อะไรนะ!!! เอาแต่คำพระพุทธเจ้า คำสาวกไม่เอา เย้ย!!! ในพระไตรปิฏกคำสาวกเพียบ แบบนี้ถือว่าทำให้สงฆ์แตกแยกหรือไม่?

ตามหัวข้อกระทู้เลยครับ พอดีไปเจอสำนักหนึ่ง ท่านเอาแต่คำพระพุทธเจ้า คำสาวกไม่เอา ขอไม่เอ่ยนามและสำนักท่านนะครับ เพื่อรักษาชื่อและสำนักของท่าน ไม่ให้เสื่อมเสีย!!! ประเด็นคือ เอาแต่คำพระพุทธเจ้า คำสาวกไม่เอา จะเป็นเหตุให้พระสงฆ์แตกแยกหรือไม่?
ทำให้เกิดอาเภท สงฆ์กลุ่มหนึ่งเอาแต่คำพระพุทธเจ้า สงฆ์กลุ่มหนึ่งเอาทั้งคำพระพุทธเจ้าและคำสาวก มันจะกลายเป็น2กลุ่ม ใช่ไหม?
  
***สรุปผล วันนี้ผมได้แตกประเด่นเรื่อง เอาแต่คำพระพุทธเจ้า คำสาวกไม่เอา เย้ย!!! ในพระไตรปิฏกคำสาวกเพียบ แบบนี้ถือว่าทำให้สงฆ์แตกแยกหรือไม่? ผมสรุปก็คือ ถ้าเชื่อตามคำสอนพระพุทธเจ้า ถึงแม้จะไม่เอาคำสาวกก็ตาม แต่เป็นคำสอนที่พาให้พ้นทุกข์ได้จริง ก็ถือว่าบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ ไร้มลทิน ครับผม!!!
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ความคิดเห็นที่ 2-1
ไม่ผิด เพราะพูดตามคำพระศาสดา ครับผม แต่ในหัวข้อกระทู้ มีบางสำนักเอาแต่คำพระพุทธเจ้า คำสาวกตัดทิ้ง ท่านมองว่าอย่างไร ผมมองแบบนี้
ทำให้เกิดอาเภท สงฆ์กลุ่มหนึ่งเอาแต่คำพระพุทธเจ้า สงฆ์กลุ่มหนึ่งเอาทั้งคำพระพุทธเจ้าและคำสาวก มันจะกลายเป็น2กลุ่ม ใช่ไหม?
แก้ไขข้อความเมื่อ 16 นาทีที่แล้ว
ตอบกลับ
0 0   
สมาชิกหมายเลข 2751730  
20 นาทีที่แล้ว













1 พระพุทธเจ้าตรัสถึง เหตุของสังฆเภท เอาไว้ว่า

             [๔๐๕] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า
สังฆเภท สังฆเภท ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร สงฆ์จึงแตก
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้
             ๑. ย่อมแสดงอธรรมว่า เป็นธรรม
             ๒. ย่อมแสดงธรรมว่า เป็นอธรรม
             ๓. ย่อมแสดงสิ่งไม่เป็นวินัยว่า เป็นวินัย
             ๔. ย่อมแสดงวินัยว่า ไม่เป็นวินัย
             ๕. ย่อมแสดงคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตตรัส
ภาษิตไว้
             ๖. ย่อมแสดงคำอันตถาคตตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตมิได้ตรัส
ภาษิตไว้
             ๗. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาว่า เป็นกรรมอันตถาคต
ประพฤติมา
             ๘. ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติมาว่า เป็นกรรมอันตถาคตมิได้
ประพฤติมา
             ๙. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้
             ๑๐. ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้
             ๑๑. ย่อมแสดงอนาบัติว่า เป็นอาบัติ
             ๑๒. ย่อมแสดงอาบัติว่า เป็นอนาบัติ
             ๑๓. ย่อมแสดงอาบัติเบาว่า เป็นอาบัติหนัก
             ๑๔. ย่อมแสดงอาบัติหนักว่า เป็นอาบัติเบา
             ๑๕. ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
             ๑๖. ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ว่า เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
             ๑๗. ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
             ๑๘. ย่อมแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติชั่วหยาบ
             พวกเธอย่อมประกาศให้แตกแยกกัน ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้ ย่อมแยก
ทำอุโบสถ แยกทำปวารณา แยกทำสังฆกรรม
             ดูกรอุบาลี ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล สงฆ์เป็นอันแตกกันแล้ว

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=7&A=4078&Z=4189

2 กล่าวโดยสรุป ก็คิอ การกล่าว ธรรม และ วินัย ผิดเพี้ยนไปจากความจริง เป็นเหตุให้เกิด สังฆเภท
สิ่งที่พึง พิจารณา ก็คิอ การมีทิฐิความเห็นว่า รับฟังเฉพาะคำของพระศาสดาเท่านั้น
จะเป็นเหตุให้ พระบัญญัติ สิกขาบทต่างๆ ถูกบิดเบือน หริอไม่ ?

