สวัสดีค่ะ เจ้าของเพจและบล้อก " ความลับนางฟ้า Angelsecrets by Angellooktarn " กลับมาตามคำเรียกร้องนะคะ
หลังจากคราวที่แล้ว เขียนเรื่อง " รองเท้าของฉันหายไปไหน บนไฟล์ท Kathmandu - Abu dhabi "
มีหลายท่านถามมาเกี่ยวกับประวัติของผู้เขียน ที่ทำยังไงได้ไปเป็นแอร์ของประเทศตะวันออกกลางนู่น ทั้งที่ไม่ได้เรียนมาในด้านนี้เลย
วันนี้เลยจะมาเล่าให้ฟังกันค่ะ
เจ้าของกระทู้จบคณะวิทยาศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ Biotechnology of Science
ใช้เวลาเริ่มพยายามที่จะเป็นแอร์โฮสเตส จนได้เป็นแอร์ถึง 4 ปี (ช่างนานจริงๆ) สายการบินแรกคือ Thai airasia
และพยายามอีกถึง 2 ปี จนได้เป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินตะวันออกกลาง บินมา 9 ปีแล้วค่ะ
มีรูปตอนบินไปค้างที่ประเทศต่างๆ มาฝากกันพอหอมปากหอมคอค่ะ
ย้อนไปตอนเรียนมหาลัย ช่วงประมาณปีที่ 3 เริ่มรู้จักอาชีพแอร์โฮสเตส เห็นแอร์เค้าท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง เริงร่าไปหลายๆประเทศ สวยๆ เริ่ดๆ...โอ้โห....มันสุดยอดอาชีพในฝันเลยค่ะ
ตอนนั้นเริ่มมีความคิดอยากเป็นแอร์ และเริ่มอยากมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่รู้จะปรึกษาใคร คนรอบข้างก็เป็นนักวิทยาศาสตร์กันทั้งนั้น ไม่เห็นมีคนรู้จักที่เป็นแอร์เลย ส่วนอินเตอร์เน็ต ตอนนั้นก็หาใช้ยากมาก
นั่งคิดอยู่ทุกวัน...ชั้นชอบความสวยความงาม...ชั้นชอบพบปะผู้คน...ชั้นไม่ชอบคุยกับสาหร่าย หัวเชื้อ จุลินทรีย์ ในห้องแลปนี่นา...แล้วชั้นจะทำยังไงดี เรียนมาด้านนี้แล้ว
สรุป เพิ่งมารู้ว่าไม่ชอบสิ่งที่เรียนมาตั้งหลายปี นั่นคือ " วิทยาศาสตร์ " วิจัยเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต พันธุกรรม DNA จุลินทรีย์ ซะงั้น!!!! เฮ้อ....ช้าไปไม้คุณ....
ส่วนภาษาอังกฤษ ที่ชอบมาก ก็ไม่ได้มีการสานต่อ ไม่มั่นใจในการพูด อ่าน เขียน ไม่ได้เรียนเอกภาษาอังกฤษ เฮ้อ....ว่าแล้วก็ถอนหายใจอีก เฮือกใหญ่ๆ พร้อมกับบอกตัวเองแบบเครียดๆว่า....ก้มหน้าก้มตาเพาะเชื้อต่อไปเถอะนะ....มันเลือกผิดมาตั้งแต่สมัยประถมแล้ว จะมาเปลี่ยนอะไรตอนนี้...คิดแล้วเศร้า
แถมเพื่อนที่มหาลัย ยังบอกให้ล้มเลิกความตั้งใจซะ ด้วยคำพูดที่เจ็บแปร๊บๆไปถึงขั้วหัวใจว่า " แกจะไปเป็นแอร์ได้ไง ในเมื่อแกเรียนวิทยาศาสตร์ ก็ต้องทำงานในห้องแลปวิจัย หรือในโรงงานซิ จะเป็นแอร์มันยากมากนะ มันต้องเตรียมตัวมาตั้งนานแล้ว เลิกฝันอยากไปช้อปปิ้งทั่วโลก แต่งตัวเริ่ดๆเถอะจ้ะ อยู่กับพวกชั้นนี่แหล่ะ แกคิดช้าไปเป่าอ่ะ "
