นี่ไม่ใช่กระทู้แรก ของเรา..ดูผิดคอนเซ็ป ไปสักหน่อย ฮา ๆ
ครั้งนี้จะเอาทริป มึน ๆ กับการเที่ยว แบบโนแพลนมาฝาก นอกจากที่พัก ไม่มีอะไรสักอย่างที่วางแผน ฮา ๆ จะเป็นยังไง..อ่ะหรอ
เริ่มเลยแล้วกัน...
“Best Moments Happen When They Are Unplanned”
เพราะประโยคนี้ ทริปนี้จึงไร้การแพลน ทริปที่สองแท้ ๆ ทำเป็นเท่เสียแล้ว
ไม่มีการแพลนแม้แต่ของในกระเป๋า ช่วงสาย ๆ ของวันพฤหัสบดี ของใช้ต่าง ๆ ถูกจับยัด ๆ ลงสู่กระเป๋าเป้ใบไม่โตมากมายนัก เพราะครั้งนี้ไปเพียงแค่ ไม่กี่วัน ภายในวันเดียวกัน ตอนบ่าย ๆ เราก็เอาตัวเองมาอยู่ที่สนามบินเรียบร้อย วันนี้เป็นวันพฤหัส แต่ที่สนามบินผู้คนมากมายนัก จนอดสงสัยไม่ได้ ว่าคนเหล่านี้เขากำลังจะไปไหนกัน
จ๊อก..จ๊อก..
เสียงท้องร้องเรียกสติกลับมาสู่เรื่องของตัวเอง ใช่! ยังไม่ได้กินข้าว เมื่อคืนตลอดทั้งคืนปั่นงานสต๊อกไว้ในช่วงที่จะไม่อยู่ และ เมื่อเช้าก็วุ่นกับการยัดของใส่กระเป๋า ไม่มีพลังงานใด ๆ ตกถึงท้องเลย เช็คอินเสร็จเรียบร้อย ได้เวลาหาของกิน แต่คนแน่น...ทุกที่เต็มไปหมด เจอซอกเล็ก ๆ พอจะแซะตัวเข้าไปนั่งได้ สุดท้ายจึงได้กินข้าวสมใจ แน่นอนหนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อน กะจะพักสายตาระหว่างรอขึ้นเครื่อง นั่งสบายอยู่หน้าเกต ได้แป็ปเดียว
ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปท่าอากาศยานน่านนคร เที่ยวบินที่...ย้ายเกตไปที่...
ฟังไม่ทันจะได้ศัทพ์ดี ก็เดินตามคนเขาไปเรื่อย ๆ และลงบันไดเลือนไปด้านล่าง ผู้คนคับคั่งแน่นจนแทบจะต้องยืนเบียด เสียงเรียกผู้โดยสารกึกก้องดังไปหมด ท่าอากาศยานตอนนี้ คล้าย ๆ กับหมอชิตในช่วงเทศกาล
เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ฟ้ามองนู้นนี่ได้พักใหญ่ ตอนนี้เราก็คิดเอาเองว่าเราเข้าสู่จังหวัดน่านแล้ว เพราะทิวเขาน้อยใหญ่ไล่ระดับอยู่เป็นทิวแถว อยากจะเรียกว่าทะเลภูเขามันก็ดูจะงงไป เอาเป็นว่าภูเขาน้อยใหญ่สลับไล่เรียงกันไปสุดลูกหูลูกตา ออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา มันอดตื่นเต้นไม่ได้จริง ๆ เพราะธรรมชาติมันยิ่งใหญ่เสมอ
เพียงไม่นานเราก็อยู่ที่ท่าอากาศยานน่านนคร ภาพที่เห็นตรงหน้าผิดจากที่คาดไว้ค่อนข้างเยอะ สนามบินค่อนข้างใหม่ ทันสมัย ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาสู่ตัวอาคาร เสียงเพลงพื้นเมืองดังออกมาต้อนรับ เหมือนจะบอกเราว่าที่นี่ คือ เมืองน่าน (ฟังสักพักบอกตรง ๆ ตอนนั้นอยากจะฟ้อนขึ้นมาเลยทีเดียว ฮา ๆ )
การเดินทางครั้งนี้ไร้การวางแผน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเข้าเมืองยังไง ยืนทำหน้างงได้อยู่แป็ปเดียว มีป้าคนนึงเดินมาถาม
เข้าเมืองไหมลูก ไปสองแถวป้าคิดคนละ 50 บาท
ตอบแบบไม่ต้องคิด
ว่ารถป้าอยู่ไหนค่ะ
ป้าก็ถามว่าพักที่ไหน ป้าแกจะไปส่งเราหน้าที่พัก คนน่านใจดีขนาดเนาะ
ขับรถลัดเลาะส่งคนระหว่างทาง สักพักก็จอดอีกครั้งแต่ไม่มีใครลง มองหน้ากันไปมา อ่อ ที่พักของเรานั้นเอง
No plan ต่อมา เราได้ไม่จองรถเช่าล่วงหน้าไว้แต่เราจะต้องใช้ หาสิคะ โทรที่นู้น รถเต็ม โทรที่นี่ ไม่มีรถ นั่งมึนอยู่พักใหญ่ ฟ้าก็มาโปรด เราได้รถแล้ว เขาจะมาส่งรถให้พรุ่งนี้ เย่ๆ
ได้เวลานักปั่น ไม่มีแพลนอยู่แล้ว ถามน้องที่ดูแลที่พัก ว่า
ปั่นไปเที่ยวไหนได้บ้าง..??