และด้วย การรับเชื่อเฉพาะพระพุทธดำรัสจากพระโอษฐ์เท่านั้น ไม่รับฟังคำสาวก
จะเป็นเหตุให้ พระธรรมคำสอน ที่เกี่ยวกับทุกข์ และความดับทุกข์ วิปริต ผิดเพี้ยนไป หรือไม่ ?

ถ้าการกระทำดังกล่าว เป็นเหตุให้ ธรรม และวินัย วิปริตผิดเพี้ยนไปจากแนวทางดับทุกข์ ก็เป็น สังฆเภท
แต่ถ้าไม่ ...... แบ่งออกเป็นสองกรณี ครับ

กรณีแรก ทำสังฆกรรมร่วมกันได้ เป็นสังฆสามัคคี ก็จบ ไม่มึปัญหาอะไร
กรณีที่สอง แยกกันทำสังฆกรรม ก็เรียกว่า นานาสังวาส ไม่ใช่ สังฆเภท ครับท่าน (เช่น กรณี นิกายธรรมยุติ)

             [๒๔๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุพวกที่สนับสนุนผู้ถูกยก ทำอุโบสถทำสังฆกรรม
ภายในสีมานั้นเอง ส่วนภิกษุพวกยกไปทำอุโบสถ ทำสังฆกรรมนอกสีมา กาลต่อมา ภิกษุผู้ยก
รูปหนึ่ง เข้าไปพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้
กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุพวกสนับสนุนผู้ถูกยกนั้น ทำอุโบสถ
ทำสังฆกรรม ภายในสีมานั้นเอง ส่วนพวกข้าพระพุทธเจ้า เป็นภิกษุพวกยกต้องไปทำอุโบสถ
ทำสังฆกรรมนอกสีมา พระพุทธเจ้าข้า.
             พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุ ถ้าภิกษุพวกที่สนับสนุนผู้ถูกยกนั้น จักทำอุโบสถ
ทำสังฆกรรม ภายในสีมานั้นเอง ถูกตามญัตติและอนุสาวนาที่เราบัญญัติไว้ กรรมของพวกเธอ
นั้นเป็นธรรม ไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ ถ้าพวกเธอเป็นภิกษุพวกยกจักทำอุโบสถ ทำสังฆกรรม
ภายในสีมานั้นเอง ถูกตามญัตติและอนุสาวนา ที่เราบัญญัติไว้ แม้กรรมของพวกเธอนั้น ก็เป็น
ธรรม ไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุพวกนั้นมีสังวาสต่างจาก
พวกเธอ และพวกเธอก็มีสังวาสต่างจากภิกษุพวกนั้น.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=5&A=6052&Z=6072
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 27
ถ้า ตัวเองประกาศว่า กล่าวคำพุทธวจนะ แล้ว  กล่าวตามที่ประกาศ ก็จะเป็นการดี

แต่ ที่ผ่านมา  กล่าวขัดแย้งกับ พุทธวจนะมาตลอด

แม้ แต่ คำกล่าวที่ว่า  "พระศาสดาตรัสห้ามฟังคำสาวก"  ก็เป็นคำบิดเบือนพุทธพจน์
ความคิดเห็นที่ 23
นักเลงคีย์บอร์ด่าพระ เอ่อ...http://pantip.com/topic/30864575

◇◇◇◇

คุณครับ...
ฝากทบทวนอ่านอีกสักรอบนะครับ

¡!¡!¡!

บางส่วนจากความคิดเห็นที่ 21

ดังนั้น ถ้าหากท่านตายคาคีย์บอร์ด
ขณะพิมพ์ข้อความด่าพระ
ท่านจะไม่ได้ไปเกิดเป็น คีย์บอร์ด หรอกนะครับ

แต่ผลจาก อกุศลกรรม(เจตนาอกุศล)
อันเป็นที่ตั้งมั่นของวิญญาณของท่าน
อาจนำไปสู่การเกิดในอบาย มากกว่า นะครับ
แต่จะเป็น นรก เปรต อสุรกาย อะไร อย่างไร
นี้ผมไม่อาจระบุได้แน่ชัด ครับท่าน

สมาชิกหมายเลข 2992332

^^^^----
ความคิดเห็นที่ 20
หัวหน้าสำนักนี้ อ้างว่า พูดแต่ พุทธวจนะ ไม่มีคำของตนเอง



แต่ อืม คิดเพลิน ๆ กายไม่มีวิญญาณครอง นี่คำของใคร  ?
รังเกียจ ปฏิเสธอรรถกถา แต่ไปเอาคำของอรรถกถาเรื่องจำนวนจิตเกิดดับ  มาอธิบาย ?





