เมื่อวันหนึ่ง...ฉันตกหลุมรักฮ่องกง
ก่อนอื่นแนะนำตัวก่อนละกันนะคะ ชื่อนิค่ะ
นี่เป็นกระทู้แรกของเราเลยน๊า
ข้อมูลอาจไม่ค่อยละเอียด
...แต่อารมณ์มาเต็ม!!

เราเพิ่งจะออกนอกประเทศ ก็ครั้งนี่แหละค่ะ
และยังไปคนเดียวอีก ซะงั้น
การไปครั้งนี้ทำให้เรารักฮ่องกงเลยค่ะ
เข้าไปชมภาพเพิ่มเติมอื่นๆได้ที่ เพจเฟสบุ๊ค : My Destination At Hong Kong ค่ะ
แต่ก็ไม่ลืมประเทศไทยน๊า
เข้าไปชมภาพสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในกรุงเทพ ที่เราถ่ายไว้ได้ที่ เฟสบุ๊ค เพจ: Nissara Smile Thailand ฮี่ๆ
เริ่มนอกเรื่องละ เริ่มเลยละกัน
เราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆตาดำๆคนหนึ่ง
ที่หลายคนอาจจะไม่คิดว่าเราจะกล้าไปต่างประเทศครั้งแรกโดยไปคนเดียว
เราก็คิดว่าเราก็ไม่ค่อยกล้าน่ะ แอบกลัวนิดๆ
ก่อนไปคิดไปต่างๆนานาว่าจะต้องเจออะไรบ้าง
ภาษาอังกฤษก็ไม่แข็งแรง งูๆปลาๆ ภาษาจีนนี่ไม่ได้เลยซักตัว
เริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบินด้วยโปรโมชั่นที่ถูกยิ่งนัก
และมันก็เหลือที่นั่งสุดท้ายหากเราจะไปวันที่28พฤศจิกายน
อ๊ากกกกกก!!! ที่นั่งสุดท้าย

เรารีบจองรีบจ่ายตังค์เลย
พอจ่ายเสร็จ ก็กลับมาคิดว่านี่มันบ้าไปแล้วววว
ไปคนเดียวจริงหรอ
อันตรายน่ะ นั่นนู่นนี่

แต่สุดท้ายยย
ก็คิดว่าชีวิตคนเรามันสั้น อยากทำอะไรต้องรีบทำ จังหวะนี้แหละดีสุดละ
คิดอย่างนั้นก็ลุยเลย

ศึกษาข้อมูลเต็มที่ ต้องขึ้นสถานีไหน ลงสถานีไหน
อุณหภูมิตอนที่ไปเท่าไร ที่ๆเราจะไปเปิดปิดกี่โมง
บัตร Airport Expressคืออะไร Octopus คืออะไร ค่าใช้จ่าย แลกเงินที่ไหน นอนที่ไหน
ศึกษามาค่อนข้างเยอะ ประหนึ่งว่าฉันอยู่ที่นั่นแล้ว ง่อวววว
วันเดินทาง....
และแล้วก็ตื่นสาย สิ่งที่เตรียมมาเกือบพังๆๆ

แต่ผมนี่ก็ตาลีตาเหลือก

หอบกระเป๋าวิ่งขึ้นแท็กซี่ไปสนามบินดอนเมืองโลดดดดด
พอไปถึง ก็งงหน่ะสิ

คือต้องไปที่ไหนยังไงไม่รู้ แต่แล้วเราก็ผ่านต.ม ได้อย่างหวุดหวิด
แต่สักพัก ได้ยินเสียงประกาศ
นางสาว.....ให้มาที่gate 4
ง่อวววว นั่นมันชื่อเราเอง เรารีบวิ่งเลย คนก็มองเยอะอยู่ ฮาาา อายเลย
และแล้วก็ได้ขึ้นเครื่องอย่างงดงาม
พอถึงสนามบินฮ่องกง ผมนี่ก็อาศัยเดินตามคนหมู่มาก ประกอบกับป้ายบอกทางค่อนข้างละเอียด สักพักเราก็เจอ เคาน์เตอร์ Airport Express. เรานี่ดีใจสุดๆ ฮี่ๆ
เราซื้อบัตรAirport Express 2เที่ยว และฟรีMTR ไม่จำกัด3วัน
มันคุ้มจริงๆนะเออ
และเราก็ซื้อบัตรOctopus Cardบัตรที่คนฮ่องกงเขาก็พกกัน ใช้ซื้อของที่7-11,Star Ferry, Bus และอื่นๆอีกมากมายที่มีเครื่องรับบัตรนี้
บางอย่างมันได้ส่วนลดจากราคาปกติด้วยนะ
ตอนนั่งAirport Express ไม่ค่อยมีคนเยอะ

