ผมไปอ่านเจอข้อกฎหมายของ สหรัฐฯ ที่เคยถูกร่างขึ้นในปี 1924 คือต้นเรื่อง มันเริ่มมาจาก อีตา สว. McNary แห่งรัฐโอเรก้อน กับอีตา Haugen แห่งไอโอวา เสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภาฯ เพื่อให้มีการเพิ่มราคาสินค้าเกษตรขึ้นมาอยู่ในระดับที่เป็นธรรม จริงๆ ภาษาอังกฤษมันเขียนว่า Parity Price แปลว่าไรช่างเถอะ (ราคาแบบเท่าเทียม?)
แล้วร่างนี้ มันก็มีคนเอาด้วยจำนวนนึง วัตถุประสงค์ก็เพื่อพยุงราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญในสมัยนั้น ก็คล้ายๆ กับบ้านเรา ที่ชอบอุ้มลูกเทพ อิอิ เช่น การพยุงราคายางพารา มันสำปะหลัง อ้อย ข้าว ฯลฯ แต่ร่างนี้ ต้องการพยุงสินค้า 8 รายการ มี ข้าวโพด แป้ง ข้าวสาลี ฝ้าย ขนสัตว์ เนื้อวัว แกะ แล้วก็หมู
เขาเสนอว่าให้การจัดตั้งบริษัทของรัฐบาลเพื่อซื้อสินค้าส่วนที่มันล้นตลาด จากนั้นจะนำไปขายต่างประเทศในราคาใดๆ ก็ได้ อาจจะเข้าทำนองซื้อแพงขายถูก แบบนี้ เหตุผลก็เพื่อไม่ให้ราคาในประเทศมันตกต่ำ จึงเกิดปัญหาด้านราคาสินค้า คือในประเทศแพง แต่ส่งออกราคาถูก แล้วร่างกฎหมายนี้ก็มุ่งช่วยเฉพาะสินค้า 8 รายการนี้เท่านั้น เขาให้เหตุผลว่า ถ้าสินค้ากลุ่มนี้ราคาสูง มันก็จะไปดันให้สินค้าตัวอื่นสูงตาม
พอร่างกฎหมายผ่านเข้าไป 2 สภา เท่านั้น ปธน. Coolidge ยับยั้ง แบบคัดค้านอย่างแรง เพราะไม่อยากให้รัฐบาลไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจจัดซื้อสินค้าเกษตรฯ นักเศรษฐศาสตร์ก็ไม่เอาด้วย
แล้วเป็นไงต่อ จริงๆ เขาก็ยอมรับนะครับว่า เหล่าเกษตรกรควรจะได้รับความช่วยเหลือ แต่ไม่ควรจะเป็นหน้าที่รัฐบาลที่จะเข้าไปอุ้มราคาสินค้าเกษตร เขาก็เลยเปลี่ยนแผนไปแก้ปัญหานี้ผ่านสหกรณ์ ขณะที่ ปธน. Coolidge อ้างแนวคิดที่ว่า ร่างกฎหมายนี้มุ่งช่วยเฉพาะพืชผลไม่กี่ชนิด ซึ่งขัดหลักกับ รธน. ที่รัฐบาลกลางจะเข้าไปดำเนินกิจการตามโครงการนั้น สมัย Hoover ก็ค้านกฎหมายนั้นอีก สุดท้ายร่าง กม. นี้ก็แท้ง ไม่ได้ออกเป็นกฎหมาย จังหวะดีที่ราคาสินค้ามันดีขึ้น เสียงเรียกร้องจึงน้อยลง
สหรัฐฯ เขาจะมีกฎหมายห้ามไม่ให้หน่วยงานรัฐไปทำธุรกิจแข่งกับเอกชน หรือเรื่องการอุ้มราคาสินค้าต่างๆ อาจจะถูกมองว่าเลือกปฎิบัติ ขัดต่อหลักความเสมอภาค ใน รธน. ประมาณนี้ ขณะเดียวกันเมื่อรัฐไม่ทำธุรกิจแข่งกับเอกชน เขาก็มีการออกกฎหมาย ห้ามการผูกขาด แต่คนที่โดนลูกหลงคือ สหภาพแรงงาน แก้ปัญหาไม่ได้ซะงั้น แทนที่จะกันพวกนายทุนผูกขาด
