สวัสดีครับ นี่เป็นบทความแรกของผม ขอคำแนะนำด้วยนะครับ ผิดพลาดอะไรก็ขออภัยด้วยครับ
ทุกๆคนที่เดินเข้ามาทางสายTechnical ล้วนแล้วแต่ศึกษากราฟเทคนิคต่างๆมามากมาย ต่างก็หาเทคนิค หาเครื่องมือที่คิดว่าดีที่สุดมาใส่ในกราฟ คิดว่ายิ่งมีเครื่องมือในกราฟมาก ก็ยิ่งทำให้ความถูกต้องความแม่นยำในการใช้เครื่องมือมากขึ้นตาม แต่ในทางปฏิบัติ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เครื่องมือยิ่งมากเท่าไหร่ ความขัดแย้งกันเองของเครื่องมือก็จะมากตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น MACDมองว่าขึ้น แต่RSIกลับมองว่าลง แทนที่จะเอาเครื่องมือตัวที่ไม่จำเป็นออกเพื่อลดความสับสน แต่คนส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะใส่Stochasticเพิ่มเข้าไปอีกตัวเพื่อดูว่าขึ้นหรือลงมากกว่ากัน ซึ่งจริงๆแล้วเครื่องมือแต่ละตัวต่างมีหน้าที่ที่แตกต่างกันตามสภาวะตลาดที่เหมาะสม เราไม่จำเป็นที่จะต้องใส่เครื่องมือให้ครบทุกตัว แต่เราควรจะใส่แค่ตัวที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น เช่น เครื่องมือบางตัวเหมาะกับช่วงที่ตลาดเป็นTrend แต่เรากลับไปใช้ในช่วงที่ตลาดSideway ก็ทำให้โดนStop lossไป เครื่องมือบางตัวเหมาะกับช่วงที่ตลาดเหวี่ยงอยู่ในกรอบ แต่กลับเอาไปใช้ในช่วงที่ตลาดBullishมากๆ สุดท้ายขายหมู เครื่องมือบางตัวเอาไว้ใช้บอกความแข็งแรงของTrend แต่กลับเอามาเป็นสัญญาณซื้อขาย สุดท้ายก็มาโทษเครื่องมือว่าเครื่องมือมันไม่ดี มันไม่แม่น มันชอบหลอก ทั้งที่จริงๆแล้วเราใช้ผิดวัตถุประสงค์ของเครื่องมือที่ถูกออกแบบขึ้นมาต่างหาก ดังนั้นเครื่องมือไม่ต้องเยอะ เลือกใช้เฉพาะเท่าที่จำเป็นพอ
ถ้าหากพูดถึงจุดซื้อจุดขายแล้ว หลายคนต่างพยายามจะหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ซื้อในจุดที่ต่ำที่สุดและหวังที่จะขายได้ในจุดที่สูงที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว นอกจากจะฟลุคนะครับ 555+ หลายคนพยายามจะซื้อในขณะที่ราคาหุ้นลงมาเรื่อยๆ เพราะคิดว่าจะได้ต้นทุนที่ดีกว่าการที่ราคาหุ้นขึ้นไปแล้ว ในเชิงของคนที่ใช้Fundamentalนั้นสามารถทำได้ เพราะในที่สุดราคาหุ้นจะกลับไปหามูลค่าที่แท้จริงของมันเอง แต่ถ้าในเชิงของTechnicalไม่ควรทำ เพราะการที่ราคาลงไปเรื่อยๆ มันยังไม่มีสัญญาณอะไรที่บ่งบอกว่ามันจะกลับตัวเลย ไม่ต่างกับการที่เราวิ่งเข้าไปรับมีดนั่นเอง บางทีถ้าตลาดลงหนักมากๆ อาจจะไม่ใช่แค่มีดก็ได้นะครับ แต่จะเป็นนนนนนน………. ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเหมือนกันครับ คิดไม่ออก 555+ เอาเป็นว่าช่างมัน !! แต่ถ้าผมบอกแบบนี้หล่ะครับ จุดซื้อที่ต่ำที่สุดบางทีมันก็ไม่ใช่จุดซื้อที่ดีที่สุดเสมอไป งงมั้ยครับ หลายคนอาจจะมองว่าจุดซื้อที่ต่ำสุดมันก็ต้องเป็นจุดซื้อที่ดีสุดอยู่แล้วสิ งั้นผมอธิบายด้วยภาพน่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่า

