สรวลเสเฮฮากับเพื่อนที่เชียงใหม่-ลำพูน

ทริปนี่เกิดขึ้นเพราะเพื่อนอยากไปเชียงใหม่ ตอนแรกเราจะไม่ไปเพราะเป็นวันหยุดยาว แต่เพราะคิดว่าไปเถอะ เที่ยวกับเพื่อนบ้าง



เราออกเดินทางด้วยรถของนครชัยแอร์ ในวันที่ 9 ธันวาคม 2558 รอบที่เราไปดันได้รถรุ่นเก่าไม่เป็นกล่อง เกลียดสุดคือเจอพวกปรับเบาะแบบไม่เกรงใจ และพวกชอบเอาเท้ามาสอดตรงเบาะด้านหน้า ไม่ประทับใจกับการเดินทางครั้งนี้เลยจริงๆ รอบนี้ก็เป็นไม่กี่ครั้งที่ไปเชียงใหม่แล้วได้เมนูข้าวไม่ใช่แซนวิชแช่แข็งที่อุดมด้วยสารกันบูดเหมือนเคย


ถึงเชียงใหม่ 6 โมงนิดๆ ช้ากว่าที่แจ้งไว้ 45 นาที แต่ก็ถือว่าดีจะได้รอเวลาไปรับรถไม่นานเกินไป ระหว่างนั่งรอก็จัดการของร้อนเข้าร่างกัน


จากนั้นเรียกรถแดงไปไนท์บาร์ซารอบนี้ก็โดน 150 บาท โก่งราคาจนน่าเกลียด ถ้าไม่ติดว่าเพื่อนๆ สมบัติเยอะจะเดินไปแล้ว แค่ 3 กิโลเมตรเอง (ร้องเรียนจนขี้เกียจแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง) พอรับรถที่ตกลงเช่าเอาไว้ก็ลุยออกไปบ้านรุ่นพี่เพื่อขอยืมเต็นท์ เพราะตั้งใจว่าถ้าไม่มีแม่กำปองกันเลย ทริปนี้ก็เป็นได้แค่เนฯอีกเหมือนเคย (ขับรถไม่เป็นก็สบายไป) ตกลงกันไว้แล้วว่าจะแวะทุกที่ที่อยากแวะ

จุดแรกที่เห็นป้ายแล้วเลี้ยวก็คือ ถ้ำแม่ออน เสียค่าเข้าคนละ 20 บาท ค่าเช่าไฟฉาย 20 บาท แล้วก็แซวกันสนุกว่า จุดแรกก็ปีนบันไดเหนื่อยแล้ว



พวกเราเป็นกลุ่มแรกของวันที่แวะมา พอลงมาก็สวนกับอีก 2 กลุ่ม จุดต่อไปก็ไม่มีในแผนแต่เจอร้านน่านั่งชื่อ "สวนฉัน" ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นให้ทริปนี้กลายเป็นทริปตัวแตกจนได้ สั่งกันคนละอย่าง ทุกอย่างที่สั่งผ่านหมด (ชาสตรอว์เบอร์รี่ ชาเขียว น้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่น เครปเค้ก)



ร้านสวนฉันมีที่พักและจุดกางเต็นท์ด้วย ห้องน้ำดีมาก สะอาด จากนั้นเราก็ไปกันต่อที่โครงการหลวงตีนตก



จากนั้นเพื่อนพาไปร้านกาแฟ The Giant คนเยอะมากๆ ยืนรอนานก็ยังไม่ได้ข้ามก็เลยตัดใจไม่กิน ถ่ายรูปอย่างเดียว เพราะไม่ชอบไปยืนกดดันใครเพื่อให้เขารีบกินรีบไป และก็ไม่ชอบถูกกดดันในแบบเดียวกัน เราชอบเสพกลิ่นกาแฟท่ามกลางบรรยากาศดีๆ ไม่ใช่คนเยอะแบบวันที่เราไป


จากนั้นก็ย้อนกลับทางเดิมจนถึงทางหลักก็เลี้ยวซ้ายเข้าหมู่บ้านแม่กำปอง รถไม่เยอะมากนัก มีจุดจอดรถที่วัดและศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน พอมาถึงก็แวะวัดคันธาพฤกษาหรือวัดแม่กำปอง มีโบสถ์กลางน้ำด้วย




