หนึ่งปีเก้าเดือนกับชีวิตสุดๆในเมลเบิร์นของผม ผ่านไทม์ไลน์ ;)

ถ้าให้นึกถึงชีวิตนักเรียนนอก ทุกคนอาจจะมองเห็นภาพที่สวยหรูของครอบครัวอู้ฟู่ที่มีความสามารถทางการเงินส่งลูกไปมีชีวิตเก๋เรียนต่างประเทศได้ แต่ทุกวันนี้มันไม่ใช่แล้วครับ อันนั้นมันสมัยก่อนที่ต้องมีเงินจริงๆถึงจะส่งลูกออกไปเรียนไกลถึงต่างแดน ทุกวันนี้หลายๆประเทศมีครอสสอนตั้งแต่ภาษาอังกฤษไปถึงปริญญาอะไรก็ตามที่คุณใฝ่ฝัน และคุณมีเงินแค่แสนห้า คุณก็สามารถส่งลูกคุณไปเรียนต่างประเทศได้แล้วครับ 555+ และตัวผมเองก็ได้ถูกส่งไปเรียนภาษาอังกฤษที่เมลเบิร์นประเทศออสเตเลียหลังจากจบปริญญาตรี จริงๆแล้วผมรบเร้าคุณแม่ผมเองแหละให้เขาส่งผมไป คนจบใหม่รุ่นนี้หลายๆจะมีความกลัวแบบเดียวกันคือไม่กล้าที่จะเผชิญกับการเป็นพนักงานเงินเดือนและตัวผมเองก็ไม่มีความสนใจในสายงานที่เรียนจบมาด้วย เลยคิดว่าถ้าเรารู้ภาษาอังกฤษคงจะมีประโยชน์ต่อยอดอะไรหลายๆอย่างในอนาคตได้และที่สำคัญผมต้องการออกไปใช้ชีวิตไกลบ้านสักครั้ง ต้องขอบคุณคุณแม่ที่ส่งผมไปสู่ฝันที่ผมไม่สามารถคว้าเองได้ในวันนั้นและตั้งใจว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะร้องขอให้แม่ช่วย ร้องไห้ และหนึ่งปีกับอีกเก้าเดือนจากวันที่ผมบินออกจากประเทศจะเป็นอย่างไร
ฝากติดตามกันด้วยนะครับ อมยิ้ม29

ขอพูดถึงค่าใช้จ่ายในครั้งนั้นก่อนละกัน

ค่าใช้จ่ายในการเรียนภาษาที่เมลเบิร์น, ออสเตเลีย 24 สัปดาห์
(โดยอ้างอิงอัตราเงินออสเตเลียของเดือนสิงหาคมปี 2557 คือ 29 บาท ค่อ 1 ดอลล่า ออสเตเลีย)
ค่าวีซ่านักเรียนออกเตเลียประมาณ 15,000 บาท
ค่าคอสเรียนภาษา24 สัปดาห์ (180$*24)$ = 125,280 บาท
ค่าสมัครเรียน 200$ = 5,800 บาท
ค่าเอกสารการเรียน 200$ = 5,800 บาท
ค่าประกันสุขภาพ 7 เดือน 280$ = 8,120 บาท
ค่าจัดหาที่พัก 230$ = 6,670 บาท
ค่าที่พัก Homestay อยู่กับโฮส(คนที่นั่น) 4 สัปดาห์ (280*4)$ = 32,480 บาท
ค่ารถมารับที่สนามบิน 150$ = 4,350 บาท
ค่าเครื่องบินเที่ยวเดียว 13,500 บาท
รวมทั้งหมดเป็น 217,000 บาท"

เอเจนซี่
เอเจนที่ส่งนักเรียนมาที่ออสเตเลียก็มีหลากหลายเจ้าครับผม
ทำไมเราถึงต้องทำเรื่องผ่านเอเจน การยื่นเรื่องผ่านเอเจนสะดวกกว่าเพราะเขาจะจัดการเรื่องเอกสารให้เราทั้งหมดครับ และทุกวันนี้เขาก็ไม่ได้คุยค่าปรึกษาแล้วด้วย รายได้ของเขาจะไปอยู่กับค่าหัวนักเรียนที่ส่งไป โดยทางโรงเรียนจะแบ่งให้เขาเป็นเปอร์เซ็นของคอร์สที่นักเรียนลงเรียนนะครับ
แต่ที่เราควรใส่ใจคือค่าใช้จ่ายในแต่ละส่วนที่เขาคิดให้เราว่าอันไหนจำเป็นหรือไม่จำเป็น โดยในย่อหน้าแรกที่ผมกล่าวไว้ว่าแสนห้าก็มาได้จะเป็นยังไงมาดูกันครับ