ตามภาพจะเห็นได้เลยนะครับ ถึงแม้ว่าเราจะได้ซื้อในจุดที่ต่ำที่สุดก็ตาม แต่ปรากฏว่าราคาดันเหวี่ยงออกข้างไม่ไปไหนอยู่ประมาณ3-4เดือน พอร์ตเราก็ไม่ไปไหนเหมือนกัน แต่เมื่อราคาทำNew High ก็จะเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัวร์ว่าราคาของหุ้นตัวนี้จะไปต่อ หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วทำไมไม่ซื้อตอนที่มันย่อลงมาก่อนที่มันจะเบรกขึ้นไป ทำไมต้องไปซื้อตอนที่มันเบรกขึ้นไปแล้ว แบบนี้ต้นทุนก็แพงสิ ตอบทีละคำถามนะครับ ทำไมต้องไปซื้อตอนที่ราคาเบรกขึ้นไปแล้ว? คำตอบคือ เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะเบรกจริงๆรึเปล่า มันมีโอกาสที่จะวิ่งขึ้นไปชนแนวต้านแล้วร่วงลงเลยก็ได้หรือบางทีไม่ชนแต่ลงไปเลย การซื้อที่Breakout อาจต้องยอมมีต้นทุนที่แพงกว่าแต่ก็ชัวร์กว่า แล้วทำไมไม่ซื้อตอนที่มันย่อลงมา? ก็เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะย่อลงไปแค่ไหน บางทีอาจร่วงหลุดแนวรับลงไปเลย หรือถ้าแนวรับรับอยู่ เราก็ไม่มีทางรู้อีกว่าเมื่อไหร่มันจะเบรก มันอาจจะsidewayไปเรื่อยๆก็ได้ การซื้อที่แนวรับ อาจทำให้เราได้ต้นทุนที่ดีกว่าคนซื้อที่เบรก แต่ต้องยอมรับว่าซื้อแล้วราคาอาจจะออกข้างไม่ไปไหนก็ได้ ก็ต้องไปรอลุ้นว่ามันจะเบรกแนวต้านขึ้นได้รึเปล่า หรือไม่ก็อาจจะพิจารณาขายที่แนวต้านไปเลย ดังนั้นจุดซื้อที่ดีคือซื้อแล้วราคาไปต่อเลยไม่ใช่ซื้อแล้วราคาsidewayออกข้าง ดูจากการที่ราคาBreakoutแนวต้านขึ้นไปได้ ราคาวิ่งไปต่อเป็นเทรนอย่างเห็นได้ชัด เข้าใจแล้วนะครับว่าทำไมจุดซื้อที่ต่ำที่สุดกับจุดซื้อที่ดีที่สุดถึงเป็นคนละจุดกัน ดังนั้นเราไม่ควรไปหาซื้อหุ้นในจุดที่ต่ำสุด แต่ไปหาซื้อในจุดที่ชัวร์และปลอดภัยจะดีกว่า เพราะเอาเข้าจริงๆ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจุดไหนคือจุดต่ำสุดของราคา ในขณะที่ราคาลงมาเรื่อยๆนั้น ไม่มีสัญญาณอะไรที่บอกว่ามันคือจุดต่ำสุด การที่จะรู้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ที่ไหน ต้องรอให้จุดต่ำสุดมันปรากฏขึ้นมาก่อน แสดงว่าราคาหุ้นจะต้องขึ้นมาแล้ว แล้วเราค่อยหาจังหวะซื้อตามจะปลอดภัยกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องมีจุดStop Lossนะครับ
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ผมอยากจะบอกว่าเทคนิคที่ใช้ ไม่จำเป็นต้องเป็นท่ายากพิสดารอะไรมากมาย แต่ทุกคนกลับมองหาแต่เทคนิคเทพๆ มองหาจุดเข้าจุดออกที่จะทำกำไรได้ทุกครั้ง โดยที่มองข้ามเรื่องสำคัญไป เพราะสิ่งที่ที่สำคัญจริงๆไม่ใช่Technical ต้องเข้าใจก่อนว่าในตลาดหุ้นไม่มีอะไรที่แน่นอน100% ไม่มีเทคนิคไหนที่สามารถทำกำไรได้ทุกครั้งทุกสภาพตลาด ต่อให้เป็นTraderที่เก่งแค่ไหน ก็ยังต้องเจอกับการขาดทุนอยู่ดี ดังนั้น จุดStop Lossเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และการOvertradeหรือเสี่ยงเกินกว่าที่ตัวเองจะรับไหวก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ นอกจากจะรู้ในเรื่องของจุดซื้อจุดขายแล้ว ยังต้องรู้จักเรื่องของMoney Managementด้วย ใครที่บอกว่าMoney Managementไม่สำคัญ แสดงว่าเขายังเทรดมาไม่นานพอ ถ้าคุณไม่มีMoney Management พอร์ตคุณก็จะเหวี่ยงขึ้นๆลงๆ บางทีถ้าตลาดผันผวนมากๆแล้วโดน กำไรที่ทำมาโดยตลอดอาจจะหายไปภายในไม่กี่วัน แถมบางทีความเสียหายที่เกิดขึ้น มันเอากลับคืนไม่ได้หรือมันยากเกินไปที่จะทำให้พอร์ตกลับไปที่เดิม ก็ต้องยอมรับว่าตลาดเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือความเสี่ยง ถ้าเราควบคุมความเสี่ยงได้ เราก็สามารถที่จะอยู่รอดได้ในตลาด ดังนั้นMoney Managementถึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เราต้องคิดว่าในการเข้าซื้อแต่ละครั้ง ทำยังไงถึงจะได้กำไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทำยังไงที่จะเสียหายให้น้อยที่สุด หรือถ้าเสียหายไปแล้ว ทำยังไงให้อยู่ในระดับที่เราสามารถควบคุมความเสียหายได้แล้วให้พอร์ตกลับมาได้อย่างไม่ยากลำบากเกินไป ในตลาดหุ้นได้สอนผมไว้อยู่อย่างนึงว่า ต่อให้มีเทคนิคที่สุดยอดแค่ไหน แต่ถ้าบริหารความเสี่ยงไม่เป็น ยังไงก็เจ๊ง ในทางกลับกัน ต่อให้คุณมีเทคนิคที่พื้นๆ เรียบง่ายแค่ไหน แต่ถ้ามีMoney Managementที่ยอดเยี่ยม ผมเชื่อว่าทุกคนอยู่รอดในตลาดได้อย่างแน่นอนครับ
จบแล้วคร๊าบบบ หวังว่าจะได้ประโยชน์อะไรไปบ้างไม่มากก็น้อย (ไม่ก็น้อยมาก 555+) ขอบคุณครับ ~
Technicalง่ายๆ สไตล์เด็กวัยรุ่น
ทุกๆคนที่เดินเข้ามาทางสายTechnical ล้วนแล้วแต่ศึกษากราฟเทคนิคต่างๆมามากมาย ต่างก็หาเทคนิค หาเครื่องมือที่คิดว่าดีที่สุดมาใส่ในกราฟ คิดว่ายิ่งมีเครื่องมือในกราฟมาก ก็ยิ่งทำให้ความถูกต้องความแม่นยำในการใช้เครื่องมือมากขึ้นตาม แต่ในทางปฏิบัติ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เครื่องมือยิ่งมากเท่าไหร่ ความขัดแย้งกันเองของเครื่องมือก็จะมากตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น MACDมองว่าขึ้น แต่RSIกลับมองว่าลง แทนที่จะเอาเครื่องมือตัวที่ไม่จำเป็นออกเพื่อลดความสับสน แต่คนส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะใส่Stochasticเพิ่มเข้าไปอีกตัวเพื่อดูว่าขึ้นหรือลงมากกว่ากัน ซึ่งจริงๆแล้วเครื่องมือแต่ละตัวต่างมีหน้าที่ที่แตกต่างกันตามสภาวะตลาดที่เหมาะสม เราไม่จำเป็นที่จะต้องใส่เครื่องมือให้ครบทุกตัว แต่เราควรจะใส่แค่ตัวที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น เช่น เครื่องมือบางตัวเหมาะกับช่วงที่ตลาดเป็นTrend แต่เรากลับไปใช้ในช่วงที่ตลาดSideway ก็ทำให้โดนStop lossไป เครื่องมือบางตัวเหมาะกับช่วงที่ตลาดเหวี่ยงอยู่ในกรอบ แต่กลับเอาไปใช้ในช่วงที่ตลาดBullishมากๆ สุดท้ายขายหมู เครื่องมือบางตัวเอาไว้ใช้บอกความแข็งแรงของTrend แต่กลับเอามาเป็นสัญญาณซื้อขาย สุดท้ายก็มาโทษเครื่องมือว่าเครื่องมือมันไม่ดี มันไม่แม่น มันชอบหลอก ทั้งที่จริงๆแล้วเราใช้ผิดวัตถุประสงค์ของเครื่องมือที่ถูกออกแบบขึ้นมาต่างหาก ดังนั้นเครื่องมือไม่ต้องเยอะ เลือกใช้เฉพาะเท่าที่จำเป็นพอ
