[WAPINU's Diary] TAIWAN - ไต้หวัน 8 วัน 4 เมือง กับแก๊งค์ชิวบนเกาะมหัศจรรย์ - DAY 2 วันตะลุยกินไปกับเจ้าหมู 3 ตัว


Wa: สวัสดีครับ กลับมาต่อกับพวกเรา WAPINU กระทู้นี้เป็นวันที่ 2 ของการเดินทางนะครับ ต่อจากกระทู้แรก

[WAPINU's Diary] TAIWAN - ไต้หวัน 8 วัน 4 เมือง กับแก๊งค์ชิวบนเกาะมหัศจรรย์ - DAY 1 ออกเดินทาง!

→ คลิกในนี้เลยครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ขอเชิญรับชมกันต่อเลยครับ

Day 2 - Taipei (DinTaiFeng Taipei 101 - 4Mano Cafe - National Palace Museum - RaoHe Night Market)

Wa: วันแรกเหนื่อยมาก แต่ละคนเลยหลับยาว ตื่นสายพอสมควรเลยละครับ

Nu: กว่าจะปลุกพวกนี้ได้มันช่างยากเย็น - -” ไอเราก็นอนหิวอยู่บนเตียงเนี่ย

Wa: มาเที่ยวชิวๆ นอนตื่นสายบ้างครับ แต่หิวจริง ตามตารางที่เตรียมมาวันนี้เป็นทัวร์กินอย่างจริงจังครับ อย่างแรกที่พลาดไม่ได้เลยคือร้านติ่นไท่ฟง ที่ตึก ไทเป 101 (Taipei 101) แค่คิดถึงก็น้ำลายไหลแล้วเนี่ย 555

Nu: ก่อนเราจะไปตึก Taipei 101 พวกเราแวะกินรองท้องนิดนึงค่ะ ในย่านช้อปปิ้งของ Ximen มีร้านหมี่ชื่อดังอยู่ (Ay-Chung Flour-Rice Noodle - 阿宗麵線) พวกเราก็ไม่พลาดที่จะจัดสิคะ หมี่หน้าตาเหมือนเส้นหมี่ราดหน้า แต่รสชาติขอบอกว่าไม่เหมือนแต่อร่อยมาก เหมาะกับอากาศเย็นๆ กินแล้วสบายท้องค่ะ


Wa: นี่ขนาดมาวันธรรมดาตอนเช้าคนยังเยอะเลยครับ ถ้ามาวันเสาร์อาทิตย์ต้องต่อแถวยาวแน่ๆ

Wa: พอกินเสร็จพวกเราก็ออกเดินทางจาก Ximen ไปลงที่สถานี (Taipei city hall - 市政府) (Blue Line)

^Nu: MRT ที่ไต้หวันค่ะ ออกเดินทางไป Taipei 101


^Nu: ถนนสะอาดมาก ชอบๆ ^^

Wa: เดินผ่านย่านช้อปปิ้งไม่นานก็ถึง Taipei 101 ซึ่งเป้าหมายร้านติ่นไท่ฟง (Din Tai Fung - 鼎泰豐) นั้นหาไม่ยากเลยเพราะคนรอเต็มหน้าร้าน 5555
**ร้านตั้งอยู่ชั้น B1**



^Wa: เจ๊ Nu เซ็นเชอร์ซะน่ารักเลย ออกตัวก่อนว่าผมเป็นคนถ่าย ไม่ได้อยู่ในรูปนะครับ 555 มีเพื่อนที่ไต้หวันมาช่วยกันกิน

Nu: พวกเราไปถึงราวๆ 11 โมงนิดหน่อยเนอะ หน้าร้านจะมีบอกเวลาคร่าวๆด้วยค่ะว่าเราต้องรอคิวกี่นาที ซึ่งพวกเรารอประมาณ 25 นาทีได้ (ไปเช้าก็ดีค่ะจะได้ไม่ต้องรอนาน ร้านเปิด 11โมงทุกวัน) ระหว่างรอคิวพนักงานก็ได้ให้ใบสั่งเมนูอาหารมาค่ะ และขอบอกว่าไม่ต้องกังวลเรื่องอ่านภาษาจีนไม่ออกนะคะ เพราะเขามีเมนูภาษาไทยให้ด้วย

