กับครอบครัวของเราแล้ว...หรือว่าเรายังทำดีไม่พอแบบที่เขาพูดจริงๆ

สวัสดีค่ะ เราอายุ 24 ปี เพิ่งจบและทำงานที่รพ.มาได้สักพักแล้วค่ะ
(กระทู้ยาวนะคะ...คือเราเครียดมากจนคิดจะหนีออกจากบ้าน บางทีมันโหวงๆ เดินไปจะหยิบกินยาไปหลายรอบแล้วค่ะ...ตอนนี้ลางานอยู่ค่ะทำงานไม่ไหว)
ช่วยเราเถอะค่ะ ... เราไม่ไหวแล้วจริงๆ


เราเป็นลูกคนเดียวของพ่อกับแม่  พ่อกับแม่แยกบ้านออกมาอยู่กันเองจากบ้านแม่ตั้งแต่สมัยเพิ่งแต่งงานกัน เพราะที่บ้านแม่ไม่ค่อยพอใจที่เขาแต่งงานกันเท่าไหร่(พ่อแม่คบกับประมาน 3 เดือน แม่ถูกยายกับตากีดกัด จึงหนีไปเที่ยวกันที่บ้านพ่อ กลับมาเลยได้แต่งงานกันค่ะ)

พ่อเราเป็นครูและทำงานเกี่ยวกับNGO ด้วย ซึ่งเรากับแม่ก็ติดสอยห้อยตามไปโดยตลอด เราภูมิใจในตัวพ่อเรามากๆ พ่อเป็นคนสบายๆ มีอะไรก็มักจะคุยกับเราด้วยเหตุและ ส่วนแม่เราเป็นพยาบาล ในตอนเด็กๆ แม่ค่อนข้างจะดุ  เราไปเล่นบ้านเพื้อนที่รั้วติดกันแทบไม่ได้เลย ถ้าไปแล้วตะวันตกดินยังไม่ออกมาจากบ้านเขา(ทั้งๆ ที่บ้านติดๆกันนะคะ รู้จักกันหมดเพราะเป็นบ้านพักข้าราชการ) แม่ก็จะถือก้านมะยมลากเรามาตีแทบทุกวัน ...สมัยเด็กเราเป็นเด็กที่ใครๆก็ว่า ซน ฉลาด น่ารัก แต่เพื่อนเราน้อยมากๆ ค่ะ

มีครั้งหนึ่งตอนเรา ป.2 ที่พี่แถวบ้านไปเรัยนดนตรีไทยที่วัด เราก็ได้ติดไปเล่นกับพี่ๆ เขา จนคุณครูท่านคงเอ็นดูเรา เลยขอเรากับพ่อแม่ให้เรามาเรียนดนตรีไทย เราถึงได้มีโอกาสกลับบ้านหลังพระอาทิตย์ตกดิน โดยไม่ถูกตีบ้าง

แม่เล่าให้ฟังว่าเราขอแม่เดินไปเองตั้งแต่อนุบาล 2  แม่อนุญาตเพราะใกล้บ้านมากๆ และเราก็เดินเองตั้งแต่นั้นเลยค่ะ (โรงเรียนมัธยมเราห่างจากบ้านเดินประมาน 20 นาทีค่ะ) ที่เราไม่ให้ท่านไปส่ง เพราะท่านเองก็ต้องรีบไปทำงาน ไม่อยากให้ท่านมาพะว้าพะวงกับเรา

พอโตมาเราว่าเราเป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่งนะคะ แต่ไม่รู้ทำไมสอบคัดห้องตั้งแต่ประถมจนม.ปลาย ก็ยังได้อยู่ห้อง 1 ตลอด แต่เราจะเป็นส่วนท้ายๆ ของห้องเสมอนะคะ  

ทีนี้พอวัดคะแนนออกมา คะแนนเราน้อยกว่าเพื่อนๆ แม่ก็ให้เราไปเรียนพิเศษที่นั่นที่นี่ กลายเป็นว่าวันๆ เรามีแต่เรียนพิเศษ ...เลิกเรียนต้องกลับบ้าน การไปเรียนพิเศษในตอนเย็นหลังเวลางาน เราก็ไม่ได้ขอให้ท่านต้องมารับแล้วไปส่งที่เรียนนะคะ เราเห็นว่าท่านทำงานมาเหนื่อยทั้งคู่  ค่อยไปรับกลับทีเดียว