น้องนึกอยู่สักพัก
บอกไปดูพระอาทิตย์ตกสิพี่
ปั่นไปไกลมากไหม..??
ทำท่านึก อีกรอบ
ก็พอปั่นได้
นักปั่นพร้อม เปิดแผนที่จากกูเกิ้ล พาเราปั่นไป ปั่นไป ไกลออกไปเรื่อย ๆ ขาเริ่มเกรง แถมก้นเริ่มเจ็บ และทางก็เริ่มปั่นขึ้นเขาที่สำคัญฟ้ามืดแล้ว.. ตอนนี้เราอยู่ตรงตีนเขาทางขึ้น พระธาตุเข้าน้อย ที่แน่ ๆ เราขึ้นไม่ไหว เหงื่อไหลเป็นทาง สภาพร่างกายบอกเราว่าถ้าฝืนขึ้นเขา
ขากลับคงกลับไม่ไหว จึงถอดใจและปั่นกลับเข้าเมือง ผ่านวัดสำคัญอีกวัดหนึ่ง วัดภูมินทร์ ยามค่ำคืนก็สวยไปอีกแบบ
วันนี้มีงานแข่งเรือ ที่ริมน้ำมีร้านรวงมาออกร้านมากมาย เดินเล่น และหาของกินแก้เหนื่อย ด้วยความที่ไม่แพลน ร้านดัง ร้านแนะนำเมืองน่าน แน่นอนว่าเราไม่ได้ไป ฮา ๆ แต่เราว่าหมูกระทะที่นี้ต้องฮิตแน่ ๆ เพราะไม่ว่าจะไปทางไหนก็เห็นแต่ร้านหมูกระทะวันนี้เราจึงฝากท้องที่ร้านหมูกระทะนั่นเอง
ตอนนี้อากาศเริ่มเย็น และด้วยความอยากรู้ว่าวัยรุ่นที่นี่ เข้าแฮงค์เอ้าท์ที่ไหนกัน สอบถามจนได้ความก็เลยปั่นสองล้อคู่ใจไปกาดน่าน ตรงบริเวณนั้นเป็นตรอกไม่ใหญ่มากนัก มีร้านเก๋ ๆ น่ารัก อยู่หลายร้าน แต่..เราไม่ได้นั่งเพราะคิดแล้วว่า ถ้ามีแอลกอฮอล์ในร่างกายตอนนี้
แน่นอน...ปั่นกลับไม่ไหวตามเคย ฮา ๆ จึงวน ๆ ดู และก็หันหัวกลับที่พัก แวะ 7 - 11 ซึ่งมีอยู่ไม่เยอะในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้
ได้เครื่องดื่มพอจิบให้สบาย นั่งจิบเบียร์กับลมเย็น ๆ มันชิลล์มากเลยทีเดียว ถึงตอนนี้คงต้องหลับฝันดีซะแล้วพรุ่งนี้เจอกันใหม่นะจังหวัดน่าน
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
เสียงนาฬิกาบอกเวลา 6.30 น. ลงมารับอากาศเย็น ๆ ตอนเช้า ๆ กับสองล้อของเรา แวะจุดแลนด์มาร์คสำคัญ ๆ ในตัวเมือง
น่านเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่น่ารัก สงบ และวัดสวย ๆ เยอะมาก
รถที่เราเช่าไว้มาส่งรถแล้ว สัมภาระของเราถูกยัดใส่รถเป็นที่เรียบร้อย ได้เวลาขึ้นดอยกันแล้ว
การเดินทางของเราวันนี้เราใช้อากู๋นำทาง ขับรถออกนอกเมืองไปเรื่อย ๆ เจออะไรก็แวะ วิวสวยก็จอด ขับมาเรื่อยจนถึงแยก แยกนี้แยกสำคัญ เลี้ยวซ้ายไปเวียงสา เลี้ยวขวาไปร้องกวาง อากู๋บอกเราว่าเราต้องเลี้ยวขวา ไม่มีการคิดมากเลี้ยวขวาทันที แต่ก็แอบแปลกใจทำไมไม่มีป้ายบอกทางไปอุทยานแห่งชาติขุนสถานเป้าหมายของเราเลย ระหว่างทางบ้านคนเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ จนถึงแยกที่กูเกิ้ลบอกให้เราเลี้ยวมันแทบจะเป็นป่าอยู่แล้ว ถนนก็เล็กลง ๆ เลยจอดแวะถามทางสักหน่อย สรุปว่ามาถูกทาง แต่..