Wa: พูดได้เลยว่าของเขาอร่อยมากสมคำร่ำลือจริงๆ นอกจากรสชาติแล้ว ที่ประทับใจไม่แพ้กันคือการบริการของทางร้านครับ พนักงานเป็นมิตรและคอยดูแลอย่างดีตลอด มีครั้งนึงน้ำชาหมด ยังไม่ทันจะหันไปเรียก พนักงานก็เดินมาเตรียมจะรินชาให้ใหม่แล้ว ทึ่งกับ service mind จริงๆครับ สมกับที่เป็นร้านดังทั่วโลก

Nu: มากันไม่กี่คนแต่สั่งไปเยอะมากค่ะ โดยรวมแล้วมี
เมนูที่ห้ามพลาดเสี่ยวหลงเปา 3ที่ ที่ละ 10ชิ้น ซึ่งพวกเราได้ลงคะแนนให้เสี่ยวหลงเปาไส้เนื้อปู+หมูสับเป็นผู้ชนะเลิศอย่างเอกฉันท์ค่ะ
- เกี๊ยวกุ้ง+หมูซอสเผ็ดก็อร่อยไม่แพ้กันเลย น้ำซอสนี่เด็ดจริงๆค่ะ เอามาราดอย่างอื่นกินก็อร่อย
- หมูย่างมากินเล่น 1 จาน นี่เนื้อนุ่มอร่อยมากค่ะ
- นอกจากนี้ยังมีผักอีก 1 จานมาตัดกับเกี๊ยวได้ดีค่ะ
ราคารวมออกมาแล้วคิดว่าสมมาตรฐานและรสชาติค่ะ จำค่าเสียหายไม่ค่อยได้ แต่จำได้ว่าไม่แพงมาก คุ้มค่า และที่แน่ๆคือกินอิ่มมากค่ะ 555


Wa: ดูบรรยายเข้า เรื่องของกินนี่เต็มที่จริงๆนะ Nu
หลังจากนั้น พอเราออกมาจากร้านเราก็ตัดสินใจที่จะไปหาของกินต่อ (ได้ข่าวว่าเพิ่งกินเสร็จ) พวกเราตัดสินใจไปกินที่ร้าน 4Mano Cafe ซึ่งเป็นร้านขนมเล็กๆอยู่ใกล้สถานนี (Zhong Xiao Xin Sheng - 忠孝新生) (Blue & Yellow Line) (Exit 2) ร้านนี้บรรยากาศชิวมาก และที่ห้ามพลาดเลยคือวาฟเฟิลบลูเบอรี่ใส้โมจิ แต่ขอมอบหน้าที่การบรรยายความอร่อยให้ Nu ละกันนะเพราะขานี้นักกินอยู่แล้ว 55555



Nu: จะหาว่าชั้นกินเก่งสินะ เอาเป็นว่าวาฟเฟิลที่กินที่บ้านเราเนี่ยจะเน้นไปทางเนื้อนุ่มๆฟูๆ แต่ของร้านนี้ คำแรกที่กัดไปจะมีเสียงกรุบ ยิ่งเคี้ยวมันเราก็จะเจอขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ด้านในของความกรอบนั้น (เวอร์ไปหน่อย แหะๆ ^^) ขุมทรัพย์นั้นก็คือโมจินั่นเองซึ่งเข้ากับบลูเบอรี่ซอสอย่างดีเยี่ยม คือร้านนี้ทำรสชาติได้ลงตัวกันมาก ชอบมากๆค่ะ กินลืมอ้วนกันไปเลยทีเดียว

Wa: นั่นไงการบรรยายจัดเต็มอีกแล้ว หิวเลยทีเดียว สรุปแล้วร้านนี้ชอบนะครับ แต่เสียอยู่นิดนึงตรงที่ต้องสั่งเครื่องดื่มอย่างน้อย 1 แก้วทุกคนนี้สิ ตอนแรกนึกว่าจะเข้าไปสั่งมาแบ่งกันนิดๆหน่อยเพื่อประหยัดงบอันน้อยนิดได้ซะอีก หยวนๆให้เพราะความอร่อยของวาฟเฟิลนี่แหละ