บางทีอย่างเสาร์ อาทิตย์ หรือตอนเย็น เราก็อยากไปเล่นบบ้านเพื่อนบ้าง ไปห้างกับเพื่อนบ้าง ...มันยากมากๆ เลยค่ะ ต้องบอกท่านล่วงหน้า หรือเวลาทำงานท่านก็จะขอให้เพื่อนมาทำงานที่บ้านเราแทน

มีช่วงนึงที่เราติดเกมส์ แต่เราก้ยังรักษาการเรียนไว้อยู่ พ่อกับแม่เองก็ไม่พอใจ ไม่ให้เล่น ... แต่พ่อก็ยังเฉยๆ นะคะ แต่แม่จะเพิ่มการเรียนพิเศษให้มากขึ้นกว่าเดิมไปอีก

ทุกเทอมที่ผลการเรียนออกมา ถ้าเป็นพ่อได้มากได้น้อย พอก็ปลอบใจว่าทำดีที่สดแล้วนะ ..แต่แม่เราก็จะพูดแบบไม่ค่อยพอใจ บอกว่าต้องทำให้มากกว่านี้อีก สมัยแม่นะ วิชานั้นวิชานี้แม่ยังได้เท่านี้เลย ..........ทำให้เรากลายเป็นลูกที่ติดพ่อมากๆ เลยค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าพ่อมีเหตุผล พ่อเข้าใจเรามากกว่าแม่ ซึ่งเอาแต่ตี เอาแต่ว่า

ก่อนจะเข้ามหาวิทยาลับ เราเล่นเน็ตไปเรื่อย จนเราไปเจอเว็บธรรมะ แล้วก็ได้อ่านคำสอนมากกมาย เราสนใจมากๆ เลยค่ะ เราเห็นว่านอกจากการเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่แล้ว ก็คงมีธรรมะนี่แหละที่จะตอบแทนท่านได้ ...ขอให้แม่พาไปขอกรรมฐานกับพระแถวบ้าน ชวนพ่อกับแม่ไปด้วยกัน แต่ท่านทั้งสองติดงานเลยไม่ได้ไปด้วยกัน เราไปอยู่วัดประมาณ 7 วันค่ะ

จนตอนเข้ามหาวิทยาลัย พ่อกับแม่เลือกหอที่ดีที่สุดให้เรา ใกล้มหาลัย ...แต่ผลการเรียนออกมาก็ไม่ค่อยหน้าปลื้มเท่าไหร่สำหรับแม่ เช่นเคย เราได้ C+ ทั้งๆ ที่ท้อปของห้องคือ B  อยู่ไปสักพักเราก็มีแฟนค่ะ แม่จับได้ว่าเรามีแฟนแม่บอกให้เลิกเลยนะคะ แต่พ่อเราก็บอกว่าให้ดูๆ กันไปก่อน  ถึงเราจะมีแฟน เราก็พยายามรักษามาตรฐานการเรียนไว้ไม่ให้ตกไปจากเดิม มีบางเทอมที่คะแนนดีก็เหมือนเดิมค่ะ  

พอเราขึ้นปี 2 เทอม 2 แม่โทรมาบอกว่าพ่อป่วยเป็นมะเร็ง ..เราเลิกกับแฟน  เราก็พยายามเทียวไปหาพ่ออยู่บ่อยๆ ไปช่วยแม่ดูแลพ่อ เราคิดว่าหอที่ท่านให้เราอยู่มันแพงเกินไป เราก็ย้ายออกมาให้ถูกลง หวังว่าจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้บ้าง  เราตระหนักว่าเราต้องลดภาระให้แม่ให้ได้มากที่สุด ....เราเลยบอกแม่ว่าจะจ่ายเงินค่าหอพักเอง เดี๋ยวเราจะไปหางานทำ... แม่ก็ว่าเราเลยที่เราจะไปหางานทำ เราเข้าใจค่ะ ว่ากลัวเสียการเรียน แต่เราก็สัญญานะคะ ว่าจะไม่ให้การเรียนเราแย่ลง แต่แม่ก็ยังยืนยันที่จะไม่ให้เราทำงาน เราเลยขอลดเงินที่แม่ส่งให้เรา แม่จะได้ประหยัดขึ้น

ระหว่างที่พาพ่อไปรักษาตัวที่กทม. เราก็ได้เจอกันแฟนคนใหม่ คนนี้เราพยายามให้เค้าเข้าหาแม่กับพ่อ ซึ่งก็ทำได้ดีนะคะ ญาติทั้งสองเองก็รับรู้