ค่าจัดหาที่พัก 230$ = 6,670 บาท
ค่าที่พัก Homestay อยู่กับคนที่นั่น 4 สัปดาห์ (280*4)$ = 32,480 บาท
บ้านโฮสเขาจะมีข้าวให้เราสองมื้อนะครับเป็นมื้อเช้าและเย็น และบ้านจะอยู่ห่างจากตัวเมืองพอสำควร ซึ่งส่วนนี้ตัดได้ครับ
เราสามารถแชร์บ้านกับคนไทยหรือคนต่างชาติก็ได้ซึ่งมีราคาถูกกว่า ซึ่งสามารถหาได้จากเวป gumtree.com

ค่ารถมารับที่สนามบิน 150$ = 4,350 บาท
รถมารับที่สนามบินถ้าใครต้องการไปบ้านโฮศอาจจะจำเป็นต้องใช้เพราะว่าไม่รู้ทางแต่ถ้าคุณอาศัยอยู่ที่อยู่ที่คุณหาเองคุณสามารถนั้ง Skybus 25 ดอล ไปลงสถานีรถไฟในตัวเมืองได้เลยนะครับ และซื้อบัตร Myki Card เพื่อนโดยสารรถไฟ รถรางและรถเมย์ได้ในใบเดียว โดยค่าโดยสารเที่ยวละ 3.90 ดอลหรือไม่เกินวันละ 7.20 ดอลล่า(เหมาวัน)

และค่าเงินทึกวันนี้เหลือแค่ 26 บาท ต่อ 1 ดอลล่า ออสเตเลียครับ ไม่รู้ว่าด้วยเพราะเศรษฐกิจไทยเศรษฐกิจเทศก็แล้วแต่
ก็จะเหลือแค่ 158,500 บาท ที่ต้องจ่ายให้เอเจนซี่ อาจจะเกินจากที่ว่ามาหน่อยอย่าว่ากันนะครับคิดสดๆเลย
(แต่อย่าลืมว่าต้องหาบ้านอยู่เองนะครับ ซึ่งไม่ยาก) อมยิ้ม16


จัดกระเป๋า
ในที่สุดวีซ่าก็ผ่าน ก่อนไปผมก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากเนื่องด้วยไม่คิดว่าจะต้องเอาอะไรไปมากมายจัดกระเป๋าเรียบร้อยแต่ทำไมมันหนักจังว้าาแต่ผมมีโรคส่วนตัวต้องพกยาเข็มไปฉีดด้วยและยาก็ต้องแช่เย็นไว้เท่านั้นเลยต้องพกกระติกน้ำแข็งไปด้วย อย่างฮาตัวเองเดือนถือกระติกน้ำแข็ง ก็ขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่ายาที่ดูรุนแรงและยิ่งเป็นเข็มควรให้คุณหมอเขียนจดหมายให้ทางอิมมิเกรชั่นทั้งฝั่งไทยและฝั่งนู้นไว้เผื่อมีปัญหาด้วย
(วีซ่านักเรียนส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักกระเป๋า 40 กิโลกรัมไม่รวมแครรี่ขึ้นเครื่องครับ)


(สเตตัสบอกลาเพื่อนๆทุกคน)