เอ่อ...เป็นไงล่ะ ฝันสลายตั้งแต่ยังไม่เริ่ม หรือท่าจะจริง เรามารู้ตัวช้าเกินไป...เลิกฝันก็ได้...กลับสู่โลกความเป็นจริงเถอะเรา
พอเรียนจบ ตามที่มันควรจะเป็น ก็ได้ทำงาน ตามแบบที่เรียนมา โรงงานบริษัทญี่ปุ่น ในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง
แต่ทำไมน้า เราไม่มีความสุขกับการทำงานเลย วันๆก็อยู่แต่ในโรงงาน และ ฝ่ายการผลิต ต้องใส่ชุดกันเชื้อโรค ปิดหน้าปิดตาตลอด คิดแล้วก็เศร้า แล้วเราจะได้อวดใบหน้า (ที่ตัวเองคิดว่าพอจะสวย) กับใครเนี่ย เศร้าๆๆๆๆ
ทุกๆวัน ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ได้ยินและเห็นเครื่องบิน บินผ่านบนหัวเราตลอด แล้วทุกครั้งก็เฝ้าคิดว่า
"เมื่อไหร่น้า เราจะได้เป็นแอร์กับเค้าบ้าง ยืนมองจนเครื่องบินลับตา เหมือนสุนัขแหงนมองเครื่องบิน ยังไงยังงั้น" มันช่างเป็นเรื่องที่ไกลตัวเราจริงๆ
จนมาวันหนึ่ง บังเอิญเห็นประกาศรับพนักงานต้อนรับ ของสายการบินแห่งหนึ่ง เมื่อได้ลองอ่านคุณสมบัติที่เค้าต้องการดู ความตื่นเต้นก็พุ่งขึ้นมาทันที อ้าว....เราก็สมัครได้นี่ คุณสมบัติตรงทุกข้อเลย!!!
( จริงๆแล้ว อาชีพแอร์เค้าไม่ได้ระบุว่าต้องเรียนจบอะไรมา แค่จบมัธยมปลายก็พอ ส่วนคุณสมบัติที่เหลือ ก็มโนเอาเองว่าเราก็มีคุณสมบัติ เช่นภาษา ส่วนสูง การว่ายนำ้)
นับจากวันนั้น ก็เริ่มหาข้อมูล เกี่ยวกับอาชีพแอร์ และเตรียมตัวให้พร้อม แต่ปัญหาหลัก ที่ใหญ่หลวงของเราก็คือ "ภาษาอังกฤษ"
แน่นอน เราไม่ได้เรียนเมืองนอก ไม่ได้จบเอกอังกฤษ ไม่เคยกล้าพูดกับฝรั่งเลย ได้ใช้ภาษาอังกฤษบ้างเล็กน้อยที่โรงงาน ในการสื่อสารกับคนญี่ปุ่น แล้วจะไปเป็นแอร์ได้ยังไง? ความมืดตึ้บ เข้ามาอีกระลอก...
นั่งคิดหาทางออก ในที่สุดก็ตัดสินใจ กัดฟัน เพื่อเปลี่ยนตัวเอง สมัครงานใหม่ ที่เราได้ใช้ภาษาอังกฤษ นั่นก็คือ Tourist Information
จนในที่สุด ก้ได้งานใหม่ ที่ห้างสรรพสินค้าที่มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก แห่งหนึ่งในกรุงเทพ
วันแรกที่เริ่มงานใหม่ มาเลยค่ะ รับบทหนัก นักท่องเที่ยวโดนล้วงกระเป๋า 5 ราย!!! โอ้โห... มาถึงก็ต้องเป็นล่ามเรื่องหนักๆแบบนี้เลยเหรอคะ เอ่อ...ขอเป็นลมแป๊บ...