ส่วนตัวมากๆ เผลอแปบเดียวถึงโรงแรมแล้วววว
ทุกอย่างดูตื่นตาตื่นใจไปหมด
อารมณ์แบบว่าฟรุ้งฟริ้ง สุดติ่งกระดิ่งแมวมาก
เข้าไปในโรงแรมสักพักก็ออกจากโรงแรม
พร้อมลุยยยย
ระหว่างเดินตามทางก็แอบแชะภาพไปเรื่อยๆ

เรานั่งBus ไปลง Repulse Bay ชายหาดที่พอมีคนอยู่บ้าง แต่ก็สงบ

ว้าวววว สดชื่นจังเลยยย
จากนั้นเราจะไปThe Peakต่อ กะว่าจะไปดูตอนพระอาทิตย์ตกดิน
แต่แล้ววววกว่าจะถึงก็มืดละ
ตอนอยู่ข้างบนดาดฟ้าของ Peak Tower
ลมค่อนข้างแรง ปะทะหน้านี่เย็นเชียว

หากไปกับคนรู้ใจนี่ ได้อารมณ์โรแมนติกสุดๆ
สวีทวิดวิ้วววที่สุดเลย
แต่ลมแรงมาก แนะนำให้ใส่เสื้อผ้าหนาๆจะดีสุด
แต่ยังไง มันก็คุ้มจริงๆน่ะ
จากนั้นก็ลงมาด้านล่างของตึก คนต่อคิวขึ้น Peak Tram เยอะมาก เรามีเวลาจำกัดเลยขอไว้ครั้งหน้าละกัน
เรากลับมาที่ Avenue of Stars

เราคิดในใจว่าคนที่นี่เขามีความสุขจัง อากาศกำลังดี ฟังเพลงยามค่ำคืนริมอ่าววิคตอเรีย
ว้าววว อารมณ์แบบว่าอมยิ้มคนเดียวอีกแล้ววว

จากนั้นเราก็กลับมาห้อง พักร่างกายก่อน
วันที่2
เราเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยววัดบ้าง

เราไปวัดหว่องไท่ซิน
เป็นวัดที่ถ่ายทำหนังจีน เราสังเกตุว่ามีคนไทยไปเยอะอยู่เหมือนกัน แต่คนก็ไม่พลุกพล่านมากนะ
เหมาะแก่การมาไหว้พระ ขอพรเป็นอย่างยิ่ง
สถานีต่อไป....เราลงสถานี Diamond Hill เพื่อไปวัด Chi Lin หรือวัดที่คนไทยเรียกว่า วัดนางชี.

พอเห็นปุ๊บ รู้สึกถึงความสงบ
ลมอ่อนๆโชยมาปะทะหน้า มันสดชื่นสุดๆ

พอหันหลังเท่านั้น เจอ Nan Lian Garden

สวนที่มีการตกแต่งที่สวยงาม แต่เสียดายว่ามาตอนเริ่มมืดแล้ว ไว้คราวหน้าจะมาอีกแน่นอน
วันที่3 วันสุดท้ายของทริปนี้
ยังอยากเที่ยวต่ออยู่เลย อารมณ์ค้าง
เอาน่า ถ้ามีโอกาสเราคงได้กลับมาอีก
เริ่มต้นวันใหม่ เราตื่นเต้นสุดๆ
ตื่น6โมงเช้า ก็ยังมืดอยู่

7โมงเช้าก็ยังไม่ค่อยมีคนเดินเท่าไหร่

เราเลยออกจากโรงแรม8โมงเช้า
อากาศเย็นสบาย เราเลือกไปชมวิวที่ Avenue of Stars อีกครั้ง แต่มันคนละอารมณ์กับตอนกลางคืนเลย อากาศเย็นสบาย แทบจะไม่ค่อยมีคนเดิน แต่แปบน่ะ
วิวที่เห็นตรงหน้านี่มันสวรรค์ชัดๆ อย่างกับภาพวาดเลย

เราแอบอมยิ้มคนเดียว หัวใจผมนี่พองโตเลยครับ ฟินนาเร่มากๆ
จากนั้นเราลองนั่ง Star Ferry ข้ามไปยังฝั่งเกาะฮ่องกง และก็เจอกับสิ่งนี้
นี่มันเอเชียทีคฮ่องกงนี่นา ฮี่ๆ
และก็เดินเก็บภาพบรรยากาศตึกต่างๆ ชวนให้นึกถึงทองหล่อสุขุมวิท แบบว่ามีตึกสูงๆสวยๆเยอะเต็มไปหมด

