ไปเที่ยวสวิส อย่าคิดมาก ตอนที่ 1: สุวรรณภูมิ – ดูไบ – ซูริค – ลูเซิร์น
ขอแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางไปสวิสครั้งแรกของผม (13 - 23 มิถุนายน 2559) ด้วยข้อสรุปสั้นๆ ว่า “อย่าคิดหรือเตรียมการอะไรให้มากจนเกินไป” ด้วยเหตุที่ผมจัดอยู่ในพวก “คุณเป๊ะ (Mr. Perfect)” คือทุกอย่างต้องเป็นไปตามโปรแกรมที่วางไว้ ผมมันเป็นพวกบ้าวางแผน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือพวกวิตกจริต ทริปนี้ทำให้ผมได้บทเรียนว่าถ้าจะมาเที่ยวสวิสให้สนุกต้องอย่าคิดมากจนเกินไป วางแผนแบบไม่เป๊ะบ้างก็ได้ โดยผมจะอธิบายแทรกไว้ในการเล่าเรื่องแต่ละตอน ที่ผมต้องแยกเขียนเป็นหลายตอนก็เพราะพยายามจะใส่รูปประกอบให้มากๆ จะได้ดูน่าสนใจ ส่วนหัวเรื่องของแต่ละตอนนั้นผมจะใส่ชื่อเมืองสำคัญที่ได้ไปมาไว้ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเลือกอ่านได้ตามความสนใจ
สำหรับในตอนที่ 1 นี้ ผมขอเริ่มด้วยการให้ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับการเดินทางของผมจากประเทศไทยไปจนถึงเมืองลูเซิร์น ดังต่อไปนี้ครับ:
เครื่องออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 10.00 น. ใช้เวลาบินเกือบ 6 ชม. ก็ถึงเมืองดูไบ ซึ่งถ้าเป็นเวลาไทยก็ 16.00 น. แต่เวลาที่ดูไบช้ากว่าไทยสามชั่วโมงก็เลยเป็น 13.00 น. เครื่องออกจากดูไบ 16.00 น. บินต่ออีก 6 ชม. ไปถึงสนามบินเมืองซูริค สวิตเซอร์แลนด์ เวลา 20.00 น. (เวลาที่สวิสช้ากว่าเวลาดูไบสองชั่วโมง)
สำหรับบางท่านอาจไม่ชอบเดินทางกลางวัน เพราะนั่นเท่ากับว่าเสียเวลาไปหนึ่งวันเต็มๆ แต่ผมเองกลับรู้สึกว่าการเดินทางกลางวันนั้นมันไม่ค่อยเหนื่อย การเดินทางช่วงกลางคืนถ้าไม่ได้บินตรงต้องลงมาเปลี่ยนเครื่องนั้นมันช่างเป็นอะไรที่ทรมานจริงๆ ผมชอบไฟล์นี้ตรงที่ออกจากไทยไม่เช้าจนเกินไป บินแค่หกชั่วโมงก็ได้ลงจากเครื่องมายืดเส้นยืดสาย ทำให้พร้อมสำหรับการบินในรอบต่อไป แต่ถึงอย่างไรก็ตามเอาเป็นว่าใครชอบบินแบบไหนก็เลือกกันตามอัธยาศัยดีกว่า อย่ามาคิดอะไรให้มากไป จริงไหมครับ เพราะตามความเป็นจริงแล้วตอนที่ผมตัดสินใจซื้อตั๋วก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก แค่เห็นราคาว่าจากกรุงเทพไปสวิสแค่หมื่นเจ็ดนิดๆ ก็หน้ามืดตามัวรีบจองตั๋วทันที ยิ่งรู้ว่าเป็นสายการบินติดอันดับอย่าง Emirates และรู้ว่าเครื่องที่จะบินเป็นเครื่องโคตรใหญ่ Air Bus 380 จากกรุงเทพจนถึงซูริค ก็ไม่คิดอะไรต่อไปแล้ว
