.
ในตอนนี้ ทั่วทั้งโลกต่างก็รับรู้และยอมรับกับการขึ้นเป็นประเทศมหาอำนาจของจีนอย่างไร้ข้อกังขา ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ที่เติบโตจนมีขนาดใหญ่และมีอิทธิพลกับทั้งโลก และในด้านการทหารที่แม้แต่ประเทศพี่ใหญ่เดิม อย่าง อเมริกา หรือ รัสเซีย ก็ยังต้องหวั่นเกรงกองกำลังจากแดนมังกรมิใช่น้อย
แต่หากจะมีสักประเทศที่กังวลต่อความเข้มแข็งทางด้านการทหารของจีนมากที่สุด ประเทศนั้น คงไม่มีใครเกินหน้า ประเทศญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเองก็จัดเป็น
คู่แค้น ในสายตาของพญามังกรมาเกือบร้อยปีแล้ว
เพราะเมื่อครั้งอดีต ญี่ปุ่นเองก็เคยได้ข่มเหงจีนด้วยกองกำลังทหารที่เหนือกว่าด้านยุธรโทปกรณ์ เพราะญี่ปุ่นจับตาดูจีนมาตลอด ตั้งแต่ครั้งสงครามฝิ่น ในจีน ที่ลุกลามกลายเป็น สงครามจีน-ฝรั่งเศส ยิ่งทำให้ญี่ปุ่นเห็นประจักษ์ชัดเจนว่า จีนไม่สามารถต่อต้านอิทธิพลของชาติตะวันตกได้เลย ญี่ปุ่นเองจึงถือโอกาสแผ่อิทธิพลของตนเข้าครอบงำคาบสมุทรเกาหลี
ในอดีต เกาหลีเป็นประเทศราชของจีนมาอย่างยาวนานจนมาถึงสมัยราชวงศ์ชิง ความเสื่อมถอยของราชวงศ์ชิงมีผลกระทบมาถึงเหล่าเสนาบดีของราชวงศ์โชซองซึ่งครองราชย์มายาวนานตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 ซึ่งเดิมเคยติดต่อค้าขายและมีสัมพันธ์อันดีกับราชสำนักของจีน แต่เวลานี้เมื่ออิทธิพลของจีนกำลังถดถอย โดยมีอิทธิพลของญี่ปุ่นกำลังฉายแสงรุ่งโรจน์ เหล่าขุนนางเสนาบดีเหล่านี้จึงคิดตีจากราชสำนักจีนไปสร้างสัมพันธ์ใหม่กับญี่ปุ่นและชาติตะวันตก
ญี่ปุ่นมอง
เกาหลี (ราชวงศ์โชซ็อน) และคาบสมุทรโกเรียลเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่น ในด้านความมั่นคงเพราะ เกาหลีอยู่ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น ถือเป็นจุดที่ชาติอื่นสามารถเข้ามาโจมตีญี่ปุ่นได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อำนาจของราชวงศ์ชิงกำลังเสื่อมถอยลงทุกขณะ ญี่ปุ่นจึงหวังที่จะส่งทหารเข้าควบคุมคาบสมุทรเกาหลีก่อนเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคง นอกจากนั้นยังมีแหล่งแร่เหล็กและถ่านหินของเกาหลีที่สามารถสร้างเสริมความเป็นชาติอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในอนาคต
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1876 หลังเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างพวกชาตินิยมเกาหลีกับญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นบีบให้เกาหลีต้องลงนามใน สนธิสัญญากังฮวา (Treaty of Ganghwa) ที่ให้เกาหลีต้องเปิดตลาดการค้าให้ญี่ปุ่นและชาติอื่นซึ่งเท่ากับว่าเป็นการประกาศให้นานาชาติรับรู้ว่าเกาหลีเป็นอิสระจากจีน
แล้วก็เกิดการแย่งชิงอำนาจในเกาหลี ระหว่าง จีนกับญี่ปุ่น ยื้อยื้ออยู่นาน แต่เกิดการโค่นล้มราชวงค์ชิง ของจีนเสียก่อน นายพล หยวนซื่อไข่ แม่ทัพคนสำคัญจึงต้องถอนกำลังทหารบางส่วนของตนกลับไปแย่งชิงอำนาจภายหลังการล้มราชวงค์ชิงในจีนด้วย