แล้วเราก็เปลี่ยนบรรยากาศไป Hong Kong Wetland Park บ้าง
ให้อารมณ์ชวนนึกถึงบ้านเลย แม่น้ำลำคลอง ภูเขาต้นไม้
หลังจากนั้นเราก็กลับไปที่The Peak อีกครั้ง
เพื่อเก็บภาพHong Kong ในตอนกลางวัน
อากาศยังเย็นสบายเหมือนเดิม สดชื่นได้ใจจริงๆ
และแล้วก็ใกล้ถึงเวลา
เรารีบกลับมาเก็บภาพบรรยากาศที่ 1881 Heritage

และเก็บภาพระหว่างการเดินทางกลับ
จบลงแล้วสิน่ะ ทริปนี้ทำให้ฉันหลงรักฮ่องกงสุดๆ
ทัศนคติที่เปลี่ยนไป คือ
ตอนแรกคิดว่าคนจะเยอะจนรู้สึกอึดอัด

แต่ความคิดเราได้เปลี่ยนไป
คือคนเยอะก็จริง แต่ทุกอย่างเป็นระเบียบมาก การต่อคิวขึ้นรถBus ถ้าขึ้นตรงต้นทาง
ก็จะมีช่องให้เราเข้าคิว ไม่ได้แย่งกันขึ้นเหมือนที่คิดเอาไว้ มันดีมาก
เจอคนฮ่องกงก็เยอะ คนไทยก็เยอะ ฝรั่งก็เยอะ
แต่ละคนแต่งตัวน่ารักๆ ไม่ก็ดูดีอย่างกับหลุดออกมาจากนิตยสาร เราไปตอนเริ่มหนาวแล้วแฟชั่นหน้าหนาวกำลังมา ฟินสุดๆ
สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือเวลาข้ามทางม้าลาย จะมีสัญญานไฟบอก พอสัญญานไฟเขียวปุ๊บ คนเดิน รถจอด
เห้ยยยยมันดีอะ
สถานที่ที่ชอบมากที่สุดคือ ภาพวิวอ่าววิคตอเรียในยามเช้า