สิ่งต้องห้ามนำเข้าออกเตเลีย
- นก ขนนก และผลิตภัณฑ์จากสัตว์,สัตว์ปีก
- เมล็ดพืช ผลิตภัณฑ์จากพืช์ และถั่วตากแห้ง
- ผลิตภัณฑ์จากนม,ชากาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆที่มีนมเป็นส่วนประกอบ
- ผัก และผลไม้สด (ผักผลไม้แห้งต้องได้รับการบรรจุหีบห่อเพื่อการค้า)
- น้ำผึ้ง และผลิตภัณฑ์จากผึ้ง
- พืช แมลง สัตว์ที่มีชีวิต ,อุปกรณ์ใช้แล้วที่ใช้กับสัตว์
- เนื้อและผลิตภัณฑ์จากเนื้อ (ทั้งสดและแห้ง) รวมถึงหมูกระป๋อง
- ปลา,ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลอื่นๆ (สดและแห้ง)
- อาหารต่างๆที่สุก,ดิบ,รับประทานเล่น,ส่วนผสมของอาหาร และขนมต่างๆ
- ผลิตภัณฑ์ยา,สมุนไพร
- ดินและทราย
- ฟาง และหญ้าแห้ง และเครื่องประดับที่ทำจากฟาง
- อุปกรณ์กีฬาและอุปกรณ์ออกค่ายที่ใช้แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


ออกบิน
ในที่สุดก็มาถึงวันที่ต้องออกบิน ผมตื่นแต่เช้าตรู่ ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่ บอกแม่บอกเพื่อนและพี่น้องเรียบร้อยไม่ต้องไปส่งครับผมไปเองได้ไม่อยากให้เป็นธุระใครและเครื่องออกเช้าซะด้วย ต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ไปถึงสนามบินตีห้ากว่าๆ ก็รอขึ้นเครื่องรอบแปดโมงครึ่ง แหม๋เผื่อเวลาซะเยอะเชียวไหนว่าไม่ตื่นเต้น ฮ่าๆ
ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็ติดต่อกับการบินไทยภาคพื้นดินไว้เรียบร้อยว่าจะมีการฝากกระติกน้ำแข็งสุดเสร่อของผมไว้ไปแช่บนเครื่องด้วย ฮ่าๆ นั้งรอขึ้นเครื่องประมาณเกือบสองชั่วโมงทำไมมีแต่คนอินเดีย ไม่เห็นมีฝรั่งเลย ฮ่าๆ
ในที่สุดก็แปดโมงครึ่งผมจัดการนำกระติกไปฝากกับพนักงานแช่ตู้เย็นเรียบร้อย ขึ้นเครื่องบินมาก็หลายทีแล้ว แต่ครั้งนี้ขึ้นคนเดียวไปต่างประเทศครั้งแรก!! ชักจะประหม่านิดหน่อยแล้วเราเมื่อรู้ว่าต้องจากประเทศไทยไปเป็นระยะที่ไม่ใช่สั้นๆ อมยิ้ม14 ที่นั้งผมเลือกอย่างดีริมหน้าต่างครับโดยที่นั้งตรงกลางว่างไม่มีผู้โดยสาร เที่ยวนั้นเป็นเที่ยวที่เงียบมากผมจำได้แม่นเลย มาพูดถึงที่นั้งริมหน้าต่างกันดีกว่า ที่นั้งริมหน้าต่างเหมาะสำหรับคนที่ชอบดูวิวระหว่างการเดินทางแต่ต้องคำนึงด้วยว่ามันเข้าห้องน้ำยากนะครับ และเที่ยวบินนี้ป็นเที่ยวบินที่ค่อนข้างใช้เวลานาน 8-9 ชั่วโมง และเราก็เป็นคนเข้าห้องน้ำบ่อยซะด้วย ซวยซะแล้วจะลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆก็กลัวจะรบกวนคนที่นั้งแถวเดียวกับเราที่จะต้องไปปลุกเขาทำให้เที่ยวนั้นเป็นเที่ยวที่เสียวสุดๆ เพราะผมนั้งอั้นฉี่ครับ ฮ่าๆๆ ลุกไปฉี่เพียงแค่สองครั้งเท่านั้น ระหว่างการเดินทางพนักงานบนเครื่องก็ทำการเสริฟอาหารบ่อยมาก เรียกได้ว่าแป้บๆตื่นมากิน ฮ่าๆ แต่มันก็ไม่ช่วยให้เราอดคิดถึงชีวิตฝั่งนู้นได้เลย ว้าเหว่มากครับกับคนจากบ้านครั้งแรกคิดถึงแม่ขึ้นมาทันที กดหน้าจอบนเครื่องบินแก้ฟุ้งซ่านกดไปจะดูหนังก็ดูไม่สะดวกเพราะผมเป็นคนตัวสูงมาก 187 ซม. ทำให้ที่นั้งติดหัวเข่าดูหนังลำบากเพราะหัวสูงเกินไปฮ่าๆ เลยตัดสินใจฟังเพลงดีกว่าเลื่อนไปเรื่อยๆเจอเพลงพี่เบริด ธงชัย ศิลปินคนโปรดของแม่ผม ผมเลยตัดสินใจฟังพี่เบริดเนี่ยแหละฮ่าๆ และคุณเชื่อไหมเพลงพี่เบริดเหมาะกับบรรยากาศบนนั้นมาก ทุกวันนี้เวลาผมฟังเพลงเล่าสู่กันฟัง เพลงหยดน้ำ หรือเพลงเก่าๆช้าๆของพี่เบริดมันยังทำให้ผมกลับไปอยู่ที่นั่นบนไฟล์ทที่ๆมีแต่ตัวผมและบรรยากาศเหงาๆนั้นได้เสมอ