เรื่องป้ายบอกทางไม่มียังคงติดในใจ และเนื่องจากเราไม่มีการวางแผนศึกษาเส้นทางใด ๆ แน่แหละ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะถึงขุนสถานกี่โมง ถนนเป็นอย่างไร ขับรถด้วยใจที่คิดว่าหลงไปตลอดทาง เราเลยตัดสินใจไปที่พักก่อน ให้รู้ก่อนว่ามันเป็นอย่างไร ถนนเริ่มเลาะเลี้ยวไต่ขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ ฝั่งขวามือ คือ ภูเขา ฝั่งซ้าย คือ หุบ มองลงไปทีไรขาอ่อนแรงทุกที
แต่วิวที่สวยโอบล้อมเราไปตลอดทางทำให้เราอารมณ์ดีแม้อยู่ภาวะกังวล ไต่ขอบเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ มีร้านค้าตั้งอยู่เป็นระยะ ๆ เราแทบจะแวะทุกจุด ทั้งถามทาง และพุดคุยกับเจ้าถิ่นบนดอย ซึ่งน่ารักมาก ๆ ปิดท้ายด้วยการอุดหนุนของสักนิดหน่อย ของบนนั้นแต่ละอย่างราคาถูกมาก ก๋วยเตี๋ยวที่เรากิน ราคาเพียง 25 บาทเท่านั้นเอง แต่วิวนี่ยิ่งกว่าห้องอาหารชั้นดี
ขับ ๆ จอด ๆ อยู่ตลอดทาง ซื้อน้ำ ซื้อกาแฟ และสตอรี่ ซึ่งต้องขอบอกว่าอร่อยมาก เก็บจากไร่สด ๆ ราคาไม่แพงด้วย หันมาดูเบาะหลังรถตอนนี้ เต็มไปด้วยเสบียงเสียแล้ว
ขับรถมาได้อีกสักพัก มีป้ายอุทยานบอกว่านี้คือที่หมายของเรา เราจอดรถทำใจอยู่สักพัก เพราะทางขึ้นที่ลาดชันทำให้เราต้องทำใจ ฮา ๆ เอาละไปที่พักกัน ตอนนี้เรารับกุญแจจากเจ้าหน้าที่อุทยานเรียบร้อย ที่นี่ที่พักต้องจองโดยตรงกับทางอุทยาน และไม่เสียค่าเข้าพักใด ๆ นอกจากเราจะบริจาคเท่าไหร่ก็ได้
ที่พักเป็นบ้านที่ตั้งอยู่ตรงยอดดอยพอดิบพอดี ภายในห้องจะมีกำแพงที่เป็นกระจกบานใหญ่มากให้ได้ชมทัศนีย์ภาพ ได้ตลอดการพักอยู่ที่นี้
เราไขกุญแจเข้าไปในห้องเอาของเก็บเสร็จก็ได้เวลาออกสำรวจพื้นที่ บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติขุนสถานไม่ได้กว้างใหญ่มากมายนัก เราใช้เวลาสำรวจเพียงไม่นานนัก ก็กลับมาพักนอนเอกเขนกตรงระเบียงบ้านที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดดอย ด้วยความที่เราไม่มีแผน ไม่มีแพลนเราจึงขึ้นมาถึงบนนี้ไวเกินไป และด้วยถนนที่อยู่ขอบเขา จึงตัดสินใจไม่ออกไปไหน จะพักผ่อน สโลว์ไลฟ์ ดูภูเขาดูเฆมกันบนนี้
ระหว่างทางที่ขึ้นมาเราพูดคุยกับชาวดอยได้ความว่า ช่วงนี้อากาศไม่เย็น ออกไปทางร้อนเสียด้วยซ้ำ เราก็โอเคเพราะเราไม่ได้เตรียมอุปกรณ์กันหนาวกันมาเลย ช่วงนี้เดือนตุลาจะมาหนาวอะไรใช่ม่ะ
แต่..