ออกมาเดินชิลล์ slow life เดินเร็วไม่ได้ไงทางลงเขา อายุไม่น้อยไขข้อไม่เอื้อแล้ว เดินถ่ายรูปไปเรื่อย



แล้วก็ตัดสินใจนอนที่นี่สักคืนก็เลยเดินหาที่พัก เราไม่ได้จองมาก่อนผลคือเต็ม แต่โชคก็เข้าข้างมีบ้าน 1 หลังว่างอยู่ ให้พวกเรา 3 คนทั้งหลังเลย นอนกลิ้งกันสบาย ราคาคนละ 550 บาทพร้อมอาหารเช้า



หลังจากนั้นก็ออกซนกันได้เต็มที่ เดินไปกินก๋วยจั๊บญวน ส้มตำ เจอนักร้องวง tattoo color ด้วย แต่รุ่นนี้หมดความตื่นเต้นกับของแบบนี้แล้ว และก็กลับมาปิดท้ายช่วงบ่ายแก่ๆที่ร้านลุงปุ๊ด-ป้าเป็ง วันนี้คนเยอะเครื่องดื่มที่ใช่นมหมดก็เลยสั่งชาแอปเปิล น้ำผึ้งมะนาว และเค้กมะพร้าวอ่อน



ร้านเปลี่ยนไปจากที่เราเห็นรูปแม่กำปองแรกๆ มากทีเดียว จากร้านที่ได้บรรยากาศของการไปกินข้าวจิบกาแฟบ้านญาติกลายเป็นร้านกาแฟและขายอาหารแบบเต็มรูป ยอมรับว่าบริการดีมาก แต่เสน่ห์หายไป

ขากลับที่พักเดินผ่านร้านขายของสดก็มีผักสด ผลไม้ ก็แวะซื้อฝรั่งกันมาอีก 2 ลูก กลับถึงที่พักของอาบน้ำจนถึงเวลาหมูจุ่มที่เราจองไว้ มีขายร้านเดียว คนรอเต็มทุกโต๊ะ ทั้งร้านทำกัน 3 คน แต่ก็ไม่ได้รอนานจนเกินไป ชุดใหญ่ 199 บาท สั่งกัน 2 ชุด พร้อมยอดข้าวแก้หนาว 1 ขวด หมูจุ่มที่นี่หมักนมด้วยทำให้น้ำซุปที่ออกมาหอมหวาน อร่อยไปอีกแบบ



มื้อเย็นอิ่มมาก สองสาวก็สั่งเอาๆ ที่เหลือก็ต้องเรานี่แหละ ถึงเรียกทริปนี้ว่าทริปตัวแตกแด_ดุ นั่งกินไปอุณหภูมิก็ลดลงเรื่อยๆ


พอถึงที่พักก็วางแผนเที่ยวตลอดทริปด้วยการสุ่ม สุดท้ายก็สรุปว่าไปอินทนนท์ก่อนที่เหลือค่อยว่ากัน สองสาวไม่ยอมเข้าไปนอนในห้องแถมยังมายึดที่นอนด้านนอกอีก เราก็เลยต้องปูที่นอนใหม่นอนข้างๆ กันนั่นแหละ เที่ยวกันมาเยอะตั้งแต่สมัยปี 1 ชินกันแล้ว

เช้าวันที่ 11 ธันวาคม 2558 เราตื่นเช้าแล้วก็ออกไปสัมผัสอากาศเย็นพร้อมกับความสงบของแม่กำปอง มันน่าอยู่มาก



เราหนีความวุ่นวายเพื่อจะมาอยู่เงียบสงบแบบนี้ แต่พอเริ่มสายคนเริ่มตื่นก็กลับมาคึกคักเหมือนเดิม มื้อเช้าที่พี่อรุณ (เจ้าของบ้านพัก) เตรียมให้มีข้าวต้มหมูเห็ด ผัดผัก 2 อย่าง และก็ไข่นิ่งใบตอง อันนี้ไปแอบดูมาก็ทำไม่ยาก ตั้งกระทะใส่น้ำ นำใบตองวาง ตอกไข่ ปิดฝา รอจนไข่สุกก็นำขึ้นทั้งใบตอง เรา 3 คนขอมานั่งริมน้ำ บรรยากาศดีกว่า อากาศเย็นกว่าบนเรือนที่พี่อรุณเตรียมไว้