ระหว่างที่ช่วยประสานงานระหว่างนักท่องเที่ยว กับตำรวจ รู้สึกมึนหัวตึ๊บ บวกกับความหงุดหงิดใจ เพราะอะไรรู้ไม้คะ ก็สำเนียงอังกฤษติดไทยจ๋าของเราซิคะ พูดๆไปตั้งเยอะ แต่ทำไมฝรั่งเค้าทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจเรา ฝรั่งทำหน้างงๆ แถมถามซำ้คำถามเดิม แย่แล้ว แล้วชั้นจะสื่อสารกับเค้ายังไง หน้าที่เราจะต้องเจอกับชาวต่างชาติ ทุกวันด้วยซิ กลุ้มหนักเข้าไปอีก...เอาซิ มาขนาดนี้แล้ว ถึงกับยอมสละงาน ในสายอาชีพที่เรียนมา เพื่อจะมาฝึกภาษาและไปเป็นแอร์ดั่งใจฝันไม่ใช่หรือ สู้สู้....สู้ต่อไป เราต้องทำได้
หลังจากวันนั้นมาเริ่มรู้เลยว่า ภาษาอังกฤษในเมืองแห่งการท่องเที่ยว อย่างกรุงเทพ สำคัญมากค่ะ
แล้วเราจะทำยังไงให้พัฒนาตัวเอง ให้เก่งภาษามากขึ้น นั่นซิที่ต้องพยายามสุดขีด
วินาทีแห่งการปฏิวัติตัวเอง ได้กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วค่า
เริ่มด้วยเปิดวิทยุ ช่องภาษาอังกฤษ ฟังเพลง ฟังข่าว ฟังแล้วพูดตาม ฟังแล้วฟังอีก อยู่ในห้องคนเดียว
( ขอแนะนำว่าถ้าอยากฝึกบ้าง ควรจะฟังและพูดตามอยู่ที่ห้องจะดีกว่านะคะ เดี๋ยวคนรอบข้างเค้าจะหัวเราะเอา)
รวมทั้งดูหนังที่ไม่มี subtitle ไทย พยายามฟังเสียงพูด เสียงสนทนา ของฝรั่ง ที่แสนเร็วนั้น แรกๆก็ท้อมากเหมือนกันค่ะ เพราะว่าฟังประโยคแรกๆ ยังไม่เข้าใจเลย แล้วประโยคต่อไปก็ไม่เข้าใจอีก สรุปไม่เข้าใจทั้งเรื่อง!!! ดีนะที่มีรูปภาพประกอบ ช่วยได้เยอะเลยค่ะ
ทักษะการฟังพูด ผ่านไป ต่อมา ทักษะการอ่านออกเสียง ที่เป็นปัญหาใหญ่ของเจ้าของกระทู้ในตอนนั้นเอง
ทำยังไงให้พูดออกมาแล้ว ฝรั่งเค้าเข้าใจ ก็เอาหนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทย ที่ไว้แจกนักท่องเที่นวต่างชาติ กลับมานั่งอ่าน ซำ้ไปซำ้มา อ่านและฟังไปด้วย ว่าเสียงและสำเนียง ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษาหรือยัง ก็เลยจับหลักได้ว่า เราต้องเน้นการออกเสียงให้ถูกต้อง ไม่ใช่เน้นไปทุกพยางค์ในคำนั้น หรือบางคำ เน้นเสียงผิด ก็ผิดความหมายไปเลยค่ะ ไม่จำเป็นต้องเร็วมาก แค่ออกเสียงถูกต้อง นานๆไป เราก็จะพูดเร็วขึ้นไปเอง
มาถึงทักษะสุดท้าย การเขียนและหลัก Gramma ที่สำคัญมากและยังต้องใช้ในการสอบโทอิค TOEIC ที่ทุกสายการบินเค้าต้องการ
ช่วงนั้นกระแสของสถาบันติวเพื่อสอบเข้าแอร์โฮสเตส ค่อนข้างมาแรง และมีตัวอย่างนักเรียนที่ประสบความสำเร้จให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ตอนนั้นยังไม่มีที่สอนเยอะและราคาไม่สูงเท่าสมัยนี้
สุดท้ายก็ได้ลงสมัครเรียนคอร์สติวเพื่อสอบแอร์ ที่คิดว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงสถาบันหนึ่งในขณะนั้น เป็นเวลา 20 ชั่วโมง ด้วยความหวังอย่างเต็มปรี่ว่า " อาชีพแอร์ที่เคยฝันมานาน จะต้องเป็นจริงซักที "
พอเริ่มเรียนวันแรก ใส่ชุดโปรด กระโปรงยาวเรียบร้อย รองเท้าหุ้มส้น เหมือนกับไปมหาวิทยาลัย อย่างไงอย่างงั้นเลย
ปรากฏว่า พอมาถึงห้องเรียน โอ้โห!!! ทำไมมีแต่คนสวยๆ หล่อๆ แต่งตัวเปรี้ยว สวยมาดมั่นกันสุดฤทธิ์
เพื่อมาประชันกันว่า "ชั้นนี่แหล่ะ ที่จะได้เป็นแอร์คนต่อไป"
เราเองก็แอบคิดเหมือนกันค่ะ ทำไมเค้าสวยเด้ง มาดมั่นกันจัง ต่างจากเราที่ เงียบๆ ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก แล้วเราจะทำยังไงดีเนี่ย ปัญหาเรื่องความไม่มั่นใจในตัวเอง มันเพิ่มเข้ามาอีกปัญหาหนึ่งแล้ว????