แต่ถึงกระนั้น เราก็แอบย้ายหออีก จนเหลือห้องละ 800 บาท แล้วทำงานไปด้วย และขอเงินเดือนแม่เดือนละ 2000 บาท (โดยเราอ้างว่า เราขึ้นเวร กินก็กินที่ทำงานได้ แม่ไม่ต้องห่วง)  ซึ่งช่วงเวลาที่เราขึ้นเวรนี้ แม่เราโดนรถเฉี่ยว ทำให้เดินไกลๆ ไม่ได้ ..พ่อเราก็เป็นเจ้าชายนิทราไปแล้ว อาศัยจ้างน้าสะใภัและน้าชายดูแล(ต้องจ้างค่ะ ไม่งั้นน้าชายด่า แต่น้าสะใภ้ทำด้วยความเต็มใจนะคะ) เราไปกลับที่บ้านแทบจะทุกวันเลยค่ะ เที่ยวละ 4-5 ชม.  ได้นอนกับพ่อกับแม่วันละ 2 ชม.ก็ยังดี ... เราทำอย่างนั้นอยู่ 1 เดือน จนพ่อได้จากเราไป และเรากับแม่ได้ย้ายไปอยู่บ้านยายค่ะ

บ้านยายของเราเป็นครอบครัวใหญ่ มีบ้าน 4 หลังอยู่ในรั้วเดียวกัน  มี ตา ยาย(แยกบ้าน)  น้าสาวกับลูกชาย(แฟนมีคนใหม่) น้าชายกับน้าสะใภ้

เราเรียนจบและท้อง เพราะถุงยางรั่ว ..แฟนเราไปมีคนใหม่พอดี เราเลือกจะไม่เอาออก และก็ไม่อยากจู่ๆ ทำอะไรโง่ๆ ลงไป จึงปรึกษาที่บ้าน แต่แม่เราโกรธมาก ทุกคนในบ้านบังคับให้เราเอาออกค่ะ ใช้คำว่าเป็น มารมาเกิดบังคับให้เราไปคลินิกทำแท้ง ...เราเถียงแม่ ...เป็นครั้งแรกที่เถียงแม่ค่ะ แม่ยิ่งโกรธไปใหญ่ ส่วนเราเสียใจมาก จนตรอมใจ และลูกเราก็หลุดออกไปเองค่ะ ..เป็นการแท้งสมบูรณ์ค่ะ

เราเสียใจกับที่บ้านเรา แต่เรารู้ว่าเป็นความผิดพลาดของเราเอง เราก็หันหน้าเข้าหาพระธรรมเต็มที่ แม่ใช้ให้ทำอะไรเราก็ทำทุกอย่าง จนตอนช่วงที่แม่กลับไปทำงานใหม่ๆ(แม่ลางานหลายเดือนเพราะเดินไม่ได้) เราก็ไปนั่งกับแม่ที่ทำงาน คอยช่วยแม่หยิบโน่นนี่  แม่ห้ามให้ไปหางานที่ไหนเด็ดขาด ห้ามทำงานใดๆ ทั้งสิ้น แม่บอกกแม่มีปัญหาเลี้ยงไหว แต่แม่ก็เอาเราไปเรียบกับลูกน้าพยาบาลคนนั้นคนนี้บ่อยๆ ว่าจบ จุฬา ธรรมศาสตร์ ...แต่แม่คงลืมไปว่า ลูกตัวเองเรียนจบได้เกียรตินิยม และได้ข้อเสนอทุนที่จบมาแล้วให้เป็นอาจารย์ต่อไปในมหาลัย .....

เราได้แต่เงียบไว้ เราท่องแต่ว่าเพราะเราไม่ดี เราพลาด เราต้องดูแลแม่ ... หลายครั้งที่ติดต่อธุระให้ ตากแดดทั้งวัน กลับมานอนซม หรือป่วยจนเข้ารพ. ไปหลายครั้งก็มี  ญาติๆ ก็เอาแต่พูดว่า ใช้เราหนักเกินไป ..แต่ก็ไม่เคยมีใครคิดจะช่วยอะไรเลยค่ะ  มีแต่เราที่ทำโนนนี่นั่นให้ตลอดทุกบ้าน เรารักญาติเรา เรามีอะไรก็เลยช่วยเขา เพราะเราไม่มีงานทำ ...ไม่อยากไร้คุณค่า หรืออยู่อย่างไม่มีศักดิ์ศรีใดๆ

มีคุณหมอซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อฝากเราเข้ารพ. เราก็ขอแม่ว่าไม่อยากเข้าแบบไม่มีศักดิ์ศรี เรามีศักยภาพพอที่จะสอบผ่านได้สบายๆ ... แต่แม่เขาก็พูดว่า ถ้าทำอย่างนั้น ใครจะอยู่ดูแลแม่  เราเลยต้องยอมแบกหน้าไปพบผอ. ไปพบหัวหน้าแผนก พบคนนั้นคนนี้ ...เราลำบากใจมากๆ เลยค่ะ ร้องไห้แทบทุกคืน

จนเราได้เข้าทำงาน ก็ยังมีเสียงติฉินนินทาเรื่องเด็กเส้น แต่เราได้พี่คนนึงที่เค้าเข้าใจเรา ...พี่เขาเป็นเหมือนคนนึงที่พยายามพัฒนาแผนก แต่ก็ทำงานอยู่คนเดียว พอได้เราเข้ามาพี่เค้าก็ช่วยดึงเอาศักพยภาพที่มีในตัวเราออกมาใช้ ทำให้งานต่างๆ เกิดขึ้น... จนทุกคนเลิกพูดเรื่องเด็กเส้นไป

งานของเราเป็นงานที่ต้องพัฒนาแผนกด้วย ทำให้หลายครั้งที่ต้องอยู่รพ.จน ดึก ...แม่ก็ด่าเรา หาว่าเราไปเถลไถล แต่แม่ไม่เคยถามว่าเหนื่อยมั้ย หรือมันปลอดภัยรึเปล่า

เรากับพี่เขาทำงานใกล้ชิดกัน พี่เป็นที่ปรึกษาที่ดีของเรา โดยเฉพาะเรื่องแม่ หลายครั้งที่ไปนั่งร้องไห้กับพี่เขา ...จนเราคบกัน

แฟนเรากับแม่รู้จักกันมาสักพักแล้วค่ะ เพราะห้องทำงานแฟนเคยอยู่คิดกันกับห้องแม่
พี่พาเราไปให้ญาติทางบ้านรู้จัก เปิดตัวชัดเจนว่านี่แฟนนะ....ตอนคบกันแรกๆ ก็ดีอยู่ค่ะ แต่ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ต่อมาพอเริ่มเข้าบ้านมากขึ้น แม่ก็ติเรื่องการเดินบ้าน การกินข้าว การพูดจา การแต่งตัว ...เยอะขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่จะมาเป็นแฟนกันนี้ แม่ยังเคยชมพี่เขาอยู่เลย


แต่หลังๆ มา ไม่ว่าเวลาเราพาแม่ไปทำบุญ หรือเราไปกับเพื่อน หรือเราไปไหน...ก็จะมาด่าว่าเรา ว่าติดผู้ชายตลอดเลย
เราเคย ...แม่รู้รึเปล่า พอมีพี่เข้ามา ลูกสบายขึ้นนะ ไม่ต้องขับรถไปไหนเอง ไม่ต้องทำอะไรทุกอย่างเอง
แม่ก็รู้ว่าลูกแม่แข็งแรงขึ้นกว่าเดิมแค่ไหน พักผ่อนได้มากขึ้นแค่ไหน ..ตัวแม่เองก็สบายขึ้นไม่ใช่หรอ แม่ควรจะดีใจนะ
แม่ก็สวนกลับมาว่า ก็แม่มันพิการนี่(จริงๆ แค่เดินใช้ไม้เท้าเฉยๆค่ะ) แล้วแม่ก็โกรธมากๆ

ทุกครั้งที่แม่โกรธ วิธีแก้ปัญหาคือ...เราต้องไปซื้อมาลัย มากราบเท้าแม่ทุกครั้งค่ะ

ต่อมางานของเราก็หนักขึ้นเพราะมีการแบ่งเวรกับพี่ในแผนก เลิกงาน 2 ทุ่ม บางทีเราก็ไปหาเดินห้างผ่อนคลาย
ไปวัด ไปทำงานต่อที่แผนก หรือไปหาอะไรกิน กลับสามทุ่ม สี่ทุ่มบ้าง เราจะโทรบอกตลอดนะคะ แต่ เขาก็มาว่าๆ เราติดผู้ชาย ไปเที่ยวเสเพล