และถึงแม้ ราชวงศ์โชซ็อนแห่งเกาหลี จะแสดงท่าทีโน้มเอียงไปทางจีนมากกว่า ญี่ปุ่นก็ใช้มาตรการเฉียบขาด
โดยได้ทำการลอบสังหารพระราชินีมินหรือสมเด็จพระจักรพรรดินีเมียงซองแห่งเกาหลี เพราะเห็นว่าพระนางเป็นตัวการที่ขัดขวางให้ญี่ปุ่นไม่สามารถกระทำการได้อย่างเต็มที่
และในที่สุดเปียงยางตกอยู่ในความยึดครองของกองทัพญี่ปุ่นในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ.1894 และนับจากนั้น ญี่ปุ่นก็ใช้เกาหลี หรือ โคกุเรียวเป็นฐานภาคพื้นดิน หรือปลายหอกเริ่มทิ่มแทงจีนแผ่นดินใหญ่ จนในที่สุดเกิดรอยแผลที่ชนชาติจีนทั้งชาติยากจะลืมเลือน อย่างรอยแผลทางประวัติศาสตร์ที่ชื่อ
การข่มขืนนานกิง (อังกฤษ: Rape of Nanking)
โดยเหตุการณ์ นานกิง ครั้งนั้น มีที่มาจาก เมื่อ วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 โดยญี่ปุ่นยกทัพเข้ารุกรานจีน โดยส่งกองกำลังภาคพื้นดินจากโคกุเรียวไปยึดครองแมนจูเรีย เพื่อใช้เป็นฐานที่มั่นอีกแห่ง ในการก่อสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง และติดพันจนต่อมากลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สองเรียกว่า
"สงครามแปซิฟิก"
ปลายเดือนพฤศจิกายน ทหารญี่ปุ่นสามกองทัพดาหน้าเข้าหานานกิง ทัพหนึ่งมุ่งตะวันตกทางฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำแยงซี ทหารกองนี้เข้ามาทางแม่น้ำไป๋เหมา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเซี่ยงไฮ้ โดยเดินทัพมาทางรถไฟสายนานกิง-เซี่ยงไฮ้ ทัพที่สองเตรียมตัวบุกจู่โจมนานกิงทั้งทางน้ำและทางบกอยู่ที่ทะเลสาบอ้ายหู ทัพนี้เคลื่อนจากเซี่ยงไฮ้ลงมาทางตะวันตก และเดินทัพอยู่ทางทิศใต้ของทัพของนาคาจิมา โดยผู้นำทัพนี้คือ พลเอกมัตสึอิ อิวาเนะ ทัพที่สามภายใต้การนำของพลโทยานากาวา ไฮสุเขะ เดินห่างจากทัพของพลเอกมัตสึอิลงไปทางใต้และหักเลี้ยวเข้าหานานกิงจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ก่อนที่จะบุกถึงนานกิงนั้นทหารญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีเมืองซูโจวและฆ่าทุกคนที่พบ การบุกเข้าเมืองซูโจวครั้งนี้ทำให้จำนวนประชากรลดลงจาก 350,000 คนลงเหลือเพียงไม่กี่ร้อยชีวิต จนถึงรุ่งสางของวันที่ 13 ธันวาคม กองทัพญี่ปุ่นสามารถบุกผ่านประตูเมืองนานกิงเข้ามาได้
เป็นการสังหารหมู่และการข่มขืนในยามสงคราม ซึ่งเกิดขึ้นเป็นเวลาหกสัปดาห์หลังญี่ปุ่นยึดนครนานกิง อดีตเมืองหลวงของสาธารณรัฐจีน เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 1937 ระหว่างสงครามจีน-ญี่ปุ่น ในช่วงนี้ พลเรือนและทหารจีนที่ถูกปลดอาวุธหลายแสนคนถูกทหารกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นฆ่า ทั้งยังเกิดการข่มขืนและฉกชิงทรัพย์อย่างกว้างขวาง นักประวัติศาสตร์และพยานประเมินว่ามีผู้ถูกฆ่าระหว่าง 250,000 ถึง4300,000 คน ในเหตุการณ์ครั้งนั้น