เราต้องพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้ เราต้องทำได้ เราต้องทำได้ ๆๆๆ ท่องอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
ในที่สุดก็ถึงฤดูกาลแข่งขันที่เราต้องเป็นผู้เข้าแข่งขันเอง สายการบินที่เปิดรับในตอนนั้น คือสายการบินของประเทศญี่ปุ่น ที่เค้าร่ำลือกันว่า ที่นี่เค้าชอบคนไทย เอาล่ะ สนามแรก ไม่น่าจะยากสำหรับเรา ไปลองกันซักตั้ง
วันนั้นไปตั้งแต่ 8 โมงเช้า ยืนรอต่อคิว แค่ยื่นใบสมัคร Resume เอกสาร และรูปถ่าย
เวลาผ่านไป 6 ชั่วโมง หลังจากที่ต่อคิว ยืน และนั่ง ยืน และนั่ง หลายรอบ บ่าย 2 โมงตรง ก็ถึงคิวเรา
ตื่นเต้นๆ ยิ้มแก้มปริ ยิ้มแบบที่คิดว่ายิ้มสวยที่สุดแล้วเท่าที่เคยยิ้มมา พร้อมกับยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่ มือสั่นๆ ด้วยความตื่นเต้นบวกกับความหิว
แล้วก็ รอรอรอ
ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่ก็ยื่นเอกสารกลับมา แล้วบอกว่า "รูปน้องไม่ได้ขนาดที่กำหนดไว้ กลับไปก่อนนะคะ "
อ้าววววว...ใจตกไปที่ตาตุ่ม แทบทรุด ทำไมไม่ได้ล่ะคะ? ก็หนูเรียนมาแบบนี้ อาการลมใส่มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ตั้งสติ แล้วเดินไปแบบ งงๆ
แล้วที่เรายืนขาแข็งมาครึ่งค่อนวัน ล่ะ เพื่ออะไรกัน??? แค่เอกสารที่ใช้สมัครก็ยังไม่ได้ยื่นเลย!!!!!
เศร้ามาก ร้องไห้ขี้มูกโป่ง เสียความมั่นใจ บวกกับท้อ สารพัดอย่าง ตัดพ้อต่อว่าตัวเอง ทำไมวิมานบนอากาศของเรามันพังตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยล่ะ ฮือฮือฮือ....
ผ่านไปการสมัครแอร์ครั้งแรกในชีวิต ประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงจริงๆ และจำติดตามาจนถึงทุกวันนี้
เล่ามาซะยาวมากๆ กลัวคุณผู้อ่านจะขี้เกียจอ่านต่อ อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ ขออนุญาติมาต่อภาค 2 ในเร็วๆนี้คะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ หากมีความผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
สำหรับกระทู้ " รองเท้าฉันหายไปไหนบนไฟล์ท Kathmandu - Abu dhabi " ลองเข้าไปอ่านได้นะคะ
http://pantip.com/topic/34363741
จากนักวิทยาศาสตร์ ศึกษาพันธุกรรม DNA จุลินทรีย์ พลิกชีวิตตามล่าฝันท่องโลก ติดปีกไปเป็นแอร์เมืองทะเลทราย ได้ยังไงเนี่ย???