แต่… ตอนนี้ 4 โมงเย็นเท่านั้น ลมเย็น ๆ พัดมาเสียแล้ว ไม่ต้องพูดถึงตอนพระอาทิยต์ตกดินไปแล้วจะเย็นขนาดไหน เลยตัดสินใจอาบน้ำกันตั้งแต่เย็น เสียงลมพัดอื่ออึงอยู่ด้านนอก เวลาสองทุ่มกว่า ๆ เราอดทนสู้กับลมหนาวและน้ำค้างที่แรงจนตัวเปียก เงยหน้ามองบนฟ้าจากจุดที่เราพัก ตอนนี้บนท้องฟ้าเหมือนมีคนนำผ้าดำผืนใหญ่ประดับไฟระยิบระยับอยู่บนนั้น นึกถึงเมื่อสมัยตอนเด็กที่เราไปดูดาวที่ท้องฟ้าจำลองเลย ต่างกันที่ว่า ดาวบนฟ้าตอนนี้คือของจริง กลุ่มดาวเรียงตัวมากมาย สะกดเราให้เราลืมลมหนาวและน้ำค้างไปชั่วครู่
เวลานี้ตอนนี้ข้างบนฟ้าเหนือไปบนหัวเต็มไปด้วยดาวที่แย่งกันท้อแสงระยิบ กลับกันภายในหัวตอนนี้กับว่างเปล่าจนบอกไม่ถูก ปล่อยวางความคิดต่าง ๆ ได้โดยไม่รู้ตัว เหมือนถูกสะกดให้ออกจากความวุ่นวายได้ชั่วขณะ แต่แล้วก็ถูกสะกิดด้วยความหนาวสั่น ก้มหน้าลงมาและสาวเท้าเดินกลับเข้าห้อง พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าพระอาทิตย์ขึ้นรอเราอยู่ ซุกตัวอยู่ในผ้านวมอุ่น ๆ บนที่นอนนุ่ม ๆ และเหมือนดาวจะรู้ว่าเราอยากจะเห็นเขา ทันทีที่เราปิดไฟในห้องพัก กลุ่มดาวน้อยใหญ่ก็มาปรากฎตัวตรงหน้า นอนจ้องหน้ากันกับดาวจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลับไปตอนไหน ฮา ๆ
เช้านี้เราถูกปลุกด้วยเสียงลมที่พัดดังอื่ออึงและแรงสะกิด ยังไม่ทันจะได้งัวเงียมองตามปลายนิ้วออกไปก็ต้องตะลึงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หมอกหนา ๆ พัดมาโอบล้อมที่พักของเรา ท้าทายให้เราออกไปสัมผัส แน่นอนเราไม่มีอุปกรณ์กันหนาว ฮา ๆ กลัวซะทีไหน ออกไปแบบสั่น ๆ หมอกหนาปกคลุมจนมองแทบไม่เห็นอะไรพระอาทิตย์ไม่ต้องพูดถึง ด้วยความหนาวสั่นได้ยินเสียงฟันกระทบกันเป็นระยะ ยืนสัมผัสบรรยากาศตรงหน้าแล้วตะโกนก้องในใจ ปีนี้เจอหน้าหนาวแล้วโว้ยยยย...