ภายหลังสงคราม
ผู้ก่อการสังหารหมู่หลายคน ซึ่งขณะนั้นถูกตราว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม ภายหลังถูกไต่สวนและตัดสินว่ามีความผิด ณ ศาลชำนาญพิเศษอาชญากรรมสงครามนานกิง และถูกประหารชีวิต แต่ในการนี้ เจ้าชายยะซุฮิโกะ อะซะกะ พระอนุวงศ์ญี่ปุ่น อันเป็นผู้ก่อการสำคัญคนหนึ่ง ทรงรอดจากการฟ้องคดีอาญา เพราะฝ่ายสัมพันธมิตรได้ให้ความคุ้มครองตามคำร้องขอของญี่ปุ่นหลังแพ้สงคราม
วันนี้ แม้ญี่ปุ่นจะถูกเกาหลีเหนือภายใต้การให้ท้ายของจีน ขู่คำรามเข้าใส่
ก็ได้แต่หวานอมขมกลืนต่อไป ไม่สามารถทำเช่นไรได้ เพราะรู้ว่าจีนนั้นใช้โกคุเรียวเป็นปลายหอกทิ่มแทงตนเอง เหมือนครั้งสมัยก่อนที่ตนเองเคยทำกับจีนไว้ และด้วยรู้ว่าเป้าประสงค์ของจีนต่างจากตนเองในสมัยก่อน ที่หวังช่วงชิงพื้นที่แย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ เพราะจีนในวันนี้ หากจะรบกับญี่ปุ่น นั้นก็มีเหตุผลเพียงอย่างเดียว คือ
“ความแค้น” ซึ่งนั้นทำให้อนุภาพการทำลายล้างนั้น แตกต่างจากการแย่งชิงพื้นที่ยึดครองทรัพยากรมากนัก และทำให้ญี่ปุ่นวิตกกังวลยิ่ง
วันนี้ จีนยังไม่คลายความแค้ม เห็นได้จากการไปเยือน ศาลเจ้ายาสุกุนิถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงดวงวิญญาณชาวญี่ปุ่นราว 2.5 ล้านคนที่เสียชีวิตไปในสงคราม ของคนในรัฐบาล หรือเชื้อพระวงค์ของญี่ปุ่นครั้งใด ล้วนแต่สร้างความเจ็บแค้นให้กับจีนยิ่งมีมากขึ้นในทุกๆครั้ง
วิธีเดียวที่สามารถคลี่คลายรอยแค้นนี้ได้ คือลากตัวการออกมาลงโทษ แต่เมื่อญี่ปุ่นยังยืนยันกระต่ายขาเดียวว่าไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ จะด้วยเหตุอันใดก็แล้วแต่ ก็ทำให้ญี่ปุ่นยังคงต้องหวาดวิตกกับรอยแค้นที่ตนเองสร้างไว้ให้กับจีน ที่นานกิง อีกต่อไป
หยิบเอามาเล่า เพราะเห็นว่าช่างคล้ายคลึงกับบ้านเราซะจริงๆ เพราะตราบใดที่ตัวการไม่ถูกดำเนินการ จะใช่คนที่ถึงตายก็บอกไม่ได้ รึเปล่าก็ไม่ทราบ ทราบแต่ว่า ตราบนั้นผู้มีอำนาจก็ยังต้องหวั่นการถูกกลับมาล้างแค้นเมื่อตนเองสิ้นอำนาจอยู่ต่อไป
ความแค้นที่ถูกสร้างด้วยความเกลียดชัง มันมีอนุภาพและไม่เสื่อมสลายไปโดยง่าย ซึ่งหลายคนก็คงรู้กันดีอยู่ ถึงได้หันรีหันขวางอยากจะรั้งอำนาจไว้ให้นานที่สุดหวังให้เป็นเกราะคุ้มภัย สำหรับผมก็รู้สึก สะใจเล็กๆ ที่เห็นคนบางคน ต้องหวาดระแวงตลอดเวลาเช่นนี้
จุดเริ่มของความแค้นของจีนเริ่มบันทึกที่นานกิง โดยจดจำว่าโกกุเรียวของเกาลีเป็นปลายหอก จุดเริ่มความแค้นของไทยอยู่ที่ไหน สนามบินใช่หรือเปล่า มีพวกไหนเป็นปลายหอก สังคมยังจำกันได้ แต่ทำไมยังไม่ดำเนินการ หรือจะปล่อยให้เป็นรอยแผลแห่งความแค้นในชนชาติต่อไป เหมือนเช่นที่นานกิง
ป.ล.กลับมาราชดำเนินอีกครั้งก็ยังน่าเบื่อเช่นเดิม เมื่อสถานที่แห่งนี้กลายเป็นตลาดสดที่มีไว้ให้แม่ค้าด่าทอกัน
จนลืมไปแล้วว่าวัตถุประสงค์ของสถานที่คืออะไร...?