หลังจากคราวที่แล้ว เขียนเรื่อง " รองเท้าของฉันหายไปไหน บนไฟล์ท Kathmandu - Abu dhabi "
มีหลายท่านถามมาเกี่ยวกับประวัติของผู้เขียน ที่ทำยังไงได้ไปเป็นแอร์ของประเทศตะวันออกกลางนู่น ทั้งที่ไม่ได้เรียนมาในด้านนี้เลย
วันนี้เลยจะมาเล่าให้ฟังกันค่ะ
เจ้าของกระทู้จบคณะวิทยาศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ Biotechnology of Science
ใช้เวลาเริ่มพยายามที่จะเป็นแอร์โฮสเตส จนได้เป็นแอร์ถึง 4 ปี (ช่างนานจริงๆ) สายการบินแรกคือ Thai airasia
และพยายามอีกถึง 2 ปี จนได้เป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินตะวันออกกลาง บินมา 9 ปีแล้วค่ะ
มีรูปตอนบินไปค้างที่ประเทศต่างๆ มาฝากกันพอหอมปากหอมคอค่ะ
ย้อนไปตอนเรียนมหาลัย ช่วงประมาณปีที่ 3 เริ่มรู้จักอาชีพแอร์โฮสเตส เห็นแอร์เค้าท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง เริงร่าไปหลายๆประเทศ สวยๆ เริ่ดๆ...โอ้โห....มันสุดยอดอาชีพในฝันเลยค่ะ
ตอนนั้นเริ่มมีความคิดอยากเป็นแอร์ และเริ่มอยากมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่รู้จะปรึกษาใคร คนรอบข้างก็เป็นนักวิทยาศาสตร์กันทั้งนั้น ไม่เห็นมีคนรู้จักที่เป็นแอร์เลย ส่วนอินเตอร์เน็ต ตอนนั้นก็หาใช้ยากมาก
นั่งคิดอยู่ทุกวัน...ชั้นชอบความสวยความงาม...ชั้นชอบพบปะผู้คน...ชั้นไม่ชอบคุยกับสาหร่าย หัวเชื้อ จุลินทรีย์ ในห้องแลปนี่นา...แล้วชั้นจะทำยังไงดี เรียนมาด้านนี้แล้ว
สรุป เพิ่งมารู้ว่าไม่ชอบสิ่งที่เรียนมาตั้งหลายปี นั่นคือ " วิทยาศาสตร์ " วิจัยเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต พันธุกรรม DNA จุลินทรีย์ ซะงั้น!!!! เฮ้อ....ช้าไปไม้คุณ....
ส่วนภาษาอังกฤษ ที่ชอบมาก ก็ไม่ได้มีการสานต่อ ไม่มั่นใจในการพูด อ่าน เขียน ไม่ได้เรียนเอกภาษาอังกฤษ เฮ้อ....ว่าแล้วก็ถอนหายใจอีก เฮือกใหญ่ๆ พร้อมกับบอกตัวเองแบบเครียดๆว่า....ก้มหน้าก้มตาเพาะเชื้อต่อไปเถอะนะ....มันเลือกผิดมาตั้งแต่สมัยประถมแล้ว จะมาเปลี่ยนอะไรตอนนี้...คิดแล้วเศร้า
แถมเพื่อนที่มหาลัย ยังบอกให้ล้มเลิกความตั้งใจซะ ด้วยคำพูดที่เจ็บแปร๊บๆไปถึงขั้วหัวใจว่า " แกจะไปเป็นแอร์ได้ไง ในเมื่อแกเรียนวิทยาศาสตร์ ก็ต้องทำงานในห้องแลปวิจัย หรือในโรงงานซิ จะเป็นแอร์มันยากมากนะ มันต้องเตรียมตัวมาตั้งนานแล้ว เลิกฝันอยากไปช้อปปิ้งทั่วโลก แต่งตัวเริ่ดๆเถอะจ้ะ อยู่กับพวกชั้นนี่แหล่ะ แกคิดช้าไปเป่าอ่ะ "