[CR] เพราะไม่วางแผน..เที่ยว น่าน แบบโนแพลนจึงเกิด
ครั้งนี้จะเอาทริป มึน ๆ กับการเที่ยว แบบโนแพลนมาฝาก นอกจากที่พัก ไม่มีอะไรสักอย่างที่วางแผน ฮา ๆ จะเป็นยังไง..อ่ะหรอ
เริ่มเลยแล้วกัน...
“Best Moments Happen When They Are Unplanned”
เพราะประโยคนี้ ทริปนี้จึงไร้การแพลน ทริปที่สองแท้ ๆ ทำเป็นเท่เสียแล้ว
ไม่มีการแพลนแม้แต่ของในกระเป๋า ช่วงสาย ๆ ของวันพฤหัสบดี ของใช้ต่าง ๆ ถูกจับยัด ๆ ลงสู่กระเป๋าเป้ใบไม่โตมากมายนัก เพราะครั้งนี้ไปเพียงแค่ ไม่กี่วัน ภายในวันเดียวกัน ตอนบ่าย ๆ เราก็เอาตัวเองมาอยู่ที่สนามบินเรียบร้อย วันนี้เป็นวันพฤหัส แต่ที่สนามบินผู้คนมากมายนัก จนอดสงสัยไม่ได้ ว่าคนเหล่านี้เขากำลังจะไปไหนกัน
จ๊อก..จ๊อก..
เสียงท้องร้องเรียกสติกลับมาสู่เรื่องของตัวเอง ใช่! ยังไม่ได้กินข้าว เมื่อคืนตลอดทั้งคืนปั่นงานสต๊อกไว้ในช่วงที่จะไม่อยู่ และ เมื่อเช้าก็วุ่นกับการยัดของใส่กระเป๋า ไม่มีพลังงานใด ๆ ตกถึงท้องเลย เช็คอินเสร็จเรียบร้อย ได้เวลาหาของกิน แต่คนแน่น...ทุกที่เต็มไปหมด เจอซอกเล็ก ๆ พอจะแซะตัวเข้าไปนั่งได้ สุดท้ายจึงได้กินข้าวสมใจ แน่นอนหนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อน กะจะพักสายตาระหว่างรอขึ้นเครื่อง นั่งสบายอยู่หน้าเกต ได้แป็ปเดียว
ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปท่าอากาศยานน่านนคร เที่ยวบินที่...ย้ายเกตไปที่...
ฟังไม่ทันจะได้ศัทพ์ดี ก็เดินตามคนเขาไปเรื่อย ๆ และลงบันไดเลือนไปด้านล่าง ผู้คนคับคั่งแน่นจนแทบจะต้องยืนเบียด เสียงเรียกผู้โดยสารกึกก้องดังไปหมด ท่าอากาศยานตอนนี้ คล้าย ๆ กับหมอชิตในช่วงเทศกาล
เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ฟ้ามองนู้นนี่ได้พักใหญ่ ตอนนี้เราก็คิดเอาเองว่าเราเข้าสู่จังหวัดน่านแล้ว เพราะทิวเขาน้อยใหญ่ไล่ระดับอยู่เป็นทิวแถว อยากจะเรียกว่าทะเลภูเขามันก็ดูจะงงไป เอาเป็นว่าภูเขาน้อยใหญ่สลับไล่เรียงกันไปสุดลูกหูลูกตา ออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา มันอดตื่นเต้นไม่ได้จริง ๆ เพราะธรรมชาติมันยิ่งใหญ่เสมอ
เพียงไม่นานเราก็อยู่ที่ท่าอากาศยานน่านนคร ภาพที่เห็นตรงหน้าผิดจากที่คาดไว้ค่อนข้างเยอะ สนามบินค่อนข้างใหม่ ทันสมัย ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาสู่ตัวอาคาร เสียงเพลงพื้นเมืองดังออกมาต้อนรับ เหมือนจะบอกเราว่าที่นี่ คือ เมืองน่าน (ฟังสักพักบอกตรง ๆ ตอนนั้นอยากจะฟ้อนขึ้นมาเลยทีเดียว ฮา ๆ )
การเดินทางครั้งนี้ไร้การวางแผน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเข้าเมืองยังไง ยืนทำหน้างงได้อยู่แป็ปเดียว มีป้าคนนึงเดินมาถาม
เข้าเมืองไหมลูก ไปสองแถวป้าคิดคนละ 50 บาท
ตอบแบบไม่ต้องคิด ว่ารถป้าอยู่ไหนค่ะ
ป้าก็ถามว่าพักที่ไหน ป้าแกจะไปส่งเราหน้าที่พัก คนน่านใจดีขนาดเนาะ
ขับรถลัดเลาะส่งคนระหว่างทาง สักพักก็จอดอีกครั้งแต่ไม่มีใครลง มองหน้ากันไปมา อ่อ ที่พักของเรานั้นเอง
No plan ต่อมา เราได้ไม่จองรถเช่าล่วงหน้าไว้แต่เราจะต้องใช้ หาสิคะ โทรที่นู้น รถเต็ม โทรที่นี่ ไม่มีรถ นั่งมึนอยู่พักใหญ่ ฟ้าก็มาโปรด เราได้รถแล้ว เขาจะมาส่งรถให้พรุ่งนี้ เย่ๆ
ได้เวลานักปั่น ไม่มีแพลนอยู่แล้ว ถามน้องที่ดูแลที่พัก ว่า
ปั่นไปเที่ยวไหนได้บ้าง..??