ดูท่อไอพ่นของพี่ A380 เขาซิ ใหญ่ได้ใจจริงๆ
ถึงสนามบินซูริคตอนนั้นอุณหภูมิ 14 องศาเซลเซียส มีฝนตกแต่ไม่หนักมาก จากสนามบินนั่งรถไฟเข้าเมืองซูริคใช้เวลาเพียง 15 นาที ค่าตั๋วรถไฟคนละ 6.60 สวิสฟรัง (1 สวิสฟรัง = 36.60 บาท, ค่าตั๋วคิดเป็นเงินไทย 242 บาท) จริงๆ แล้วผมซื้อ Swiss Pass ไว้ 8 วัน แต่ที่วางแผนไว้คือจะเริ่มใช้ในวันรุ่งขึ้น
จากสถานีรถไฟซูริคเดินลากกระเป๋าฝ่าฝนที่ตกไม่หนักนัก เดินข้ามแม่น้ำไป ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็ถึงโรงแรมที่พัก อาบน้ำเสร็จผมก็หมดแรงรีบเข้านอนเป็นคนแรก เพราะระหว่างเดินทางไม่ได้หลับเลยแม้แต่งีบเดียว มัวแต่บ้าดูหนัง 4-5 เรื่องบนเครื่องบิน ตอนที่เข้านอนนั้นเวลาที่นั่นสามทุ่มกว่าแล้ว ซึ่งถ้าเป็นเวลาไทยก็คือตีสองกว่านั่นเอง
เช้าวันรุ่งขึ้นรู้สึกตัวตื่นขึ้นมามองดูนาฬิกา อ้าว เพิ่งตีสองกว่าเท่านั้น พยายามข่มตาให้หลับต่อ ตื่นอีกทีก็ตอนตีสี่ คราวนี้ทำยังไงก็ไม่หลับ เพราะถ้าเป็นเวลาไทยก็เท่ากับเก้าโมงเช้า (แล้วจะมัวไปคิดเรื่องเวลาไทย ให้สับสนทำไมก็ไม่รู้) เช้านี้จะเดินทางต่อไปเมืองลูเซิร์น ส่วนเมืองซูริคจะเก็บไว้เที่ยวทีหลังตอนสองวันสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นเครื่องกลับเมืองไทย
พอทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จก็ลากกระเป๋ากลับไปที่สถานีรถไฟซูริค ไปทำเรื่องจองที่นั่งรถไฟสายกลาเซียร์เอ็กซเพรส (Glacier Express) เส้นทางที่ได้ชื่อว่าสวยมากแห่งหนึ่งในสวิส ตามโปรแกรมแล้วกว่าจะนั่งรถไฟนี้ก็สัปดาห์หน้าแต่ที่ต้องรีบมาจองก็เพราะว่าถ้าช้าอาจจะไม่มีที่นั่ง (เพิ่งทราบว่าบางคนเขาจองมาล่วงหน้าเป็นเดือนๆ) ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ผมจะเล่าให้ฟังอีกทีในภายหลัง วันนั้นหลังจากทำเรื่องจองที่นั่งรถไฟสายกลาเซียร์เอ็กซเพรสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นรถไฟที่จะไปลูเซิร์นทันขบวนที่ออกเวลา 8.35 น. พอดี นั่งไม่นานก็ถึงสถานีลูเซิร์นเวลา 9.20 น. เช้าวันนั้นฟ้าไม่เปิดมีฝนตกปรอยๆ ตลอดการเดินทาง
วันนี้เป็นวันที่เริ่มใช้ Swiss Pass เป็นวันแรก ถึงสถานีลูเซิร์นลูกชายพาไปขึ้นรถบัส (จริงๆ แล้ว Pass นี้ใช้ขึ้นรถบัสได้ตั้งแต่ที่ซูริคแล้ว แต่ตอนนั้นลืมไปสนิท) การนั่งรถบัสทำให้สะดวกมากใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาทีก็ถึงโรงแรมแล้ว ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมเพราะมาเช้าเกินไปเขายังไม่ให้เช็คอินเข้าห้องพัก วันนี้ตามโปรแกรมที่วางไว้ก็คือจะขึ้นไปยอดเขาริกิ (Rigi) การเดินทางไปก็คือต้องนั่งบัสย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟแล้วเดินไปที่ท่าเรือหน้าสถานีเพื่อลงเรือล่องแม่น้ำรอยส์ (River Reuss) ไปเมือง Weggis ค่าเรือก็ไม่ต้องจ่ายเพราะรวมอยู่ใน Swiss Pass แล้ว