มีวันนึงเรากับแฟน พาแม่ไปทำโรงทาน แต่วันนั้นเราต้องไปซื้อของเข้าแผนกต่อ ...กว่าจะกลับถึงบ้านก็สองทุ่ม มันจำเป็นเราต้องไป ก็บอกแม่ว่ากลับสี่ทุ่มนะ
แต่พอเรามาถึง ประมาณสามทุ่มครึ่ง เรากำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน แม่ก็เดินออกมาจากห้องนอนของแม่ มาทุบประตูห้องเรา แล้วด่าเราว่าเรามันเป็นลูกอกตัญญู จิตใจสกปรก แม่สั่งว่าห้ามกลับบ้านดึก ทำไมยังทำ ยังเคยเห็นแม่เป็นแม่อยู่มั้ย แล้วแม่ก็กระชากประตูที่ลงกลอนไว้ ออก แล้วเดินเข้ามาชี้หน้าด่าเราในห้องนอน

เรากลัวมาก เราโทรหาแฟนให้แฟนถือสายฟัง ...เผื่อมีอะไรจะได้มาช่วยเรา (เราเป็นหอบหืดค่ะ และมีhyperฯด้วยบางครั้ง)
เราบอกแม่ว่า หนูขอเวลาแค่ 2 ชม. เสาร์อาทิตย์เวลาไปไหน แม่ก็หาว่าทิ้งแม่ ไปไหนไม่เคยได้ ...หนูก็ไปที่ๆ คนเยอะ ไม่ใช่ที่ผับบา ไม่ใช่ที่ลับตาคน ไม่ได้ไปกับเขาซะทุกครั้ง บางทีก็ทำงาน  ต่อไปถ้าหนูจะทำธุรกิจหรือขายของ หรือทำอย่างอื่นนอกจากงานที่นี่แม่ก็คงไม่ให้หนูทำอีกใช่รึเปล่า
แม่ก็บอกว่า ไม่ได้คือไม่ได้ จะทำอะไรอีก ไม่ต้องทำ แม่มีปัญญาเลี้ยง เอ็งไม่ต้องทำ จนกว่าไอ้คนแก่ๆ คนนี้จะตายไปจากเอ็ง ..ถ้าเอ็งทำ เอ็งก็อย่ามาเาสียใจทีหลังว่า ไม่ได้อย่กับแม่ แม่ด่าเราจนเราลงไปทรุดกราบขอให้แม่กลับบ้านไปนอนที่ห้องแม่เสีย .... แม่ก้กลับไป

ตอนเช้ามา แม่ให้น้าสาวไปส่งแม่ที่ทำงาน(ถ้าอันไหนที่น้าเราต้องเสียเวลา เขาไม่ค่อยอยากทำค่ะ) น้าก็บอกว่าไม่ได้ เพราะต้องรีบไปทำงาน แม่ก็บอกว่าแต่มันเป็นทางผ่าน  ก็เถียงกันไปมาสักพัก ก็ยอมไปส่ง... แล้วสักพัก น้าก็มาด่าเราว่าเราไม่เชื่อฟังแม่ ไม่รู้จักบุญคุณคน  ยายเราได้ยิน ก็มาด่าเราอีกคน บอกว่า จะมาพูดว่าชีวิตนี้เป็นของเราไม่ได้ เพราะชีวิตเป็นของพ่อแม่ ..ไม่มีสิทธิโกรธพ่อแม่ ... รุมด่ากัน ทั้งแม่ น้า ยาย ... (เราโทรหาแฟนเช่นเคย)
เราขังตัวเองไว้ในห้อง จนกระทั้งน้ากับแม่ไปทำงาน  ...เราสั่นมาก กัดเล็บ เหม่อ เราเดินไปควานหายา จนไปเหยียบแก้วถึงได้มีสติกลับมา ไม่งั้นคงกินยาไปแล้วแน่ๆ

เพิ่มเติมค่ะ.. แฟนเล่าให้ฟังว่า แฟนเองก็เขียน service plan เพื่อช่วยให้เราได้มาทำงานง่ายขึ้น เพราะแฟนเองทราบว่าแม่เราป่วย(HIVจากคนไข้) และพ่อเราตายแล้ว เราไม่เหลือใคร ... แฟนเลยอยากจะช่วยมากๆ ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัว ครอบครัว สุขภาพจิต
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่