น้องนึกอยู่สักพัก บอกไปดูพระอาทิตย์ตกสิพี่
ปั่นไปไกลมากไหม..??
ทำท่านึก อีกรอบ
ก็พอปั่นได้
นักปั่นพร้อม เปิดแผนที่จากกูเกิ้ล พาเราปั่นไป ปั่นไป ไกลออกไปเรื่อย ๆ ขาเริ่มเกรง แถมก้นเริ่มเจ็บ และทางก็เริ่มปั่นขึ้นเขาที่สำคัญฟ้ามืดแล้ว.. ตอนนี้เราอยู่ตรงตีนเขาทางขึ้น พระธาตุเข้าน้อย ที่แน่ ๆ เราขึ้นไม่ไหว เหงื่อไหลเป็นทาง สภาพร่างกายบอกเราว่าถ้าฝืนขึ้นเขา
ขากลับคงกลับไม่ไหว จึงถอดใจและปั่นกลับเข้าเมือง ผ่านวัดสำคัญอีกวัดหนึ่ง วัดภูมินทร์ ยามค่ำคืนก็สวยไปอีกแบบ
วันนี้มีงานแข่งเรือ ที่ริมน้ำมีร้านรวงมาออกร้านมากมาย เดินเล่น และหาของกินแก้เหนื่อย ด้วยความที่ไม่แพลน ร้านดัง ร้านแนะนำเมืองน่าน แน่นอนว่าเราไม่ได้ไป ฮา ๆ แต่เราว่าหมูกระทะที่นี้ต้องฮิตแน่ ๆ เพราะไม่ว่าจะไปทางไหนก็เห็นแต่ร้านหมูกระทะวันนี้เราจึงฝากท้องที่ร้านหมูกระทะนั่นเอง
ตอนนี้อากาศเริ่มเย็น และด้วยความอยากรู้ว่าวัยรุ่นที่นี่ เข้าแฮงค์เอ้าท์ที่ไหนกัน สอบถามจนได้ความก็เลยปั่นสองล้อคู่ใจไปกาดน่าน ตรงบริเวณนั้นเป็นตรอกไม่ใหญ่มากนัก มีร้านเก๋ ๆ น่ารัก อยู่หลายร้าน แต่..เราไม่ได้นั่งเพราะคิดแล้วว่า ถ้ามีแอลกอฮอล์ในร่างกายตอนนี้
แน่นอน...ปั่นกลับไม่ไหวตามเคย ฮา ๆ จึงวน ๆ ดู และก็หันหัวกลับที่พัก แวะ 7 - 11 ซึ่งมีอยู่ไม่เยอะในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้
ได้เครื่องดื่มพอจิบให้สบาย นั่งจิบเบียร์กับลมเย็น ๆ มันชิลล์มากเลยทีเดียว ถึงตอนนี้คงต้องหลับฝันดีซะแล้วพรุ่งนี้เจอกันใหม่นะจังหวัดน่าน
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
เสียงนาฬิกาบอกเวลา 6.30 น. ลงมารับอากาศเย็น ๆ ตอนเช้า ๆ กับสองล้อของเรา แวะจุดแลนด์มาร์คสำคัญ ๆ ในตัวเมือง
น่านเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่น่ารัก สงบ และวัดสวย ๆ เยอะมาก
รถที่เราเช่าไว้มาส่งรถแล้ว สัมภาระของเราถูกยัดใส่รถเป็นที่เรียบร้อย ได้เวลาขึ้นดอยกันแล้ว
การเดินทางของเราวันนี้เราใช้อากู๋นำทาง ขับรถออกนอกเมืองไปเรื่อย ๆ เจออะไรก็แวะ วิวสวยก็จอด ขับมาเรื่อยจนถึงแยก แยกนี้แยกสำคัญ เลี้ยวซ้ายไปเวียงสา เลี้ยวขวาไปร้องกวาง อากู๋บอกเราว่าเราต้องเลี้ยวขวา ไม่มีการคิดมากเลี้ยวขวาทันที แต่ก็แอบแปลกใจทำไมไม่มีป้ายบอกทางไปอุทยานแห่งชาติขุนสถานเป้าหมายของเราเลย ระหว่างทางบ้านคนเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ จนถึงแยกที่กูเกิ้ลบอกให้เราเลี้ยวมันแทบจะเป็นป่าอยู่แล้ว ถนนก็เล็กลง ๆ เลยจอดแวะถามทางสักหน่อย สรุปว่ามาถูกทาง แต่..