บรรยากาศอาคารบ้านเรือนริมฝั่งแม่น้ำรอยส์
ที่เห็นตระหง่านอยู่ตรงหน้าก็คือยอดเขาพิลาตุส (Pilatus) ที่จะไปพิชิตในวันต่อไป
ใช้เวลาอยู่ในเรือ 40 นาที ก็มาถึงท่าเรือเมือง Weggis จากท่าเรือเดินขึ้นเขาไปประมาณ 15 นาทีก็ถึงสถานีรถกระเช้า (Cable Car) ที่จะพาไปยังเมืองบนเขาที่ชื่อว่าเมือง Kaltbad เมืองนี้เท่าที่เดินผ่านมาน่าจะดังในเรื่องสปา เห็นว่ามีโรงแรมและที่อาบน้ำหลายแห่ง เสียดายที่ไม่ได้เดินชม จากเมือง Kaltbad ต่อรถไฟไปสถานีสุดท้ายที่อยู่บนยอดเขาริกิ (Rigi - Kulm) ระหว่างที่รถไฟพาไต่ความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทัศนวิสัยก็ดูจะแย่ลงทุกทีพอถึงสถานีที่ยอดเขาก็แทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย โอ้มายก้อด!
ยิ่งขึ้นไปสูงหมอกก็ยิ่งหนามากขึ้นเรื่อยๆ
อยู่บนนั้นได้ไม่ถึงสิบนาทีต้องตัดสินใจกลับลงมา โชคดีนะที่ว่าการเดินทางขึ้นมาครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นค่า Cable Car หรือค่ารถไฟที่นั่งขึ้นมา ไม่มีค่าใช้จ่ายเพราะถือว่ารวมอยู่ในราคา Swiss Pass แล้ว
ตอนขาลงเลือกลงอีกทางหนึ่ง เป็นเส้นทางที่ไม่ต้องมาต่อ Cable Car คือนั่งลงมาถึงเมือง Arth - Goldau เลย ซึ่งที่เมือง Arth - Goldau นี้สามารถขึ้นรถไฟกลับไปลูเซิร์นได้โดยไม่ต้องนั่งเรือ สรุปว่าภารกิจวันนี้ไม่เป็นไปตามแผนเพราะขึ้นไปถึงยอดเขาริกิแล้วแต่ทัศนวิสัยไม่ดีมองลงมาไม่เห็นอะไร ได้เห็นก็แต่วิวระหว่างทางเท่านั้น
กลับมาถึงลูเซิร์นก็เดินเที่ยวในย่านเมืองเก่า แวะชมสะพานคาเพลล์บรึคเคอ (Kapellbrucke) สะพานไม้โบราณที่มีหลังคาคลุมและหอคอยกลางน้ำที่ดูเหมือนจะเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองลูเซิร์นไปแล้ว ใครไปใครมาก็มักจะไม่พลาดการมาเดินบนนี้
ส่วนที่เห็นอยู่ไม่ไกลที่เป็นหอคอยคู่ปลายแหลมนั้นคือหอระฆังของโบส์ถฮอฟเคียร์เคอ (Hofkirche) โบส์ถแห่งแรกของลูเซิร์นที่สร้างขึ้นตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 8
หากมองไปทางด้านภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ ก็จะพบกับปราสาทเก่าที่ชื่อว่า Gutsch ซึ่งในปัจจุบันได้ปรับปรุงเปลี่ยนเป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวไปแล้ว