ส่วนของไทย ถ้าหากมีคนค้าน ก็คงจะโวยได้ไม่ได้เต็มปาก เพราะเราเป็นลูกช่างอุ้มสารพัดเรื่อง ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเครื่องบิน.. อุ้ยย!! ฮิฮิ
'โครงการจำนำข้าว ขัด รธน. หรือไม่' by ลินคอล์น
แล้วร่างนี้ มันก็มีคนเอาด้วยจำนวนนึง วัตถุประสงค์ก็เพื่อพยุงราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญในสมัยนั้น ก็คล้ายๆ กับบ้านเรา ที่ชอบอุ้มลูกเทพ อิอิ เช่น การพยุงราคายางพารา มันสำปะหลัง อ้อย ข้าว ฯลฯ แต่ร่างนี้ ต้องการพยุงสินค้า 8 รายการ มี ข้าวโพด แป้ง ข้าวสาลี ฝ้าย ขนสัตว์ เนื้อวัว แกะ แล้วก็หมู
เขาเสนอว่าให้การจัดตั้งบริษัทของรัฐบาลเพื่อซื้อสินค้าส่วนที่มันล้นตลาด จากนั้นจะนำไปขายต่างประเทศในราคาใดๆ ก็ได้ อาจจะเข้าทำนองซื้อแพงขายถูก แบบนี้ เหตุผลก็เพื่อไม่ให้ราคาในประเทศมันตกต่ำ จึงเกิดปัญหาด้านราคาสินค้า คือในประเทศแพง แต่ส่งออกราคาถูก แล้วร่างกฎหมายนี้ก็มุ่งช่วยเฉพาะสินค้า 8 รายการนี้เท่านั้น เขาให้เหตุผลว่า ถ้าสินค้ากลุ่มนี้ราคาสูง มันก็จะไปดันให้สินค้าตัวอื่นสูงตาม
พอร่างกฎหมายผ่านเข้าไป 2 สภา เท่านั้น ปธน. Coolidge ยับยั้ง แบบคัดค้านอย่างแรง เพราะไม่อยากให้รัฐบาลไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจจัดซื้อสินค้าเกษตรฯ นักเศรษฐศาสตร์ก็ไม่เอาด้วย
แล้วเป็นไงต่อ จริงๆ เขาก็ยอมรับนะครับว่า เหล่าเกษตรกรควรจะได้รับความช่วยเหลือ แต่ไม่ควรจะเป็นหน้าที่รัฐบาลที่จะเข้าไปอุ้มราคาสินค้าเกษตร เขาก็เลยเปลี่ยนแผนไปแก้ปัญหานี้ผ่านสหกรณ์ ขณะที่ ปธน. Coolidge อ้างแนวคิดที่ว่า ร่างกฎหมายนี้มุ่งช่วยเฉพาะพืชผลไม่กี่ชนิด ซึ่งขัดหลักกับ รธน. ที่รัฐบาลกลางจะเข้าไปดำเนินกิจการตามโครงการนั้น สมัย Hoover ก็ค้านกฎหมายนั้นอีก สุดท้ายร่าง กม. นี้ก็แท้ง ไม่ได้ออกเป็นกฎหมาย จังหวะดีที่ราคาสินค้ามันดีขึ้น เสียงเรียกร้องจึงน้อยลง
สหรัฐฯ เขาจะมีกฎหมายห้ามไม่ให้หน่วยงานรัฐไปทำธุรกิจแข่งกับเอกชน หรือเรื่องการอุ้มราคาสินค้าต่างๆ อาจจะถูกมองว่าเลือกปฎิบัติ ขัดต่อหลักความเสมอภาค ใน รธน. ประมาณนี้ ขณะเดียวกันเมื่อรัฐไม่ทำธุรกิจแข่งกับเอกชน เขาก็มีการออกกฎหมาย ห้ามการผูกขาด แต่คนที่โดนลูกหลงคือ สหภาพแรงงาน แก้ปัญหาไม่ได้ซะงั้น แทนที่จะกันพวกนายทุนผูกขาด
ส่วนของไทย ถ้าหากมีคนค้าน ก็คงจะโวยได้ไม่ได้เต็มปาก เพราะเราเป็นลูกช่างอุ้มสารพัดเรื่อง ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเครื่องบิน.. อุ้ยย!! ฮิฮิ