เอ่อ...เป็นไงล่ะ ฝันสลายตั้งแต่ยังไม่เริ่ม หรือท่าจะจริง เรามารู้ตัวช้าเกินไป...เลิกฝันก็ได้...กลับสู่โลกความเป็นจริงเถอะเรา
พอเรียนจบ ตามที่มันควรจะเป็น ก็ได้ทำงาน ตามแบบที่เรียนมา โรงงานบริษัทญี่ปุ่น ในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง
แต่ทำไมน้า เราไม่มีความสุขกับการทำงานเลย วันๆก็อยู่แต่ในโรงงาน และ ฝ่ายการผลิต ต้องใส่ชุดกันเชื้อโรค ปิดหน้าปิดตาตลอด คิดแล้วก็เศร้า แล้วเราจะได้อวดใบหน้า (ที่ตัวเองคิดว่าพอจะสวย) กับใครเนี่ย เศร้าๆๆๆๆ
ทุกๆวัน ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ได้ยินและเห็นเครื่องบิน บินผ่านบนหัวเราตลอด แล้วทุกครั้งก็เฝ้าคิดว่า
"เมื่อไหร่น้า เราจะได้เป็นแอร์กับเค้าบ้าง ยืนมองจนเครื่องบินลับตา เหมือนสุนัขแหงนมองเครื่องบิน ยังไงยังงั้น" มันช่างเป็นเรื่องที่ไกลตัวเราจริงๆ
จนมาวันหนึ่ง บังเอิญเห็นประกาศรับพนักงานต้อนรับ ของสายการบินแห่งหนึ่ง เมื่อได้ลองอ่านคุณสมบัติที่เค้าต้องการดู ความตื่นเต้นก็พุ่งขึ้นมาทันที อ้าว....เราก็สมัครได้นี่ คุณสมบัติตรงทุกข้อเลย!!!
( จริงๆแล้ว อาชีพแอร์เค้าไม่ได้ระบุว่าต้องเรียนจบอะไรมา แค่จบมัธยมปลายก็พอ ส่วนคุณสมบัติที่เหลือ ก็มโนเอาเองว่าเราก็มีคุณสมบัติ เช่นภาษา ส่วนสูง การว่ายนำ้)
นับจากวันนั้น ก็เริ่มหาข้อมูล เกี่ยวกับอาชีพแอร์ และเตรียมตัวให้พร้อม แต่ปัญหาหลัก ที่ใหญ่หลวงของเราก็คือ "ภาษาอังกฤษ"
แน่นอน เราไม่ได้เรียนเมืองนอก ไม่ได้จบเอกอังกฤษ ไม่เคยกล้าพูดกับฝรั่งเลย ได้ใช้ภาษาอังกฤษบ้างเล็กน้อยที่โรงงาน ในการสื่อสารกับคนญี่ปุ่น แล้วจะไปเป็นแอร์ได้ยังไง? ความมืดตึ้บ เข้ามาอีกระลอก...
นั่งคิดหาทางออก ในที่สุดก็ตัดสินใจ กัดฟัน เพื่อเปลี่ยนตัวเอง สมัครงานใหม่ ที่เราได้ใช้ภาษาอังกฤษ นั่นก็คือ Tourist Information
จนในที่สุด ก้ได้งานใหม่ ที่ห้างสรรพสินค้าที่มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก แห่งหนึ่งในกรุงเทพ
วันแรกที่เริ่มงานใหม่ มาเลยค่ะ รับบทหนัก นักท่องเที่ยวโดนล้วงกระเป๋า 5 ราย!!! โอ้โห... มาถึงก็ต้องเป็นล่ามเรื่องหนักๆแบบนี้เลยเหรอคะ เอ่อ...ขอเป็นลมแป๊บ...