ตลาด มีไว้ค้าขาย กลับไม่ใช้เพื่อค้าขาย นั้นเหมาะแล้วหรือ...?
บอร์ดแสดงความเห็นทางการเมืองก็เช่นกัน มีไว้ด่าทอกันเองเช่นนั้นหรือ...? ท่านผู้เจริญ
ตัวผมเองแม้ในยามนี้ที่รู้ว่า ไม่สามารถจะเขียนสื่อความหมายทางการเมืองได้แบบตรงๆ ก็ยังหาเรื่องราวที่แฝงด้วยประโยชน์มาให้ได้อ่านกัน ถึงบางทีผู้อ่านที่ตีความหมายของการสื่อสารของผมไม่ออกก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังจะได้อะไรไปบ้างจากข้อเขียนชิ้นนี้ และไม่ได้เรียกร้องให้ใครทำตาม เพราะแต่ล่ะคนมีสมองไว้คิด มีปัญญาไว้ตัดสินใจ จะทำอันใดก็ทำไปเถิด จะได้สาระมีประโยชน์ หรือไร้สาระ รกสมอง ก็สุดแต่ท่านจะตัดสินใจ
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
(บทความ...นายพระรอง) ปลายหอกที่โกกุเรียว รอยแผลที่นานกิง ความแค้นที่สร้างจากความเกลียดชัง
ในตอนนี้ ทั่วทั้งโลกต่างก็รับรู้และยอมรับกับการขึ้นเป็นประเทศมหาอำนาจของจีนอย่างไร้ข้อกังขา ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ที่เติบโตจนมีขนาดใหญ่และมีอิทธิพลกับทั้งโลก และในด้านการทหารที่แม้แต่ประเทศพี่ใหญ่เดิม อย่าง อเมริกา หรือ รัสเซีย ก็ยังต้องหวั่นเกรงกองกำลังจากแดนมังกรมิใช่น้อย
แต่หากจะมีสักประเทศที่กังวลต่อความเข้มแข็งทางด้านการทหารของจีนมากที่สุด ประเทศนั้น คงไม่มีใครเกินหน้า ประเทศญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเองก็จัดเป็น คู่แค้น ในสายตาของพญามังกรมาเกือบร้อยปีแล้ว
เพราะเมื่อครั้งอดีต ญี่ปุ่นเองก็เคยได้ข่มเหงจีนด้วยกองกำลังทหารที่เหนือกว่าด้านยุธรโทปกรณ์ เพราะญี่ปุ่นจับตาดูจีนมาตลอด ตั้งแต่ครั้งสงครามฝิ่น ในจีน ที่ลุกลามกลายเป็น สงครามจีน-ฝรั่งเศส ยิ่งทำให้ญี่ปุ่นเห็นประจักษ์ชัดเจนว่า จีนไม่สามารถต่อต้านอิทธิพลของชาติตะวันตกได้เลย ญี่ปุ่นเองจึงถือโอกาสแผ่อิทธิพลของตนเข้าครอบงำคาบสมุทรเกาหลี
ในอดีต เกาหลีเป็นประเทศราชของจีนมาอย่างยาวนานจนมาถึงสมัยราชวงศ์ชิง ความเสื่อมถอยของราชวงศ์ชิงมีผลกระทบมาถึงเหล่าเสนาบดีของราชวงศ์โชซองซึ่งครองราชย์มายาวนานตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 ซึ่งเดิมเคยติดต่อค้าขายและมีสัมพันธ์อันดีกับราชสำนักของจีน แต่เวลานี้เมื่ออิทธิพลของจีนกำลังถดถอย โดยมีอิทธิพลของญี่ปุ่นกำลังฉายแสงรุ่งโรจน์ เหล่าขุนนางเสนาบดีเหล่านี้จึงคิดตีจากราชสำนักจีนไปสร้างสัมพันธ์ใหม่กับญี่ปุ่นและชาติตะวันตก