อาหารธรรมดาแต่อร่อยเพราะทุกอย่างสดหมด แถมพี่อรุณได้ยินพวกเราคุยกันว่าจะไปหากาแฟสดกินต่อ พี่แกก็เลยไปชงของที่บ้านมาให้ แกเล่าว่าปลูกเอง คั่วเอง บดเอง (ใช้โม่หินบดเอา) เครื่องชงเป็นแบบหยดสำเร็จรูป กาแฟหอมมาก แต่ไม่ดีดเหมือนเจ้าอื่น จากนั้นก็แลกเปลี่ยนเรื่องเครื่องบดกาแฟแบบมือที่เราใช้อยู่ บดสดๆ กลิ่นจะหอม ยิ่งพอมาผ่านน้ำร้อนยิ่งหอมมาก แกบอกเดี๋ยวให้ลูกชายเขาเมืองไปซื้อ ลูกค้าหลายคนก็บอกดี เราว่าถ้าแกมีนะคนที่มาพักก็บดกาแฟ รอกาแฟหยด ดื่มด่ำกับกลิ่นหอมของกาแฟ ระหว่างรอพี่อรุณทำอาหารก็ไม่น่าเบื่อแล้ว

พออิ่มก็กลับมาเก็บของ อาบน้ำ เตรียมข้ามฝั่งไปอินทนนท์ แต่แล้วเครื่องทำน้ำอุ่นดันเสีย ตามช่างมาแล้วก็จัดการไม่ได้ สุดท้ายเราก็อาบน้ำเย็นเจี๊ยบ พอเสร็จก็ถึงเวลาล่ำลาพี่อรุณ มุ่งหน้าไปอินทนนท์ ขากลับแวะโครงการหลวงตีนตกอีกครั้งเตรียมอุปกรณ์คลายหนาวทั้งไวน์สตรอว์เบอรี่ เหล้า S-berry เหล้ากลิ่นกาแฟอย่างโอ้เลี้ยง

เส้นทางที่ทาง Google maps แนะนำก็คือวิ่งผ่านเมืองแล้ววิ่งเส้นบายพาสจนมาโผล่แถวอำเภอจอมทอง คุณเพื่อนต้องทำธุระที่ธนาคารก่อนก็เลยแวะเข้าตัวเมืองจอมทอง เสร็จธุระ ก็สักการะพระธาตุจอมทองก่อนเดินทางขึ้นอินทนนท์



ออกจากพระธาตุจอมทองก็แวะกินมื้อเที่ยงที่ร้านข้าวซอยกระโหล้ง. ย้ายร้านจากข้างวัดพระธาตุฯ มาเปิดใหญ่โตตรงข้ามโลตัสจอมทอง ราคาเพิ่มขึ้น ปริมาณลดลง รสชาติก็ไม่อร่อยเหมือนเดิม สองสาวสั่งข้าวซอยไก่ บ่นว่าเหมือนเติมน้ำลงไป ไม่เข้มข้น ไม่มีกลิ่นเครื่องแกง ส่วนเราสั่งขนมจีนน้ำยากะทิ อร่อยเข้มข้นดี


พอมื้อนี้ไม่ประทับใจก็เลยไม่สั่งไก่ย่าง+ข้าวเหนียวอีก เดินย้อนกลับไปขึ้นรถก็เลยแวะซื้อไก่ทอดน้ำปลาของห้าดาวแทน พอได้สะเบียงครบก็ออกเดินทางขึ้นดอยกันทันที ตลอดทางรถก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ แวะซื้อแคนตาลูปหวานฉ่ำมาก แม่ค้าใจดีแถมเคพกูสเบอรี่มาให้อีกถุง แถมบอกว่าเอาไปชิมให้รู้ว่าเป็นอย่างไร ไม่ต้องเกรงใจหาง่ายมาก แล้วเราก็ขึ้นไปจนถึงด่านสุดท้ายเจ้าหน้าที่บอกว่าด้านบนไม่อนุญาตให้กางเต็นท์แล้วให้กลับรถแล้วไปหาลานกางเต็นท์ด้านล่างแทน พวกเราก็ย้อนกลับมาที่สวนพลับลุงวิชัย ค่ากางเต็นท์คนละ 80 บาท ห้องน้ำพร้อมเครื่องทำน้ำอุ่นและไฟตลอดคืน พอกางเต็นท์เสร็จก็ออกสำรวจแถวๆนี้สักหน่อย