ส่วนอาคารที่เห็นโดดเด่นอยู่ใกล้ๆ ก็คือโบส์ถเยซูอิดเท่นเคียร์เคอ (Jesuitenkirche) โบส์ถสไตล์บาร๊อกที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์
จากย่านเมืองเก่าเดินต่อไปตามถนน Alpenstrasse ไม่นานก็จะถึงจตุรัส Lowenplatz อันเป็นที่ตั้งของรูปแกะสลักขนาดใหญ่อยู่บนหน้าผาเป็นรูปสิงโตที่กำลังร่ำไห้ก่อนใกล้จะสิ้นใจ (มีหอกแทงทะลุหลัง) รูปแกะสลักนี้รัฐบาลฝรั่งเศสมอบให้สวิตเซอร์แลนด์เพื่อเป็นการระลึกถึงวีรกรรมของทหารรับจ้างชาวสวิสที่เสียชีวิตในการปกป้องพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารี อังตัวแนตต์ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส
จากหน้าลานอนุสาวรีย์สิงโตมีทางเดินไปสู่สวนธารน้ำแข็ง (Gletschergarten) และพิพิธภัณฑ์ธารน้ำแข็ง (Glacier Museum) เข้าไปถามเขาว่าค่าบัตรผ่านประตูราคาเท่าไหร่ เขาบอกว่าถ้ามี Swiss Pass เข้าฟรี แต่ที่เขาแนะนำก็คือส่วนที่เรียกว่า Mirror Maze หรือ ปริศนากระจกเงา กำลังจะปิดภายในสิบห้านาที ควรจะไปเดินตรงนี้ก่อน พอรู้เช่นนั้นก็รีบเข้าไปทันที . . พบว่าสนุกดีเหมือนเดินเขาวงกต แต่ยากกว่าตรงที่ไม่รู้ว่าทางไหนเป็นทางเดินจริงทางไหนเป็นเงาสะท้อนของกระจก เดินเล่นกันเพลิดเพลินจนเขาปิด กลายเป็นว่านี่เป็นกิจกรรมที่สนุกที่สุดสำหรับวันนี้ เป็นกิจกรรมที่เล่นได้ทุกวัยไม่ว่าเด็กหรือ สว. อย่างผมและภรรยา
เดินวนกลับมาถึงสถานีรถไฟลูเซิร์น ที่ชั้นล่างของสถานีมีร้าน Coop Supermarket ที่ค่อนข้างใหญ่ ได้ยินนักท่องเที่ยวชาวไทยหลายคนพูดถึงไก่ย่างใน Coop ก็เลยลองเข้าไปสำรวจตลาดดู ว่าแล้วก็ได้ไก่ย่างมาหลายชิ้น ซื้อขนมปัง ผัก ผลไม้ เพิ่มเติม หอบหิ้วกลับไปที่โรงแรมเป็นอาหารมื้อเย็นมื้อแรกในสวิสเซอร์แลนด์
กินมื้อเย็นในห้องนอนเสร็จ เหลือบออกไปดูนอกหน้าต่าง เวลาในขณะนั้นน่าจะประมาณสามทุ่มเข้าใจว่าพระอาทิตย์กำลังจะตก แสงอาทิตย์ส่องไปโดนละอองฝนเกิดเป็นสายรุ้งให้เห็นสวยงามดี ส่วนยอดเขาที่เห็นอยู่ไกลๆ ผมเดาว่าคงจะเป็นเขาริกิที่ทำให้เราอกหักในวันนี้
สรุปว่าสิ่งที่ไม่ควรคิดมาก
ข้อที่ 1 ก็คือ
“อย่าคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน สภาพอากาศที่สวิสค่อนข้างเปลี่ยนแปลงเร็ว พยายามทำใจและทำแผนการเดินทางให้ยืดหยุ่นมากที่สุดครับ”
อ่าน "ไปสวิส ไม่ต้องคิดมาก ตอนที่ 2" ได้ที่นี่
http://pantip.com/topic/35323829