ญี่ปุ่นมองเกาหลี (ราชวงศ์โชซ็อน) และคาบสมุทรโกเรียลเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่น ในด้านความมั่นคงเพราะ เกาหลีอยู่ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น ถือเป็นจุดที่ชาติอื่นสามารถเข้ามาโจมตีญี่ปุ่นได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อำนาจของราชวงศ์ชิงกำลังเสื่อมถอยลงทุกขณะ ญี่ปุ่นจึงหวังที่จะส่งทหารเข้าควบคุมคาบสมุทรเกาหลีก่อนเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคง นอกจากนั้นยังมีแหล่งแร่เหล็กและถ่านหินของเกาหลีที่สามารถสร้างเสริมความเป็นชาติอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในอนาคต
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1876 หลังเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างพวกชาตินิยมเกาหลีกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นบีบให้เกาหลีต้องลงนามใน สนธิสัญญากังฮวา (Treaty of Ganghwa) ที่ให้เกาหลีต้องเปิดตลาดการค้าให้ญี่ปุ่นและชาติอื่นซึ่งเท่ากับว่าเป็นการประกาศให้นานาชาติรับรู้ว่าเกาหลีเป็นอิสระจากจีน
แล้วก็เกิดการแย่งชิงอำนาจในเกาหลี ระหว่าง จีนกับญี่ปุ่น ยื้อยื้ออยู่นาน แต่เกิดการโค่นล้มราชวงค์ชิง ของจีนเสียก่อน นายพล หยวนซื่อไข่ แม่ทัพคนสำคัญจึงต้องถอนกำลังทหารบางส่วนของตนกลับไปแย่งชิงอำนาจภายหลังการล้มราชวงค์ชิงในจีนด้วย
และถึงแม้ ราชวงศ์โชซ็อนแห่งเกาหลี จะแสดงท่าทีโน้มเอียงไปทางจีนมากกว่า ญี่ปุ่นก็ใช้มาตรการเฉียบขาด โดยได้ทำการลอบสังหารพระราชินีมินหรือสมเด็จพระจักรพรรดินีเมียงซองแห่งเกาหลี เพราะเห็นว่าพระนางเป็นตัวการที่ขัดขวางให้ญี่ปุ่นไม่สามารถกระทำการได้อย่างเต็มที่
และในที่สุดเปียงยางตกอยู่ในความยึดครองของกองทัพญี่ปุ่นในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ.1894 และนับจากนั้น ญี่ปุ่นก็ใช้เกาหลี หรือ โคกุเรียวเป็นฐานภาคพื้นดิน หรือปลายหอกเริ่มทิ่มแทงจีนแผ่นดินใหญ่ จนในที่สุดเกิดรอยแผลที่ชนชาติจีนทั้งชาติยากจะลืมเลือน อย่างรอยแผลทางประวัติศาสตร์ที่ชื่อ การข่มขืนนานกิง (อังกฤษ: Rape of Nanking)
โดยเหตุการณ์ นานกิง ครั้งนั้น มีที่มาจาก เมื่อ วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 โดยญี่ปุ่นยกทัพเข้ารุกรานจีน โดยส่งกองกำลังภาคพื้นดินจากโคกุเรียวไปยึดครองแมนจูเรีย เพื่อใช้เป็นฐานที่มั่นอีกแห่ง ในการก่อสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง และติดพันจนต่อมากลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สองเรียกว่า "สงครามแปซิฟิก"