ฟินนาเร่สุดๆ แทบจะเหาะเลย นึกว่าตัวเองเป็นนางฟ้า กำลังอยู่บนสวรรค์งี้

มีหลายที่ ที่ยังไม่ได้มีโอกาสไป
อีกไม่นานฉันจะกลับมาอีกครั้งนะ ฮ่องกง
เมื่อวันหนึ่ง...ฉันตกหลุมรักฮ่องกง
ก่อนอื่นแนะนำตัวก่อนละกันนะคะ ชื่อนิค่ะ
นี่เป็นกระทู้แรกของเราเลยน๊า
ข้อมูลอาจไม่ค่อยละเอียด
...แต่อารมณ์มาเต็ม!!
เราเพิ่งจะออกนอกประเทศ ก็ครั้งนี่แหละค่ะ
และยังไปคนเดียวอีก ซะงั้น
การไปครั้งนี้ทำให้เรารักฮ่องกงเลยค่ะ
เข้าไปชมภาพเพิ่มเติมอื่นๆได้ที่ เพจเฟสบุ๊ค : My Destination At Hong Kong ค่ะ
แต่ก็ไม่ลืมประเทศไทยน๊า
เข้าไปชมภาพสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในกรุงเทพ ที่เราถ่ายไว้ได้ที่ เฟสบุ๊ค เพจ: Nissara Smile Thailand ฮี่ๆ
เริ่มนอกเรื่องละ เริ่มเลยละกัน
เราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆตาดำๆคนหนึ่ง
ที่หลายคนอาจจะไม่คิดว่าเราจะกล้าไปต่างประเทศครั้งแรกโดยไปคนเดียว
เราก็คิดว่าเราก็ไม่ค่อยกล้าน่ะ แอบกลัวนิดๆ
ก่อนไปคิดไปต่างๆนานาว่าจะต้องเจออะไรบ้าง
ภาษาอังกฤษก็ไม่แข็งแรง งูๆปลาๆ ภาษาจีนนี่ไม่ได้เลยซักตัว
เริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบินด้วยโปรโมชั่นที่ถูกยิ่งนัก
และมันก็เหลือที่นั่งสุดท้ายหากเราจะไปวันที่28พฤศจิกายน
อ๊ากกกกกก!!! ที่นั่งสุดท้าย
เรารีบจองรีบจ่ายตังค์เลย
พอจ่ายเสร็จ ก็กลับมาคิดว่านี่มันบ้าไปแล้วววว
ไปคนเดียวจริงหรอ
อันตรายน่ะ นั่นนู่นนี่
แต่สุดท้ายยย
ก็คิดว่าชีวิตคนเรามันสั้น อยากทำอะไรต้องรีบทำ จังหวะนี้แหละดีสุดละ
คิดอย่างนั้นก็ลุยเลย
ศึกษาข้อมูลเต็มที่ ต้องขึ้นสถานีไหน ลงสถานีไหน
อุณหภูมิตอนที่ไปเท่าไร ที่ๆเราจะไปเปิดปิดกี่โมง
บัตร Airport Expressคืออะไร Octopus คืออะไร ค่าใช้จ่าย แลกเงินที่ไหน นอนที่ไหน
ศึกษามาค่อนข้างเยอะ ประหนึ่งว่าฉันอยู่ที่นั่นแล้ว ง่อวววว
วันเดินทาง....
และแล้วก็ตื่นสาย สิ่งที่เตรียมมาเกือบพังๆๆ
แต่ผมนี่ก็ตาลีตาเหลือก
พอไปถึง ก็งงหน่ะสิ
แต่สักพัก ได้ยินเสียงประกาศ
นางสาว.....ให้มาที่gate 4
ง่อวววว นั่นมันชื่อเราเอง เรารีบวิ่งเลย คนก็มองเยอะอยู่ ฮาาา อายเลย
และแล้วก็ได้ขึ้นเครื่องอย่างงดงาม
พอถึงสนามบินฮ่องกง ผมนี่ก็อาศัยเดินตามคนหมู่มาก ประกอบกับป้ายบอกทางค่อนข้างละเอียด สักพักเราก็เจอ เคาน์เตอร์ Airport Express. เรานี่ดีใจสุดๆ ฮี่ๆ
เราซื้อบัตรAirport Express 2เที่ยว และฟรีMTR ไม่จำกัด3วัน
มันคุ้มจริงๆนะเออ
และเราก็ซื้อบัตรOctopus Cardบัตรที่คนฮ่องกงเขาก็พกกัน ใช้ซื้อของที่7-11,Star Ferry, Bus และอื่นๆอีกมากมายที่มีเครื่องรับบัตรนี้
บางอย่างมันได้ส่วนลดจากราคาปกติด้วยนะ
ตอนนั่งAirport Express ไม่ค่อยมีคนเยอะ
ส่วนตัวมากๆ เผลอแปบเดียวถึงโรงแรมแล้วววว
ทุกอย่างดูตื่นตาตื่นใจไปหมด
อารมณ์แบบว่าฟรุ้งฟริ้ง สุดติ่งกระดิ่งแมวมาก
เข้าไปในโรงแรมสักพักก็ออกจากโรงแรม
พร้อมลุยยยย
ระหว่างเดินตามทางก็แอบแชะภาพไปเรื่อยๆ
เรานั่งBus ไปลง Repulse Bay ชายหาดที่พอมีคนอยู่บ้าง แต่ก็สงบ
ว้าวววว สดชื่นจังเลยยย
จากนั้นเราจะไปThe Peakต่อ กะว่าจะไปดูตอนพระอาทิตย์ตกดิน
แต่แล้ววววกว่าจะถึงก็มืดละ
ตอนอยู่ข้างบนดาดฟ้าของ Peak Tower
