนแล้วค่ะ” เด็กสาวก้มลงกราบที่อกสิริอีกครั้ง