สำหรับท่านที่กำลังจะขอวีซ่าไปเที่ยวสวิส ผมมีขอคิดเกี่ยวเรื่องการขอวีซ่า อ่านได้ที่นี่ครับ
http://pantip.com/topic/35203186
[CR] ไปเที่ยวสวิส อย่าคิดมาก (1)
ขอแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางไปสวิสครั้งแรกของผม (13 - 23 มิถุนายน 2559) ด้วยข้อสรุปสั้นๆ ว่า “อย่าคิดหรือเตรียมการอะไรให้มากจนเกินไป” ด้วยเหตุที่ผมจัดอยู่ในพวก “คุณเป๊ะ (Mr. Perfect)” คือทุกอย่างต้องเป็นไปตามโปรแกรมที่วางไว้ ผมมันเป็นพวกบ้าวางแผน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือพวกวิตกจริต ทริปนี้ทำให้ผมได้บทเรียนว่าถ้าจะมาเที่ยวสวิสให้สนุกต้องอย่าคิดมากจนเกินไป วางแผนแบบไม่เป๊ะบ้างก็ได้ โดยผมจะอธิบายแทรกไว้ในการเล่าเรื่องแต่ละตอน ที่ผมต้องแยกเขียนเป็นหลายตอนก็เพราะพยายามจะใส่รูปประกอบให้มากๆ จะได้ดูน่าสนใจ ส่วนหัวเรื่องของแต่ละตอนนั้นผมจะใส่ชื่อเมืองสำคัญที่ได้ไปมาไว้ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเลือกอ่านได้ตามความสนใจ
สำหรับในตอนที่ 1 นี้ ผมขอเริ่มด้วยการให้ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับการเดินทางของผมจากประเทศไทยไปจนถึงเมืองลูเซิร์น ดังต่อไปนี้ครับ:
เครื่องออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 10.00 น. ใช้เวลาบินเกือบ 6 ชม. ก็ถึงเมืองดูไบ ซึ่งถ้าเป็นเวลาไทยก็ 16.00 น. แต่เวลาที่ดูไบช้ากว่าไทยสามชั่วโมงก็เลยเป็น 13.00 น. เครื่องออกจากดูไบ 16.00 น. บินต่ออีก 6 ชม. ไปถึงสนามบินเมืองซูริค สวิตเซอร์แลนด์ เวลา 20.00 น. (เวลาที่สวิสช้ากว่าเวลาดูไบสองชั่วโมง)
สำหรับบางท่านอาจไม่ชอบเดินทางกลางวัน เพราะนั่นเท่ากับว่าเสียเวลาไปหนึ่งวันเต็มๆ แต่ผมเองกลับรู้สึกว่าการเดินทางกลางวันนั้นมันไม่ค่อยเหนื่อย การเดินทางช่วงกลางคืนถ้าไม่ได้บินตรงต้องลงมาเปลี่ยนเครื่องนั้นมันช่างเป็นอะไรที่ทรมานจริงๆ ผมชอบไฟล์นี้ตรงที่ออกจากไทยไม่เช้าจนเกินไป บินแค่หกชั่วโมงก็ได้ลงจากเครื่องมายืดเส้นยืดสาย ทำให้พร้อมสำหรับการบินในรอบต่อไป แต่ถึงอย่างไรก็ตามเอาเป็นว่าใครชอบบินแบบไหนก็เลือกกันตามอัธยาศัยดีกว่า อย่ามาคิดอะไรให้มากไป จริงไหมครับ เพราะตามความเป็นจริงแล้วตอนที่ผมตัดสินใจซื้อตั๋วก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก แค่เห็นราคาว่าจากกรุงเทพไปสวิสแค่หมื่นเจ็ดนิดๆ ก็หน้ามืดตามัวรีบจองตั๋วทันที ยิ่งรู้ว่าเป็นสายการบินติดอันดับอย่าง Emirates และรู้ว่าเครื่องที่จะบินเป็นเครื่องโคตรใหญ่ Air Bus 380 จากกรุงเทพจนถึงซูริค ก็ไม่คิดอะไรต่อไปแล้ว