Nu: ประเด็นคือคืออิ่มอยู่แล้วแต่พวกเราก็ยังสามารถกินเข้าไปได้อีกนี่สิ
และหลังจากนั้นพวกเราก็นั่งชิวกันสักพักเพราะไม่รู้จะไปไหนดี ซึ่ง Pi ของเราก็ได้เสนอที่จะไปพิพิธภัณฑ์กู้กง (National Palace Musuem - 國立故宮博物院 หรือเรียกสั้นๆว่า Gu Gong - 故宮) พวกเราเลยไมคิดมากและออกเดินทางกันเลยค่ะ


Wa: วิธีเดินทางก็ถือว่าสะดวกพอสมควรเลยครับ เราสามารถนั่ง MRT ไปลงสถานี (Shi Lin Station - 士林) (Red Line) เมื่อเดินออกจากสถานีจะมีลานกว้างที่มีร้านขายของอยู่ 2 ฝั่ง พอเราเดินตรงถึงถนนใหญ่จะมีป้ายรถเมล์อยู่ทางด้านขวาครับ ที่ป้ายจะมีเขียนอยู่ว่ารถเมล์สายไหนไปถึงบ้าง ซึ่งก็มีหลายสายเลยครับที่ไปถึงพิพิธภัณฑ์ (จำราคาบัสเพราะใช้ easy card) ตั๋วค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ราคา 250NTDครับ ขอแนะนำว่าให้เช่าเครื่องบรรยายเพิ่มน่าจะทำให้น่าสนใจมากขึ้น เพราะพวกผมไม่ได้เช่าจึงได้แค่เดินๆดูของโบราณต่างๆอย่างมึนๆ ถ้าเป็นคนที่สนใจในประวิติศาสตร์และวัตถุโบราณที่นี่ถือว่าไม่เลวครับ และในส่วนของพิพิธภัณฑ์นั้นได้ห้ามนำกล้องถ่ายรูปเข้าไปเลยอดเอาภาพมาฝากครับ

Nu: แค่เอามือถือขึ้นมาก็โดนห้ามแล้วค่ะ เอาเป็นว่ามาดูกันเองดีกว่าเนอะ ^^ หลังจากเดินเล่นในพิพิธภัณฑ์พวกเราก็เดินออกมาด้านนอกเพื่อที่จะขึ้นรถเมล์กลับไปสถานนี MRT พออกมาก็ฝนตก บวกกับลมและความเย็นของอากาศทำให้พวกเราหนาวมาก แต่พวกเราก็ยังสู้ต่อไป สถานที่ที่เราจะไปนั้นก็คือ ตลาดเหราเหอค่ะ (Raohe Night market - 饒河街觀光夜市) พวกเราได้นำร่างที่เหนื่อยๆของพวกเรามาถึงสถานนี Song Shan station Exit 5 (Green Line) ตอนประมานทุ่มนึงได้

^Nu: ณ จุดนี้พวกเราไม่สนว่าฝนตกหนักแค่ไหนแล้วค่ะ ในสมองคิดแค่ว่าได้เวลากินอีกแล้ว!

Wa: นั่นสิ ขนาดเขียนยังเหนื่อยเลย เพิ่งรู้ว่าตารางแน่นจริงวันนี้ 555 แต่เพื่อของกินพวกเราไม่เคยท้อใช่มะ
ที่ตลาดคนเยอะมากครับ และการที่เป็บถนนสายเดียวทำให้การจราจรติดขัดพอสมควร แต่เพื่อของกินไม่มีอะไรหยุดพวกเราได้อยู่แล้ว กินกันตั้งแต่ต้นตลาดถึงปลายตลาดทั้งขาไปและขากลับ ไม่ว่าจะเป็น วุ้นน้ำมะนาว/ไอ้อวี้ 愛玉, เต้าหู้เหม็น/โช่วโต้วฟู่ 臭豆腐 - สำหรับคนที่ทนกลิ่นไม่ได้แต่อยากลองขอแนะนำให้ลองแบบทอดครับ แบบต้มนี่โหดเกินจริงๆ), เนื้อปิ้งเสียบไม้, ปลาหมึกทอด, แพนเค้กต้นหอม 蔥油餅, ซาลาเปาอบหม้อดิน ฯลฯ บอกได้เลยว่าไม่ผิดหวังสักอย่าง