ลมค่อนข้างแรง ปะทะหน้านี่เย็นเชียว
หากไปกับคนรู้ใจนี่ ได้อารมณ์โรแมนติกสุดๆ
สวีทวิดวิ้วววที่สุดเลย
แต่ลมแรงมาก แนะนำให้ใส่เสื้อผ้าหนาๆจะดีสุด
แต่ยังไง มันก็คุ้มจริงๆน่ะ
จากนั้นก็ลงมาด้านล่างของตึก คนต่อคิวขึ้น Peak Tram เยอะมาก เรามีเวลาจำกัดเลยขอไว้ครั้งหน้าละกัน
เรากลับมาที่ Avenue of Stars
เราคิดในใจว่าคนที่นี่เขามีความสุขจัง อากาศกำลังดี ฟังเพลงยามค่ำคืนริมอ่าววิคตอเรีย
ว้าววว อารมณ์แบบว่าอมยิ้มคนเดียวอีกแล้ววว
จากนั้นเราก็กลับมาห้อง พักร่างกายก่อน
วันที่2
เราเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยววัดบ้าง
เราไปวัดหว่องไท่ซิน
เป็นวัดที่ถ่ายทำหนังจีน เราสังเกตุว่ามีคนไทยไปเยอะอยู่เหมือนกัน แต่คนก็ไม่พลุกพล่านมากนะ
เหมาะแก่การมาไหว้พระ ขอพรเป็นอย่างยิ่ง
สถานีต่อไป....เราลงสถานี Diamond Hill เพื่อไปวัด Chi Lin หรือวัดที่คนไทยเรียกว่า วัดนางชี.
พอเห็นปุ๊บ รู้สึกถึงความสงบ
ลมอ่อนๆโชยมาปะทะหน้า มันสดชื่นสุดๆ
พอหันหลังเท่านั้น เจอ Nan Lian Garden
สวนที่มีการตกแต่งที่สวยงาม แต่เสียดายว่ามาตอนเริ่มมืดแล้ว ไว้คราวหน้าจะมาอีกแน่นอน
วันที่3 วันสุดท้ายของทริปนี้
ยังอยากเที่ยวต่ออยู่เลย อารมณ์ค้าง
เอาน่า ถ้ามีโอกาสเราคงได้กลับมาอีก
เริ่มต้นวันใหม่ เราตื่นเต้นสุดๆ
ตื่น6โมงเช้า ก็ยังมืดอยู่
7โมงเช้าก็ยังไม่ค่อยมีคนเดินเท่าไหร่
เราเลยออกจากโรงแรม8โมงเช้า
อากาศเย็นสบาย เราเลือกไปชมวิวที่ Avenue of Stars อีกครั้ง แต่มันคนละอารมณ์กับตอนกลางคืนเลย อากาศเย็นสบาย แทบจะไม่ค่อยมีคนเดิน แต่แปบน่ะ
วิวที่เห็นตรงหน้านี่มันสวรรค์ชัดๆ อย่างกับภาพวาดเลย
จากนั้นเราลองนั่ง Star Ferry ข้ามไปยังฝั่งเกาะฮ่องกง และก็เจอกับสิ่งนี้
นี่มันเอเชียทีคฮ่องกงนี่นา ฮี่ๆ
และก็เดินเก็บภาพบรรยากาศตึกต่างๆ ชวนให้นึกถึงทองหล่อสุขุมวิท แบบว่ามีตึกสูงๆสวยๆเยอะเต็มไปหมด
แล้วเราก็เปลี่ยนบรรยากาศไป Hong Kong Wetland Park บ้าง
ให้อารมณ์ชวนนึกถึงบ้านเลย แม่น้ำลำคลอง ภูเขาต้นไม้
หลังจากนั้นเราก็กลับไปที่The Peak อีกครั้ง
เพื่อเก็บภาพHong Kong ในตอนกลางวัน
อากาศยังเย็นสบายเหมือนเดิม สดชื่นได้ใจจริงๆ
และแล้วก็ใกล้ถึงเวลา
เรารีบกลับมาเก็บภาพบรรยากาศที่ 1881 Heritage
และเก็บภาพระหว่างการเดินทางกลับ
จบลงแล้วสิน่ะ ทริปนี้ทำให้ฉันหลงรักฮ่องกงสุดๆ
ทัศนคติที่เปลี่ยนไป คือ
ตอนแรกคิดว่าคนจะเยอะจนรู้สึกอึดอัด
คือคนเยอะก็จริง แต่ทุกอย่างเป็นระเบียบมาก การต่อคิวขึ้นรถBus ถ้าขึ้นตรงต้นทาง
ก็จะมีช่องให้เราเข้าคิว ไม่ได้แย่งกันขึ้นเหมือนที่คิดเอาไว้ มันดีมาก
เจอคนฮ่องกงก็เยอะ คนไทยก็เยอะ ฝรั่งก็เยอะ
แต่ละคนแต่งตัวน่ารักๆ ไม่ก็ดูดีอย่างกับหลุดออกมาจากนิตยสาร เราไปตอนเริ่มหนาวแล้วแฟชั่นหน้าหนาวกำลังมา ฟินสุดๆ
สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือเวลาข้ามทางม้าลาย จะมีสัญญานไฟบอก พอสัญญานไฟเขียวปุ๊บ คนเดิน รถจอด
เห้ยยยยมันดีอะ
สถานที่ที่ชอบมากที่สุดคือ ภาพวิวอ่าววิคตอเรียในยามเช้า
ฟินนาเร่สุดๆ แทบจะเหาะเลย นึกว่าตัวเองเป็นนางฟ้า กำลังอยู่บนสวรรค์งี้
มีหลายที่ ที่ยังไม่ได้มีโอกาสไป
อีกไม่นานฉันจะกลับมาอีกครั้งนะ ฮ่องกง