(สเตตัสนี้ผมแชร์หลังจากอยู่เมลเบิร์นมาได้ประมาณสามสัปดาห์แล้ว วันนั้นคิดทบทวนเรื่องเก่าๆทำให้นึกถึงบรรยากาศวันนั้นครับ)


วันแรกในเมลเบิร์น
หลังจากฟังเพลงพี่เบิร์ดวนจนหลับวนจนซ้ำไม่รู้กี่รอบสุดท้ายผมก็ถึงที่หมายสนามบิน Tullamirine เมลเบิร์น ออสเตเลีย ไปขอกระติกน้ำแข็งคืนจากพนักงานเรียบร้อยก็เดินไปตรวจกระเป๋า ไม่มีปัญหาครับจดหมายครบถ้วน คนตรวจเขาถามนิดหน่อยว่าจะไปไหนต่อผมก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องก็ยื่นที่อยู่ของบ้านโฮสที่จะไปอยู่ให้เขาดู ผ่านเรียบร้อยไม่มีปัญหา แต่ปัญหากำลังจะมาครับผม เมื่อผมออกมาจากเกตก็มองหาคนมารับที่สนามบินทันที แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่เขาไม่อยู่ตรงนั้นครับ เห็นคนมาชูป้ายรอรับผู้โดยสารหลายคน แต่ทั้งหมดนั้นไม่มีชื่อผม อมยิ้ม32 เอายังไงดีละ ไม่ได้ปริ้นที่อยู่และรายละเอียดของคนมารับไว้ด้วยละสิ ใจแป้วเลยครับยังไม่ทันออกจากสนามบินเลยปัญหาก็มาซะแล้ว ฮ่าๆ นึกขึ้นได้พี่เอเจนเขาเคยส่งเมลรายละเอียดมาให้เรานี่หน่า รีบควักโทรศัพท์ออกมาเลย จะเข้าอินเทอร์เน็ต แบตหมดครับ    ร้องไห้ ผมเล่นตอนระหว่างรอเครื่องที่ไทยมากเกิน ก็มันนานนี่หน่า ฮ่าๆ แต่เดี๋ยวก่อนเราพกโน็ตบุกมาด้วย รีบเปิดออกมาหาเนทไวไฟล์ของสนามบินเลยครับระหว่างนั้นก็เสียบชาร์ตโทรศัพท์ไปด้วย เน็ตที่สนามบินมันห่วยหรือคอมผมมันห่วยก็ไม่รู้นะครับเชื่อมต่อลำบากมาก และกว่าจะเชื่อมได้แต่ละทีดันหลุดบ่อยอีก แต่ยังไงก็ตามในที่สุดผมก็ได้ชื่อและเบอร์ติดต่อของคนมารับได้ในที่สุดครับ เขาชื่อว่านายอารีฟ แต่ผมไม่มีซิมของที่นู้นนะสิ และตู้โทรศัพท์ก็ต้องใช้เหรียญซะด้วย เลยลองเดินไปดูจะแตกแบงค์เป็นเหรียญและร้านที่ใกล้ที่สุดเหมือนจะเป็นร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือแนวแกทเจทนั่นแหละ ตั้งแต่หัวแปลงปลั๊กไปยันแฟลชไดท์และของแต่ละอย่างมันช่างแพงแบบขูดเลือดครับผม ผมงกด้วยครับ เงินที่พกไปก็มีน้อยแค่หนึ่งหมื่นบาทหรือประมาณสามร้อยกว่าดอลครับช่วงนั้น และผมก็ไม่สามารถเดินไปไหนไกลได้เพราะสัมพาระมันมากมายเหลือเกินทั้งกระเป๋ากล้อง กระเป๋าโน็ตบุก กระเป๋าเสื้อผ้า และยังกระติ๊กน้ำแข็งอีก ฮ่าๆๆ เอายังไงดีละเนี่ยแต่ในช่วงที่ลำบากแบบนี้เรามักจะมีไอเดียดีๆผุดมาช่วยชีวิตเราเสมอ ถ้าเราไม่อยากเสียเงิน แต่ต้องการจะรู้ว่านายอารีฟนี่อยู่ตรงไหน ทำไมยังไม่มารับผมสักที เพื่อนๆจะทำยังไงดีครับ...... ถ้ามีวิธีดีๆแนะนำผมได้นะครับ
แต่วันนั้นผมได้ลองโพสสเตตัสขอความช่วยเหลือไปบนหน้าเฟสบุ๊กของผมทันที เพราะว่าเพื่อนๆผมในเฟสบุ๊กอาจจะมีใครอยู่หรือมีคนรู้จักอยู่ที่ออสเตเลียบ้าง โดยในสเตตัสนั้นผมมีรายละเอียดของนายอารีฟและความเป็นมาทำไมผมต้องการให้ช่วยโทรไปเบอร์นั้น อาจจะหยาบคายนิดหน่อยนะครับแต่ผมอยากนำเสนอความเรียวววของฟิลลิ่งแบบระดับจิตสัมผัส ฮ่าๆๆ


(สเสตัสขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆที่อยู่หรือมีคนรู้จักอยู่ออสเตเลีย)


ใครจะไปเชื่อครับไม่เกินสิบนาทีเจ้าอารีฟก็มายื่นถือป้ายชื่ออยู่ตรงประตูที่ผมออกมาตอนลงเครื่อง ไออารีฟฟฟฟ ความรู้สึกตอนนั้น"รอดแล้วเรา" เขารีบเดินเข้าไปหาเขาและถามว่าไปไหนมาผมมารอคุณตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาบอกว่าไฟล์ทผมมันเลทเลยออกไปเดินเล่นข้างนอก "ไอสาดดดอารีฟฟ ใช่เรื่องไหมผมจ่ายไปตั้ง 150 ดอล" แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา ด้วยเพราะว่ายังพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น เดินไปขึ้นรถ โอ้โห! รถเบ้นเลยนะครับ ถึงว่าทำไมมันแพง เอาของขึ้นรถเรียบร้อยออกเดินทางสู่บ้านโฮส ระหว่างนั้งรถไปก็มีคนโทรเข้ามาหาอารีฟตลอดทางถามว่าเขาไปรับผมหรือยัง จนหลังๆเขายื่นโทรศัพท์ให้ผมคุยเลย ฮ่าๆๆ ขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยเหลือผม และสุดท้ายก็ถึงบ้านโฮสครับ อารีฟไม่รีรออยากกลับบ้านแบบสุดๆเดินตรงดิ่งไปกดออดหน้าบ้านอย่าไม่รีรอ

บ้านโฮส
บทต่อไปเป็นของ"บ้านโฮส"เดี๋ยวยังไงผมมาเขียนต่อนะครับ

ปล.ที่แทค ทำงานต่างประเทศ คือผมจะพูดถึงชีวิตการทำงานที่นู้นด้วย และแทคชีวิตวัยรุ่นเพราะว่าตอนผมไปผมอายุ 22 ปีนะครับ
ปล2.บทใหม่ออกทุกวันเวลาห้าโมงเย็นนะครับ
ฝากโหวต ฝากติดตามด้วยนะครับ อมยิ้ม29อมยิ้ม29อมยิ้ม29
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่