ถึงสนามบินซูริคตอนนั้นอุณหภูมิ 14 องศาเซลเซียส มีฝนตกแต่ไม่หนักมาก จากสนามบินนั่งรถไฟเข้าเมืองซูริคใช้เวลาเพียง 15 นาที ค่าตั๋วรถไฟคนละ 6.60 สวิสฟรัง (1 สวิสฟรัง = 36.60 บาท, ค่าตั๋วคิดเป็นเงินไทย 242 บาท) จริงๆ แล้วผมซื้อ Swiss Pass ไว้ 8 วัน แต่ที่วางแผนไว้คือจะเริ่มใช้ในวันรุ่งขึ้น
จากสถานีรถไฟซูริคเดินลากกระเป๋าฝ่าฝนที่ตกไม่หนักนัก เดินข้ามแม่น้ำไป ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็ถึงโรงแรมที่พัก อาบน้ำเสร็จผมก็หมดแรงรีบเข้านอนเป็นคนแรก เพราะระหว่างเดินทางไม่ได้หลับเลยแม้แต่งีบเดียว มัวแต่บ้าดูหนัง 4-5 เรื่องบนเครื่องบิน ตอนที่เข้านอนนั้นเวลาที่นั่นสามทุ่มกว่าแล้ว ซึ่งถ้าเป็นเวลาไทยก็คือตีสองกว่านั่นเอง
เช้าวันรุ่งขึ้นรู้สึกตัวตื่นขึ้นมามองดูนาฬิกา อ้าว เพิ่งตีสองกว่าเท่านั้น พยายามข่มตาให้หลับต่อ ตื่นอีกทีก็ตอนตีสี่ คราวนี้ทำยังไงก็ไม่หลับ เพราะถ้าเป็นเวลาไทยก็เท่ากับเก้าโมงเช้า (แล้วจะมัวไปคิดเรื่องเวลาไทย ให้สับสนทำไมก็ไม่รู้) เช้านี้จะเดินทางต่อไปเมืองลูเซิร์น ส่วนเมืองซูริคจะเก็บไว้เที่ยวทีหลังตอนสองวันสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นเครื่องกลับเมืองไทย
พอทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จก็ลากกระเป๋ากลับไปที่สถานีรถไฟซูริค ไปทำเรื่องจองที่นั่งรถไฟสายกลาเซียร์เอ็กซเพรส (Glacier Express) เส้นทางที่ได้ชื่อว่าสวยมากแห่งหนึ่งในสวิส ตามโปรแกรมแล้วกว่าจะนั่งรถไฟนี้ก็สัปดาห์หน้าแต่ที่ต้องรีบมาจองก็เพราะว่าถ้าช้าอาจจะไม่มีที่นั่ง (เพิ่งทราบว่าบางคนเขาจองมาล่วงหน้าเป็นเดือนๆ) ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ผมจะเล่าให้ฟังอีกทีในภายหลัง วันนั้นหลังจากทำเรื่องจองที่นั่งรถไฟสายกลาเซียร์เอ็กซเพรสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นรถไฟที่จะไปลูเซิร์นทันขบวนที่ออกเวลา 8.35 น. พอดี นั่งไม่นานก็ถึงสถานีลูเซิร์นเวลา 9.20 น. เช้าวันนั้นฟ้าไม่เปิดมีฝนตกปรอยๆ ตลอดการเดินทาง