ถ้าหากพูดถึงจุดซื้อจุดขายแล้ว หลายคนต่างพยายามจะหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ซื้อในจุดที่ต่ำที่สุดและหวังที่จะขายได้ในจุดที่สูงที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว นอกจากจะฟลุคนะครับ 555+ หลายคนพยายามจะซื้อในขณะที่ราคาหุ้นลงมาเรื่อยๆ เพราะคิดว่าจะได้ต้นทุนที่ดีกว่าการที่ราคาหุ้นขึ้นไปแล้ว ในเชิงของคนที่ใช้Fundamentalนั้นสามารถทำได้ เพราะในที่สุดราคาหุ้นจะกลับไปหามูลค่าที่แท้จริงของมันเอง แต่ถ้าในเชิงของTechnicalไม่ควรทำ เพราะการที่ราคาลงไปเรื่อยๆ มันยังไม่มีสัญญาณอะไรที่บ่งบอกว่ามันจะกลับตัวเลย ไม่ต่างกับการที่เราวิ่งเข้าไปรับมีดนั่นเอง บางทีถ้าตลาดลงหนักมากๆ อาจจะไม่ใช่แค่มีดก็ได้นะครับ แต่จะเป็นนนนนนน………. ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเหมือนกันครับ คิดไม่ออก 555+ เอาเป็นว่าช่างมัน !! แต่ถ้าผมบอกแบบนี้หล่ะครับ จุดซื้อที่ต่ำที่สุดบางทีมันก็ไม่ใช่จุดซื้อที่ดีที่สุดเสมอไป งงมั้ยครับ หลายคนอาจจะมองว่าจุดซื้อที่ต่ำสุดมันก็ต้องเป็นจุดซื้อที่ดีสุดอยู่แล้วสิ งั้นผมอธิบายด้วยภาพน่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่า
ตามภาพจะเห็นได้เลยนะครับ ถึงแม้ว่าเราจะได้ซื้อในจุดที่ต่ำที่สุดก็ตาม แต่ปรากฏว่าราคาดันเหวี่ยงออกข้างไม่ไปไหนอยู่ประมาณ3-4เดือน พอร์ตเราก็ไม่ไปไหนเหมือนกัน แต่เมื่อราคาทำNew High ก็จะเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัวร์ว่าราคาของหุ้นตัวนี้จะไปต่อ หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วทำไมไม่ซื้อตอนที่มันย่อลงมาก่อนที่มันจะเบรกขึ้นไป ทำไมต้องไปซื้อตอนที่มันเบรกขึ้นไปแล้ว แบบนี้ต้นทุนก็แพงสิ ตอบทีละคำถามนะครับ ทำไมต้องไปซื้อตอนที่ราคาเบรกขึ้นไปแล้ว? คำตอบคือ เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะเบรกจริงๆรึเปล่า มันมีโอกาสที่จะวิ่งขึ้นไปชนแนวต้านแล้วร่วงลงเลยก็ได้หรือบางทีไม่ชนแต่ลงไปเลย การซื้อที่Breakout อาจต้องยอมมีต้นทุนที่แพงกว่าแต่ก็ชัวร์กว่า แล้วทำไมไม่ซื้อตอนที่มันย่อลงมา? ก็เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะย่อลงไปแค่ไหน บางทีอาจร่วงหลุดแนวรับลงไปเลย หรือถ้าแนวรับรับอยู่ เราก็ไม่มีทางรู้อีกว่าเมื่อไหร่มันจะเบรก มันอาจจะsidewayไปเรื่อยๆก็ได้ การซื้อที่แนวรับ อาจทำให้เราได้ต้นทุนที่ดีกว่าคนซื้อที่เบรก แต่ต้องยอมรับว่าซื้อแล้วราคาอาจจะออกข้างไม่ไปไหนก็ได้ ก็ต้องไปรอลุ้นว่ามันจะเบรกแนวต้านขึ้นได้รึเปล่า หรือไม่ก็อาจจะพิจารณาขายที่แนวต้านไปเลย ดังนั้นจุดซื้อที่ดีคือซื้อแล้วราคาไปต่อเลยไม่ใช่ซื้อแล้วราคาsidewayออกข้าง ดูจากการที่ราคาBreakoutแนวต้านขึ้นไปได้ ราคาวิ่งไปต่อเป็นเทรนอย่างเห็นได้ชัด เข้าใจแล้วนะครับว่าทำไมจุดซื้อที่ต่ำที่สุดกับจุดซื้อที่ดีที่สุดถึงเป็นคนละจุดกัน ดังนั้นเราไม่ควรไปหาซื้อหุ้นในจุดที่ต่ำสุด แต่ไปหาซื้อในจุดที่ชัวร์และปลอดภัยจะดีกว่า เพราะเอาเข้าจริงๆ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจุดไหนคือจุดต่ำสุดของราคา ในขณะที่ราคาลงมาเรื่อยๆนั้น ไม่มีสัญญาณอะไรที่บอกว่ามันคือจุดต่ำสุด การที่จะรู้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ที่ไหน ต้องรอให้จุดต่ำสุดมันปรากฏขึ้นมาก่อน แสดงว่าราคาหุ้นจะต้องขึ้นมาแล้ว แล้วเราค่อยหาจังหวะซื้อตามจะปลอดภัยกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องมีจุดStop Lossนะครับ
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ผมอยากจะบอกว่าเทคนิคที่ใช้ ไม่จำเป็นต้องเป็นท่ายากพิสดารอะไรมากมาย แต่ทุกคนกลับมองหาแต่เทคนิคเทพๆ มองหาจุดเข้าจุดออกที่จะทำกำไรได้ทุกครั้ง โดยที่มองข้ามเรื่องสำคัญไป เพราะสิ่งที่ที่สำคัญจริงๆไม่ใช่Technical ต้องเข้าใจก่อนว่าในตลาดหุ้นไม่มีอะไรที่แน่นอน100% ไม่มีเทคนิคไหนที่สามารถทำกำไรได้ทุกครั้งทุกสภาพตลาด ต่อให้เป็นTraderที่เก่งแค่ไหน ก็ยังต้องเจอกับการขาดทุนอยู่ดี ดังนั้น จุดStop Lossเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และการOvertradeหรือเสี่ยงเกินกว่าที่ตัวเองจะรับไหวก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ นอกจากจะรู้ในเรื่องของจุดซื้อจุดขายแล้ว ยังต้องรู้จักเรื่องของMoney Managementด้วย ใครที่บอกว่าMoney Managementไม่สำคัญ แสดงว่าเขายังเทรดมาไม่นานพอ ถ้าคุณไม่มีMoney Management พอร์ตคุณก็จะเหวี่ยงขึ้นๆลงๆ บางทีถ้าตลาดผันผวนมากๆแล้วโดน กำไรที่ทำมาโดยตลอดอาจจะหายไปภายในไม่กี่วัน แถมบางทีความเสียหายที่เกิดขึ้น มันเอากลับคืนไม่ได้หรือมันยากเกินไปที่จะทำให้พอร์ตกลับไปที่เดิม ก็ต้องยอมรับว่าตลาดเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือความเสี่ยง ถ้าเราควบคุมความเสี่ยงได้ เราก็สามารถที่จะอยู่รอดได้ในตลาด ดังนั้นMoney Managementถึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เราต้องคิดว่าในการเข้าซื้อแต่ละครั้ง ทำยังไงถึงจะได้กำไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทำยังไงที่จะเสียหายให้น้อยที่สุด หรือถ้าเสียหายไปแล้ว ทำยังไงให้อยู่ในระดับที่เราสามารถควบคุมความเสียหายได้แล้วให้พอร์ตกลับมาได้อย่างไม่ยากลำบากเกินไป ในตลาดหุ้นได้สอนผมไว้อยู่อย่างนึงว่า ต่อให้มีเทคนิคที่สุดยอดแค่ไหน แต่ถ้าบริหารความเสี่ยงไม่เป็น ยังไงก็เจ๊ง ในทางกลับกัน ต่อให้คุณมีเทคนิคที่พื้นๆ เรียบง่ายแค่ไหน แต่ถ้ามีMoney Managementที่ยอดเยี่ยม ผมเชื่อว่าทุกคนอยู่รอดในตลาดได้อย่างแน่นอนครับ
จบแล้วคร๊าบบบ หวังว่าจะได้ประโยชน์อะไรไปบ้างไม่มากก็น้อย (ไม่ก็น้อยมาก 555+) ขอบคุณครับ ~