^Nu: นี่คือ ไอ้อวี้ 愛玉 นะคะ


^Wa: อันนี้เรียกว่า ต้าฉางเปาเสี่ยวฉาง 大肠包小肠 ครับ



Nu: ตอนที่กินก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองกินไปเท่าไหร่ และไม่คิดที่จะจำราคากลับกันมาด้วย คือเห็นร้านไหนน่า กินรู้ตัวอีกทีก็ซื้อมาอยู่ที่มือแล้ว (55555) พอได้พิพม์เมนูต่างๆ ออกมาถึงรู้ว่าตัวเองกินเยอะ (เกินไป) หลังจากกินมาทั้งวันมันก็ถึงเวลาอันสมควรที่พวกเราควรที่จะหยุดกินและกลับที่พักได้แล้ว ก่อนขึ้นห้องเราก็ได้แวะ Family Mart (Wa: เพิ่งพูดไปว่ากินเยอะ ก่อนขึ้นห้องก็ยังจะหาของกินเพิ่มเนอะ 555) เพื่อที่จะซื้อเบียร์ ที่ร้านมีเบียร์หลากหลายมาก แต่ที่พลาดไม่ได้เลยคือเบียร์มะม่วง คุณฟังไม่ผิดหรอกค่ะ เบียร์นี้พวกเราสามคนลงมติกันแล้วว่าใครมาไต้หวันไม่ควรพลาด!

^Nu: อันที่ 4 จากซ้ายมือเบียร์มะม่วง
Wa: แต่วันนี้ยังไม่หมดแค่นี้หรอกนะครับ เพราะคืนนี้ยังอีกยาวไกลยิ่งนัก

Nu: ถามชั้นมั้ยว่าชั้นไหวป่าว คือดื่มในห้องแล้วยังคิดจะออกไปอีก ตอนนั้นก็ประมาณเที่ยงคืนละ พวกมันยังจะไปอีก ไอเราก็ต้องลากร่างกายไร้วิญญาณของเราตามไปด้วย

Wa: หลังจากที่นั่งพักย่อยอาหารกันสักพัก พวกเราก็รู้สึกว่าจะต้องออกกำลังกายกันหน่อยซะแล้ว ซึ่งสถานที่ที่สามารถออกกำลังกายได้ยามค่ำคืนนั่นก็คือผับ/คลับนั่นเอง อุตส่าห์มาถึงทั้งทีเลยอยากลองดูว่าที่ไทยกับที่ใต้หวันที่ไหนจะสนุกกว่ากัน งานนี้ได้เพื่อนที่อยู่ไต้หวันแนะนำให้ไป Club Myst Taipei อยู่สถานีเดียวกันกับ Taipei 101 เลยครับ (หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ใน Google Map ครับ)

Nu: แต่เราไปกันตอนเที่ยงคืน MRT ก็ปิดไปแล้ว เลยต้องนั้งรถ taxi ไป ถามว่าราคาเป็นยังไง ขอตอบว่าแพงกว่าไทยเยอะค่ะ  ผับที่นี่แตกต่างจากบ้านเรามาก คือไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่อยากให้ทุกคนลองมาดูกันเองค่ะ ผับที่นั้นปิดเช้าเลย ราวๆตี4 ได้ พวกเราได้ใช้ชีวิตงงๆอยู่ในนั้นถึงตี 3 ครึ่ง (Wa: เหรอ เห็นดิ้นกระจายอยู่หน้าเวทีกับ Pi 555) หลังจากนั้นพวกเราก็กลับห้องมานอนสลบตามระเบียบ

**อ่านวันที่ 3 ต่อได้ที่นี่เลยนะครับ**

DAY 3 วันพักผ่อนสบายๆ (ซะที่ไหนละ!)
http://pantip.com/topic/34700682
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่