เรื่องป้ายบอกทางไม่มียังคงติดในใจ และเนื่องจากเราไม่มีการวางแผนศึกษาเส้นทางใด ๆ แน่แหละ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะถึงขุนสถานกี่โมง ถนนเป็นอย่างไร ขับรถด้วยใจที่คิดว่าหลงไปตลอดทาง เราเลยตัดสินใจไปที่พักก่อน ให้รู้ก่อนว่ามันเป็นอย่างไร ถนนเริ่มเลาะเลี้ยวไต่ขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ ฝั่งขวามือ คือ ภูเขา ฝั่งซ้าย คือ หุบ มองลงไปทีไรขาอ่อนแรงทุกที
แต่วิวที่สวยโอบล้อมเราไปตลอดทางทำให้เราอารมณ์ดีแม้อยู่ภาวะกังวล ไต่ขอบเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ มีร้านค้าตั้งอยู่เป็นระยะ ๆ เราแทบจะแวะทุกจุด ทั้งถามทาง และพุดคุยกับเจ้าถิ่นบนดอย ซึ่งน่ารักมาก ๆ ปิดท้ายด้วยการอุดหนุนของสักนิดหน่อย ของบนนั้นแต่ละอย่างราคาถูกมาก ก๋วยเตี๋ยวที่เรากิน ราคาเพียง 25 บาทเท่านั้นเอง แต่วิวนี่ยิ่งกว่าห้องอาหารชั้นดี
ขับ ๆ จอด ๆ อยู่ตลอดทาง ซื้อน้ำ ซื้อกาแฟ และสตอรี่ ซึ่งต้องขอบอกว่าอร่อยมาก เก็บจากไร่สด ๆ ราคาไม่แพงด้วย หันมาดูเบาะหลังรถตอนนี้ เต็มไปด้วยเสบียงเสียแล้ว
ขับรถมาได้อีกสักพัก มีป้ายอุทยานบอกว่านี้คือที่หมายของเรา เราจอดรถทำใจอยู่สักพัก เพราะทางขึ้นที่ลาดชันทำให้เราต้องทำใจ ฮา ๆ เอาละไปที่พักกัน ตอนนี้เรารับกุญแจจากเจ้าหน้าที่อุทยานเรียบร้อย ที่นี่ที่พักต้องจองโดยตรงกับทางอุทยาน และไม่เสียค่าเข้าพักใด ๆ นอกจากเราจะบริจาคเท่าไหร่ก็ได้
ที่พักเป็นบ้านที่ตั้งอยู่ตรงยอดดอยพอดิบพอดี ภายในห้องจะมีกำแพงที่เป็นกระจกบานใหญ่มากให้ได้ชมทัศนีย์ภาพ ได้ตลอดการพักอยู่ที่นี้
เราไขกุญแจเข้าไปในห้องเอาของเก็บเสร็จก็ได้เวลาออกสำรวจพื้นที่ บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติขุนสถานไม่ได้กว้างใหญ่มากมายนัก เราใช้เวลาสำรวจเพียงไม่นานนัก ก็กลับมาพักนอนเอกเขนกตรงระเบียงบ้านที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดดอย ด้วยความที่เราไม่มีแผน ไม่มีแพลนเราจึงขึ้นมาถึงบนนี้ไวเกินไป และด้วยถนนที่อยู่ขอบเขา จึงตัดสินใจไม่ออกไปไหน จะพักผ่อน สโลว์ไลฟ์ ดูภูเขาดูเฆมกันบนนี้
ระหว่างทางที่ขึ้นมาเราพูดคุยกับชาวดอยได้ความว่า ช่วงนี้อากาศไม่เย็น ออกไปทางร้อนเสียด้วยซ้ำ เราก็โอเคเพราะเราไม่ได้เตรียมอุปกรณ์กันหนาวกันมาเลย ช่วงนี้เดือนตุลาจะมาหนาวอะไรใช่ม่ะ
แต่..