วันนี้เป็นวันที่เริ่มใช้ Swiss Pass เป็นวันแรก ถึงสถานีลูเซิร์นลูกชายพาไปขึ้นรถบัส (จริงๆ แล้ว Pass นี้ใช้ขึ้นรถบัสได้ตั้งแต่ที่ซูริคแล้ว แต่ตอนนั้นลืมไปสนิท) การนั่งรถบัสทำให้สะดวกมากใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาทีก็ถึงโรงแรมแล้ว ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมเพราะมาเช้าเกินไปเขายังไม่ให้เช็คอินเข้าห้องพัก วันนี้ตามโปรแกรมที่วางไว้ก็คือจะขึ้นไปยอดเขาริกิ (Rigi) การเดินทางไปก็คือต้องนั่งบัสย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟแล้วเดินไปที่ท่าเรือหน้าสถานีเพื่อลงเรือล่องแม่น้ำรอยส์ (River Reuss) ไปเมือง Weggis ค่าเรือก็ไม่ต้องจ่ายเพราะรวมอยู่ใน Swiss Pass แล้ว
ใช้เวลาอยู่ในเรือ 40 นาที ก็มาถึงท่าเรือเมือง Weggis จากท่าเรือเดินขึ้นเขาไปประมาณ 15 นาทีก็ถึงสถานีรถกระเช้า (Cable Car) ที่จะพาไปยังเมืองบนเขาที่ชื่อว่าเมือง Kaltbad เมืองนี้เท่าที่เดินผ่านมาน่าจะดังในเรื่องสปา เห็นว่ามีโรงแรมและที่อาบน้ำหลายแห่ง เสียดายที่ไม่ได้เดินชม จากเมือง Kaltbad ต่อรถไฟไปสถานีสุดท้ายที่อยู่บนยอดเขาริกิ (Rigi - Kulm) ระหว่างที่รถไฟพาไต่ความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทัศนวิสัยก็ดูจะแย่ลงทุกทีพอถึงสถานีที่ยอดเขาก็แทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย โอ้มายก้อด!
อยู่บนนั้นได้ไม่ถึงสิบนาทีต้องตัดสินใจกลับลงมา โชคดีนะที่ว่าการเดินทางขึ้นมาครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นค่า Cable Car หรือค่ารถไฟที่นั่งขึ้นมา ไม่มีค่าใช้จ่ายเพราะถือว่ารวมอยู่ในราคา Swiss Pass แล้ว
ตอนขาลงเลือกลงอีกทางหนึ่ง เป็นเส้นทางที่ไม่ต้องมาต่อ Cable Car คือนั่งลงมาถึงเมือง Arth - Goldau เลย ซึ่งที่เมือง Arth - Goldau นี้สามารถขึ้นรถไฟกลับไปลูเซิร์นได้โดยไม่ต้องนั่งเรือ สรุปว่าภารกิจวันนี้ไม่เป็นไปตามแผนเพราะขึ้นไปถึงยอดเขาริกิแล้วแต่ทัศนวิสัยไม่ดีมองลงมาไม่เห็นอะไร ได้เห็นก็แต่วิวระหว่างทางเท่านั้น
กลับมาถึงลูเซิร์นก็เดินเที่ยวในย่านเมืองเก่า แวะชมสะพานคาเพลล์บรึคเคอ (Kapellbrucke) สะพานไม้โบราณที่มีหลังคาคลุมและหอคอยกลางน้ำที่ดูเหมือนจะเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองลูเซิร์นไปแล้ว ใครไปใครมาก็มักจะไม่พลาดการมาเดินบนนี้
ส่วนที่เห็นอยู่ไม่ไกลที่เป็นหอคอยคู่ปลายแหลมนั้นคือหอระฆังของโบส์ถฮอฟเคียร์เคอ (Hofkirche) โบส์ถแห่งแรกของลูเซิร์นที่สร้างขึ้นตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 8
หากมองไปทางด้านภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ ก็จะพบกับปราสาทเก่าที่ชื่อว่า Gutsch ซึ่งในปัจจุบันได้ปรับปรุงเปลี่ยนเป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวไปแล้ว