บางคราว จิตก็ไม่เกิดไม่ดับซะงั้น




พูดกดผู้อื่น แต่ตนเองทำไม่ได้ ?
บุคคลเช่นนี้ เป็นคนเช่นไร  ?
ความคิดเห็นที่ 17
[๔๐๕] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า
สังฆเภท สังฆเภท ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร สงฆ์จึงแตก
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้
.
.
๕. ย่อมแสดงคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้ว่า เป็นคำอันตถาคตตรัสภาษิตไว้






ท่านใดมีเวลา ช่วยตรวจดูว่า มี บาลีพุทธพจน์ คิดเพลินฯ กายปราศจากวิญญาณไหม ?




https://www.youtube.com/watch?v=86Q27k0xknI

นาที 12.45  เพราะฉะนั้น ทุกขณะที่โยมนั่งอยู่ตรงนี้ วิญญาณก็เกิด ดับ ตลอด
เดี๋ยวโยมไปคิดเรื่องนั้น คิดเรื่องนี้  รู้สึกพอใจ ไม่พอใจ
คิดอดีต คิดอนาคต คิดจุ้บจิ้บ อยู่ตลอดวันเลย
วันนึงคิดไม่รู้กี่เรื่อง เกิดดับไม่รู้กี่แสนกี่ล้านดวงวิญญาณ  น่ะ

และทุกขณะที่โยมคิดนั่นแหละ ขณะนั้นเนี่ยะ จิตไม่ได้อยู่ในกายโยมแล้วน่ะ   
ขณะที่เราคิดเรื่องอะไรก็ตาม จิตไม่ได้อยู่กับกายเราแล้ว  กายเราปราศจากวิญญาณ

และขณะที่เราคิดเรื่องใดก็ตาม ขณะนั้นคือ ภพ ชาติ ชรา มรณะ น่ะ
พระองค์ตรัสว่า ถ้าเธอคิด ถึงสิ่งใด ดำหริถึงสิ่งใด
หรือมีจิตฝังลึกปักลงไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อยู่
สิ่งนั้น ย่อมเป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่ของวิญญาณ น่ะ

ฉะนั้น โยมคิดเรื่องอะไรมาก็ตาม  ปุ้บเนี่ยะ วิญญาณไปตั้งอาศัยอยู่ตรงนั้นละ
และขณะที่วิญญาณที่ตั้งอยู่ตรงนั้น ภพคือสถานที่ ของจิตเกิดขึ้นแล้ว น่ะ
เพียงแต่รูปธาตุยังไม่ตาย  มันก็ดับจากภพนั้นมาเกาะที่กายโยมเหมือนเดิม  
กลับไปกลับมา กลับไปกลับมา  กลับไปมา เพราะความยึดมั่นในกายยังมีอยู่

ตราบใด ณ.ขณะที่มัน โยมหลุดไปคิดเรื่องใดแล้วกายมันตายพอดีน่ะ
นั่นคือ อัตภาพใหม่ของเรา

ซึ่งพระพุทธเจ้าบอก จะเป็นอัตภาพมีส่วนแห่งบุญก็ดี มีส่วนแห่งอบุญก็ดี

ฉะนั้นให้ทำความเข้าใจนี้คือสัจจะความจริงที่พระตถาคตได้บัญญัติเอาไว้ น่ะ
ไม่งั้นเราจะไม่มีวันเข้าใจธรรมชาติอันเป็นตัวเราของเรานี้เลย และเราจะเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ  
เมื่อเราเที่ยวไปฟังคนนู้นคนนี้พูด โดยไม่ฟังพระศาสดาของเราพูด น่ะ
นี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงต้องกลับมาศึกษาพุทธวจน น่ะ
สิ่งที่รู้มา สิ่งที่เข้าใจมาจะได้ถูกแก้ไข  น่ะ ให้มันถูกต้องตามความเป็นจริง
เพราะก็อย่างที่บอกข้อมูลนี้ สองพันกว่าปี น่ะ อืม
ฉะนั้นวิญญาณเวียนว่ายตายเกิดไม่มี น่ะ
นี่ก็เป็น เป็นเหตุผลตามที่พระศาสดาบัญญัติ

-------------------

ใครที่นั่งพิมพ์กดแป้นคีย์บอร์ดเพลิน ๆ
ถ้าใช้ตรรกะของนักบวชคึกฤทธิ์ จิตก็คงจะออกไปอยู่ที่ แป้นคีย์บอร์ด !!!
*****
จากวาทะนี้
ณ.ขณะที่มัน โยมหลุดไปคิดเรื่องใดแล้วกายมันตายพอดีน่ะ
นั่นคือ อัตภาพใหม่ของเรา


*****

ถ้า...
หัวใจวายตายตอนนั้น หรือไฟช้อต ตายตอนนั้น ก็คงจะไปเกิดที่แป้นคีย์บอร์ดนั่นแหละ !!!
ความคิดเห็นที่ 16
https://www.facebook.com/groups/antikukrit/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่