แต่… ตอนนี้ 4 โมงเย็นเท่านั้น ลมเย็น ๆ พัดมาเสียแล้ว ไม่ต้องพูดถึงตอนพระอาทิยต์ตกดินไปแล้วจะเย็นขนาดไหน เลยตัดสินใจอาบน้ำกันตั้งแต่เย็น เสียงลมพัดอื่ออึงอยู่ด้านนอก เวลาสองทุ่มกว่า ๆ เราอดทนสู้กับลมหนาวและน้ำค้างที่แรงจนตัวเปียก เงยหน้ามองบนฟ้าจากจุดที่เราพัก ตอนนี้บนท้องฟ้าเหมือนมีคนนำผ้าดำผืนใหญ่ประดับไฟระยิบระยับอยู่บนนั้น นึกถึงเมื่อสมัยตอนเด็กที่เราไปดูดาวที่ท้องฟ้าจำลองเลย ต่างกันที่ว่า ดาวบนฟ้าตอนนี้คือของจริง กลุ่มดาวเรียงตัวมากมาย สะกดเราให้เราลืมลมหนาวและน้ำค้างไปชั่วครู่
เวลานี้ตอนนี้ข้างบนฟ้าเหนือไปบนหัวเต็มไปด้วยดาวที่แย่งกันท้อแสงระยิบ กลับกันภายในหัวตอนนี้กับว่างเปล่าจนบอกไม่ถูก ปล่อยวางความคิดต่าง ๆ ได้โดยไม่รู้ตัว เหมือนถูกสะกดให้ออกจากความวุ่นวายได้ชั่วขณะ แต่แล้วก็ถูกสะกิดด้วยความหนาวสั่น ก้มหน้าลงมาและสาวเท้าเดินกลับเข้าห้อง พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าพระอาทิตย์ขึ้นรอเราอยู่ ซุกตัวอยู่ในผ้านวมอุ่น ๆ บนที่นอนนุ่ม ๆ และเหมือนดาวจะรู้ว่าเราอยากจะเห็นเขา ทันทีที่เราปิดไฟในห้องพัก กลุ่มดาวน้อยใหญ่ก็มาปรากฎตัวตรงหน้า นอนจ้องหน้ากันกับดาวจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลับไปตอนไหน ฮา ๆ
เช้านี้เราถูกปลุกด้วยเสียงลมที่พัดดังอื่ออึงและแรงสะกิด ยังไม่ทันจะได้งัวเงียมองตามปลายนิ้วออกไปก็ต้องตะลึงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หมอกหนา ๆ พัดมาโอบล้อมที่พักของเรา ท้าทายให้เราออกไปสัมผัส แน่นอนเราไม่มีอุปกรณ์กันหนาว ฮา ๆ กลัวซะทีไหน ออกไปแบบสั่น ๆ หมอกหนาปกคลุมจนมองแทบไม่เห็นอะไรพระอาทิตย์ไม่ต้องพูดถึง ด้วยความหนาวสั่นได้ยินเสียงฟันกระทบกันเป็นระยะ ยืนสัมผัสบรรยากาศตรงหน้าแล้วตะโกนก้องในใจ ปีนี้เจอหน้าหนาวแล้วโว้ยยยย...