ส่วนอาคารที่เห็นโดดเด่นอยู่ใกล้ๆ ก็คือโบส์ถเยซูอิดเท่นเคียร์เคอ (Jesuitenkirche) โบส์ถสไตล์บาร๊อกที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์
จากย่านเมืองเก่าเดินต่อไปตามถนน Alpenstrasse ไม่นานก็จะถึงจตุรัส Lowenplatz อันเป็นที่ตั้งของรูปแกะสลักขนาดใหญ่อยู่บนหน้าผาเป็นรูปสิงโตที่กำลังร่ำไห้ก่อนใกล้จะสิ้นใจ (มีหอกแทงทะลุหลัง) รูปแกะสลักนี้รัฐบาลฝรั่งเศสมอบให้สวิตเซอร์แลนด์เพื่อเป็นการระลึกถึงวีรกรรมของทหารรับจ้างชาวสวิสที่เสียชีวิตในการปกป้องพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารี อังตัวแนตต์ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส
จากหน้าลานอนุสาวรีย์สิงโตมีทางเดินไปสู่สวนธารน้ำแข็ง (Gletschergarten) และพิพิธภัณฑ์ธารน้ำแข็ง (Glacier Museum) เข้าไปถามเขาว่าค่าบัตรผ่านประตูราคาเท่าไหร่ เขาบอกว่าถ้ามี Swiss Pass เข้าฟรี แต่ที่เขาแนะนำก็คือส่วนที่เรียกว่า Mirror Maze หรือ ปริศนากระจกเงา กำลังจะปิดภายในสิบห้านาที ควรจะไปเดินตรงนี้ก่อน พอรู้เช่นนั้นก็รีบเข้าไปทันที . . พบว่าสนุกดีเหมือนเดินเขาวงกต แต่ยากกว่าตรงที่ไม่รู้ว่าทางไหนเป็นทางเดินจริงทางไหนเป็นเงาสะท้อนของกระจก เดินเล่นกันเพลิดเพลินจนเขาปิด กลายเป็นว่านี่เป็นกิจกรรมที่สนุกที่สุดสำหรับวันนี้ เป็นกิจกรรมที่เล่นได้ทุกวัยไม่ว่าเด็กหรือ สว. อย่างผมและภรรยา
เดินวนกลับมาถึงสถานีรถไฟลูเซิร์น ที่ชั้นล่างของสถานีมีร้าน Coop Supermarket ที่ค่อนข้างใหญ่ ได้ยินนักท่องเที่ยวชาวไทยหลายคนพูดถึงไก่ย่างใน Coop ก็เลยลองเข้าไปสำรวจตลาดดู ว่าแล้วก็ได้ไก่ย่างมาหลายชิ้น ซื้อขนมปัง ผัก ผลไม้ เพิ่มเติม หอบหิ้วกลับไปที่โรงแรมเป็นอาหารมื้อเย็นมื้อแรกในสวิสเซอร์แลนด์
กินมื้อเย็นในห้องนอนเสร็จ เหลือบออกไปดูนอกหน้าต่าง เวลาในขณะนั้นน่าจะประมาณสามทุ่มเข้าใจว่าพระอาทิตย์กำลังจะตก แสงอาทิตย์ส่องไปโดนละอองฝนเกิดเป็นสายรุ้งให้เห็นสวยงามดี ส่วนยอดเขาที่เห็นอยู่ไกลๆ ผมเดาว่าคงจะเป็นเขาริกิที่ทำให้เราอกหักในวันนี้
สรุปว่าสิ่งที่ไม่ควรคิดมากข้อที่ 1 ก็คือ “อย่าคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน สภาพอากาศที่สวิสค่อนข้างเปลี่ยนแปลงเร็ว พยายามทำใจและทำแผนการเดินทางให้ยืดหยุ่นมากที่สุดครับ”
อ่าน "ไปสวิส ไม่ต้องคิดมาก ตอนที่ 2" ได้ที่นี่ http://pantip.com/topic/35323829
สำหรับท่านที่กำลังจะขอวีซ่าไปเที่ยวสวิส ผมมีขอคิดเกี่ยวเรื่องการขอวีซ่า อ่านได้ที่นี่ครับ http://pantip.com/topic/35203186