ปลายเดือนพฤศจิกายน ทหารญี่ปุ่นสามกองทัพดาหน้าเข้าหานานกิง ทัพหนึ่งมุ่งตะวันตกทางฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำแยงซี ทหารกองนี้เข้ามาทางแม่น้ำไป๋เหมา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเซี่ยงไฮ้ โดยเดินทัพมาทางรถไฟสายนานกิง-เซี่ยงไฮ้ ทัพที่สองเตรียมตัวบุกจู่โจมนานกิงทั้งทางน้ำและทางบกอยู่ที่ทะเลสาบอ้ายหู ทัพนี้เคลื่อนจากเซี่ยงไฮ้ลงมาทางตะวันตก และเดินทัพอยู่ทางทิศใต้ของทัพของนาคาจิมา โดยผู้นำทัพนี้คือ พลเอกมัตสึอิ อิวาเนะ ทัพที่สามภายใต้การนำของพลโทยานากาวา ไฮสุเขะ เดินห่างจากทัพของพลเอกมัตสึอิลงไปทางใต้และหักเลี้ยวเข้าหานานกิงจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ก่อนที่จะบุกถึงนานกิงนั้นทหารญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีเมืองซูโจวและฆ่าทุกคนที่พบ การบุกเข้าเมืองซูโจวครั้งนี้ทำให้จำนวนประชากรลดลงจาก 350,000 คนลงเหลือเพียงไม่กี่ร้อยชีวิต จนถึงรุ่งสางของวันที่ 13 ธันวาคม กองทัพญี่ปุ่นสามารถบุกผ่านประตูเมืองนานกิงเข้ามาได้
เป็นการสังหารหมู่และการข่มขืนในยามสงคราม ซึ่งเกิดขึ้นเป็นเวลาหกสัปดาห์หลังญี่ปุ่นยึดนครนานกิง อดีตเมืองหลวงของสาธารณรัฐจีน เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 1937 ระหว่างสงครามจีน-ญี่ปุ่น ในช่วงนี้ พลเรือนและทหารจีนที่ถูกปลดอาวุธหลายแสนคนถูกทหารกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นฆ่า ทั้งยังเกิดการข่มขืนและฉกชิงทรัพย์อย่างกว้างขวาง นักประวัติศาสตร์และพยานประเมินว่ามีผู้ถูกฆ่าระหว่าง 250,000 ถึง4300,000 คน ในเหตุการณ์ครั้งนั้น
ภายหลังสงคราม ผู้ก่อการสังหารหมู่หลายคน ซึ่งขณะนั้นถูกตราว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม ภายหลังถูกไต่สวนและตัดสินว่ามีความผิด ณ ศาลชำนาญพิเศษอาชญากรรมสงครามนานกิง และถูกประหารชีวิต แต่ในการนี้ เจ้าชายยะซุฮิโกะ อะซะกะ พระอนุวงศ์ญี่ปุ่น อันเป็นผู้ก่อการสำคัญคนหนึ่ง ทรงรอดจากการฟ้องคดีอาญา เพราะฝ่ายสัมพันธมิตรได้ให้ความคุ้มครองตามคำร้องขอของญี่ปุ่นหลังแพ้สงคราม
วันนี้ แม้ญี่ปุ่นจะถูกเกาหลีเหนือภายใต้การให้ท้ายของจีน ขู่คำรามเข้าใส่ ก็ได้แต่หวานอมขมกลืนต่อไป ไม่สามารถทำเช่นไรได้ เพราะรู้ว่าจีนนั้นใช้โกคุเรียวเป็นปลายหอกทิ่มแทงตนเอง เหมือนครั้งสมัยก่อนที่ตนเองเคยทำกับจีนไว้ และด้วยรู้ว่าเป้าประสงค์ของจีนต่างจากตนเองในสมัยก่อน ที่หวังช่วงชิงพื้นที่แย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ เพราะจีนในวันนี้ หากจะรบกับญี่ปุ่น นั้นก็มีเหตุผลเพียงอย่างเดียว คือ “ความแค้น” ซึ่งนั้นทำให้อนุภาพการทำลายล้างนั้น แตกต่างจากการแย่งชิงพื้นที่ยึดครองทรัพยากรมากนัก และทำให้ญี่ปุ่นวิตกกังวลยิ่ง