ระหว่างที่ช่วยประสานงานระหว่างนักท่องเที่ยว กับตำรวจ รู้สึกมึนหัวตึ๊บ บวกกับความหงุดหงิดใจ เพราะอะไรรู้ไม้คะ ก็สำเนียงอังกฤษติดไทยจ๋าของเราซิคะ พูดๆไปตั้งเยอะ แต่ทำไมฝรั่งเค้าทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจเรา ฝรั่งทำหน้างงๆ แถมถามซำ้คำถามเดิม แย่แล้ว แล้วชั้นจะสื่อสารกับเค้ายังไง หน้าที่เราจะต้องเจอกับชาวต่างชาติ ทุกวันด้วยซิ กลุ้มหนักเข้าไปอีก...เอาซิ มาขนาดนี้แล้ว ถึงกับยอมสละงาน ในสายอาชีพที่เรียนมา เพื่อจะมาฝึกภาษาและไปเป็นแอร์ดั่งใจฝันไม่ใช่หรือ สู้สู้....สู้ต่อไป เราต้องทำได้
หลังจากวันนั้นมาเริ่มรู้เลยว่า ภาษาอังกฤษในเมืองแห่งการท่องเที่ยว อย่างกรุงเทพ สำคัญมากค่ะ
แล้วเราจะทำยังไงให้พัฒนาตัวเอง ให้เก่งภาษามากขึ้น นั่นซิที่ต้องพยายามสุดขีด
วินาทีแห่งการปฏิวัติตัวเอง ได้กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วค่า
เริ่มด้วยเปิดวิทยุ ช่องภาษาอังกฤษ ฟังเพลง ฟังข่าว ฟังแล้วพูดตาม ฟังแล้วฟังอีก อยู่ในห้องคนเดียว
( ขอแนะนำว่าถ้าอยากฝึกบ้าง ควรจะฟังและพูดตามอยู่ที่ห้องจะดีกว่านะคะ เดี๋ยวคนรอบข้างเค้าจะหัวเราะเอา)
รวมทั้งดูหนังที่ไม่มี subtitle ไทย พยายามฟังเสียงพูด เสียงสนทนา ของฝรั่ง ที่แสนเร็วนั้น แรกๆก็ท้อมากเหมือนกันค่ะ เพราะว่าฟังประโยคแรกๆ ยังไม่เข้าใจเลย แล้วประโยคต่อไปก็ไม่เข้าใจอีก สรุปไม่เข้าใจทั้งเรื่อง!!! ดีนะที่มีรูปภาพประกอบ ช่วยได้เยอะเลยค่ะ
ทักษะการฟังพูด ผ่านไป ต่อมา ทักษะการอ่านออกเสียง ที่เป็นปัญหาใหญ่ของเจ้าของกระทู้ในตอนนั้นเอง
ทำยังไงให้พูดออกมาแล้ว ฝรั่งเค้าเข้าใจ ก็เอาหนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทย ที่ไว้แจกนักท่องเที่นวต่างชาติ กลับมานั่งอ่าน ซำ้ไปซำ้มา อ่านและฟังไปด้วย ว่าเสียงและสำเนียง ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษาหรือยัง ก็เลยจับหลักได้ว่า เราต้องเน้นการออกเสียงให้ถูกต้อง ไม่ใช่เน้นไปทุกพยางค์ในคำนั้น หรือบางคำ เน้นเสียงผิด ก็ผิดความหมายไปเลยค่ะ ไม่จำเป็นต้องเร็วมาก แค่ออกเสียงถูกต้อง นานๆไป เราก็จะพูดเร็วขึ้นไปเอง
มาถึงทักษะสุดท้าย การเขียนและหลัก Gramma ที่สำคัญมากและยังต้องใช้ในการสอบโทอิค TOEIC ที่ทุกสายการบินเค้าต้องการ
ช่วงนั้นกระแสของสถาบันติวเพื่อสอบเข้าแอร์โฮสเตส ค่อนข้างมาแรง และมีตัวอย่างนักเรียนที่ประสบความสำเร้จให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ตอนนั้นยังไม่มีที่สอนเยอะและราคาไม่สูงเท่าสมัยนี้
สุดท้ายก็ได้ลงสมัครเรียนคอร์สติวเพื่อสอบแอร์ ที่คิดว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงสถาบันหนึ่งในขณะนั้น เป็นเวลา 20 ชั่วโมง ด้วยความหวังอย่างเต็มปรี่ว่า " อาชีพแอร์ที่เคยฝันมานาน จะต้องเป็นจริงซักที "
พอเริ่มเรียนวันแรก ใส่ชุดโปรด กระโปรงยาวเรียบร้อย รองเท้าหุ้มส้น เหมือนกับไปมหาวิทยาลัย อย่างไงอย่างงั้นเลย
ปรากฏว่า พอมาถึงห้องเรียน โอ้โห!!! ทำไมมีแต่คนสวยๆ หล่อๆ แต่งตัวเปรี้ยว สวยมาดมั่นกันสุดฤทธิ์
เพื่อมาประชันกันว่า "ชั้นนี่แหล่ะ ที่จะได้เป็นแอร์คนต่อไป"
เราเองก็แอบคิดเหมือนกันค่ะ ทำไมเค้าสวยเด้ง มาดมั่นกันจัง ต่างจากเราที่ เงียบๆ ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก แล้วเราจะทำยังไงดีเนี่ย ปัญหาเรื่องความไม่มั่นใจในตัวเอง มันเพิ่มเข้ามาอีกปัญหาหนึ่งแล้ว????