กลับเต็นท์ก็เริ่มจัดการร่างกายพร้อมทั้งตั้งวงปาร์ตี้หน้าเตากัน อากาศหนาวเรื่อยๆ น้ำค้างแรงขึ้นเรื่อยๆ คุณลุงวิชัยแกมาทำพิธีไหว้เจ้าที่และขออนุญาตให้คนอื่นเข้ามาพักในที่ของลุง ดีนะที่เราพอรู้ว่าชาวเขามีพิธีนี้ก็เลยบอกสองสาวไม่ต้องตกใจ เราก็นั่งของกินที่ซื้อมาก็กินไม่หมด ลุงแกก็เดินย้อนมาชวนคุย เล่าเรื่องในหลวงเสด็จขึ้นมาช่วยชาวเขาจนมีอาชีพเลี้ยงตัวได้ ชาวเขาที่นี่รักในหลวงมาก เล่าหลายเรื่องให้ฟังด้วยหน้าตาเปี่ยมสุข พวกเราก็อยากอยู่ดึกกว่านั้น แต่หนาวจนไม่ไหวแล้วมุดเข้าเต็นท์หลบหนาวกัน


วันที่ 12 ธันวาคม 2558 เราตื่นตี 4 กว่าๆ มาเข้าห้องน้ำกลับมานอนรอสาวๆตื่น ทำใจรอไว้บ้างแล้วว่าสองสาวจะไม่ไหว แอบได้ยินเสียงคุยประมาณหนาวไม่ไหว เราก็เตรียมนอนต่อ พอตี 5 นิดๆ ก็เรียกให้เราเตรียมตัวขึ้นไปกิ่วแม่ปาน รถเยอะพอควรแต่พอไปถึงกิ่วแม่ปานจริงๆ คนเยอะมากๆ รอคิวกันเต็มไปหมด พวกเราถือคติว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องก็เลยจัดข้าวต้มเห็ดหอมคนละถ้วย ช่วยเรื่องอุ่นได้ดี อย่างอื่นไม่อยากพูดถึง



จากนั้นก็ไปลงทะเบียนเดินกิ่วแม่ปาน พวกเรา 3 คนเลือกเดินกันเองไม่จอยกับใครเพราะพวกเราชอบไม่เหมือนคนอื่น เราได้ไกด์ชื่อสมศักดิ์ พวกเราอยากรู้ชีวิตชาวเขาที่นี่มากกว่าสิ่งที่น้องอธิบายตลอดเส้นทาง

เริ่มเดินจุดแรกยังเดินผ่านป่าอยู่ จนมาถึงน้ำตกลานเสด็จยังมืดอยู่เลย ภาพที่ออกมาจากกล้องมือถือกากๆ ก็มืดตาม


เดินผ่านแนวป่ามาเรื่อยๆ พอหลุดมาเท่านั้นแหละ ถึงเวลาสนุกแล้ว


เดินตามเส้นทางสันเขาลงมาจนถึงระเบียงไม้จุดชมวิวและถ่ายภาพ แต่พอพวกเราได้ยินเสรยงตะโกนลั่นสั่งให้ถ่ายรูปกันทั้งเดี่ยว คู่ หมู่ ท่าปกติ ท่ายิ้ม ท่ากระโดด ท่าหลุดโลก ตะโกนให้เอากล้องทุกตัว มือถือทุกเครื่องเอามาถ่ายให้ครบ พวกเราก็ตกลงกันว่าแค่เก็บเท่าที่ไหวก่อนรีบไปต่อ รูปออกมาไม่แน่มากนัก

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  เที่ยวภูเขา บันทึกนักเดินทาง เที่ยวไทย เที่ยววัด
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่