วันนี้ จีนยังไม่คลายความแค้ม เห็นได้จากการไปเยือน ศาลเจ้ายาสุกุนิถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงดวงวิญญาณชาวญี่ปุ่นราว 2.5 ล้านคนที่เสียชีวิตไปในสงคราม ของคนในรัฐบาล หรือเชื้อพระวงค์ของญี่ปุ่นครั้งใด ล้วนแต่สร้างความเจ็บแค้นให้กับจีนยิ่งมีมากขึ้นในทุกๆครั้ง
วิธีเดียวที่สามารถคลี่คลายรอยแค้นนี้ได้ คือลากตัวการออกมาลงโทษ แต่เมื่อญี่ปุ่นยังยืนยันกระต่ายขาเดียวว่าไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ จะด้วยเหตุอันใดก็แล้วแต่ ก็ทำให้ญี่ปุ่นยังคงต้องหวาดวิตกกับรอยแค้นที่ตนเองสร้างไว้ให้กับจีน ที่นานกิง อีกต่อไป
หยิบเอามาเล่า เพราะเห็นว่าช่างคล้ายคลึงกับบ้านเราซะจริงๆ เพราะตราบใดที่ตัวการไม่ถูกดำเนินการ จะใช่คนที่ถึงตายก็บอกไม่ได้ รึเปล่าก็ไม่ทราบ ทราบแต่ว่า ตราบนั้นผู้มีอำนาจก็ยังต้องหวั่นการถูกกลับมาล้างแค้นเมื่อตนเองสิ้นอำนาจอยู่ต่อไป
ความแค้นที่ถูกสร้างด้วยความเกลียดชัง มันมีอนุภาพและไม่เสื่อมสลายไปโดยง่าย ซึ่งหลายคนก็คงรู้กันดีอยู่ ถึงได้หันรีหันขวางอยากจะรั้งอำนาจไว้ให้นานที่สุดหวังให้เป็นเกราะคุ้มภัย สำหรับผมก็รู้สึก สะใจเล็กๆ ที่เห็นคนบางคน ต้องหวาดระแวงตลอดเวลาเช่นนี้
จุดเริ่มของความแค้นของจีนเริ่มบันทึกที่นานกิง โดยจดจำว่าโกกุเรียวของเกาลีเป็นปลายหอก จุดเริ่มความแค้นของไทยอยู่ที่ไหน สนามบินใช่หรือเปล่า มีพวกไหนเป็นปลายหอก สังคมยังจำกันได้ แต่ทำไมยังไม่ดำเนินการ หรือจะปล่อยให้เป็นรอยแผลแห่งความแค้นในชนชาติต่อไป เหมือนเช่นที่นานกิง
ป.ล.กลับมาราชดำเนินอีกครั้งก็ยังน่าเบื่อเช่นเดิม เมื่อสถานที่แห่งนี้กลายเป็นตลาดสดที่มีไว้ให้แม่ค้าด่าทอกัน
จนลืมไปแล้วว่าวัตถุประสงค์ของสถานที่คืออะไร...?
ตลาด มีไว้ค้าขาย กลับไม่ใช้เพื่อค้าขาย นั้นเหมาะแล้วหรือ...?
บอร์ดแสดงความเห็นทางการเมืองก็เช่นกัน มีไว้ด่าทอกันเองเช่นนั้นหรือ...? ท่านผู้เจริญ
ตัวผมเองแม้ในยามนี้ที่รู้ว่า ไม่สามารถจะเขียนสื่อความหมายทางการเมืองได้แบบตรงๆ ก็ยังหาเรื่องราวที่แฝงด้วยประโยชน์มาให้ได้อ่านกัน ถึงบางทีผู้อ่านที่ตีความหมายของการสื่อสารของผมไม่ออกก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังจะได้อะไรไปบ้างจากข้อเขียนชิ้นนี้ และไม่ได้เรียกร้องให้ใครทำตาม เพราะแต่ล่ะคนมีสมองไว้คิด มีปัญญาไว้ตัดสินใจ จะทำอันใดก็ทำไปเถิด จะได้สาระมีประโยชน์ หรือไร้สาระ รกสมอง ก็สุดแต่ท่านจะตัดสินใจ
ขอบคุณครับ
นายพระรอง