เราต้องพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้ เราต้องทำได้ เราต้องทำได้ ๆๆๆ ท่องอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
ในที่สุดก็ถึงฤดูกาลแข่งขันที่เราต้องเป็นผู้เข้าแข่งขันเอง สายการบินที่เปิดรับในตอนนั้น คือสายการบินของประเทศญี่ปุ่น ที่เค้าร่ำลือกันว่า ที่นี่เค้าชอบคนไทย เอาล่ะ สนามแรก ไม่น่าจะยากสำหรับเรา ไปลองกันซักตั้ง
วันนั้นไปตั้งแต่ 8 โมงเช้า ยืนรอต่อคิว แค่ยื่นใบสมัคร Resume เอกสาร และรูปถ่าย
เวลาผ่านไป 6 ชั่วโมง หลังจากที่ต่อคิว ยืน และนั่ง ยืน และนั่ง หลายรอบ บ่าย 2 โมงตรง ก็ถึงคิวเรา
ตื่นเต้นๆ ยิ้มแก้มปริ ยิ้มแบบที่คิดว่ายิ้มสวยที่สุดแล้วเท่าที่เคยยิ้มมา พร้อมกับยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่ มือสั่นๆ ด้วยความตื่นเต้นบวกกับความหิว
แล้วก็ รอรอรอ
ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่ก็ยื่นเอกสารกลับมา แล้วบอกว่า "รูปน้องไม่ได้ขนาดที่กำหนดไว้ กลับไปก่อนนะคะ "
อ้าววววว...ใจตกไปที่ตาตุ่ม แทบทรุด ทำไมไม่ได้ล่ะคะ? ก็หนูเรียนมาแบบนี้ อาการลมใส่มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ตั้งสติ แล้วเดินไปแบบ งงๆ
แล้วที่เรายืนขาแข็งมาครึ่งค่อนวัน ล่ะ เพื่ออะไรกัน??? แค่เอกสารที่ใช้สมัครก็ยังไม่ได้ยื่นเลย!!!!!
เศร้ามาก ร้องไห้ขี้มูกโป่ง เสียความมั่นใจ บวกกับท้อ สารพัดอย่าง ตัดพ้อต่อว่าตัวเอง ทำไมวิมานบนอากาศของเรามันพังตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยล่ะ ฮือฮือฮือ....
ผ่านไปการสมัครแอร์ครั้งแรกในชีวิต ประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงจริงๆ และจำติดตามาจนถึงทุกวันนี้
เล่ามาซะยาวมากๆ กลัวคุณผู้อ่านจะขี้เกียจอ่านต่อ อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ ขออนุญาติมาต่อภาค 2 ในเร็วๆนี้คะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ หากมีความผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
สำหรับกระทู้ " รองเท้าฉันหายไปไหนบนไฟล์ท Kathmandu - Abu dhabi " ลองเข้าไปอ่านได้นะคะ
http://pantip.com/topic/34363741