(บทความ) หยูจี นางอันเป็นที่รัก สิ้นนางสิ้นแผ่นดิน

กระทู้คำถาม
.
     วันนี้ขอเขียนบทความแบบโรแมนติกดราม่าบ้าง หลังจากเขียนเกี่ยวกับขุนพลที่มีชื่อในประวัติศาสตร์จีน ไปหลายคนแล้ว แต่ประวัติศาตร์ก็ชอบโยนความผิดให้หญิงงามผุ้อ่อนแอเสมอ นางผู้นี้ที่ผมจะเขียนบทความถึงก็เช่นกัน นางถูกเรียกหาว่าเป็น “นางงามล่มเมือง” แต่นางผู้นี้ไม่ใช่ “เตียวเสี้ยน” นางงามผู้โด่งดังแห่งสามก็ก เพราะผมตั้งใจว่าจะทยอยเขียนบทความบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีความเป็นมาเกี่ยวเนื่องกับยุคสามก๊ก ไปเรื่อยๆก่อน จนถ้านึกถึงใครไม่ออกแล้วก็จะไปเขียนในยุคสามก๊กอีกที นางผู้นี้ก็เช่นกันอยู่ช่วงก่อนหน้ายุคสามก็กหลายร้อยปี

      แต่ต้องยอมรับครับว่า เตียวเสี้ยน ทำให้ผมนึกถึงนางผู้นี้ เพราะว่าเตียวเสี้ยนถือเป็นหนึ่งใน”สี่ดรุณีแห่งแผ่นดิน” และแม้นว่านาม ของนางผู้นี้จะไม่มีปรากฏในรายชื่อสี่ยอดหญิงงามของจีนพร้อมกับเตียวเสี้ยนด้วย แต่ชาวจีนฮกเกี้ยนกลับกลับยกย่องยอดหญิงงามเสียอีกบางคนก็นับชื่อนางมาแทนที่หวังเจาจวินในทำเนียบสี่หญิงงาม  โดยเธอผู้นี้มีนามว่า "หยูเมี่ยวหยี" หรือ "หยูจี" ที่เรียกกันในสำเนียงแต้จิ๋วว่า "หงอกี่" ครับ

     หยูจี (虞姬)นั้นเป็นคนที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์อีกผู้หนึ่ง โดยเธอมีศักดิ์เป็นภรรยาเอกของจอมคนอหังการแห่งยุค "ฉู่ป้าหวาง" (ฉ้อปาอ๋อง - ราชันย์ผู้พิชิตแห่งฉู่) – เซี่ยงอี่ – ผู้โค่นล้มราชวงศ์ฉินนั่นเอง โดยทั้งคู่ได้ครองคู่กันเมื่อ ครั้งหนึ่ง เซี่ยงอี่ ได้ยินว่ามีคนพบเห็นม้าดำลักษณะดีแต่ดุร้ายจนไม่มีใครจับได้มาปรากฏตัวอยู่ที่ชายป่านอกเมือง เซี่ยงอี่อยากได้ม้าวิเศษไว้ครอบครอง จึงออกไปจับม้าตัวนั้น โดยเพียงแค่จองตาของมัน แล้วก้มลงคว้าหญ้าหนึ่งกำมือยื่นไปป้อนม้า แค่นั้น ม้าตัวดังกล่าวก็กลายมาเป็นม้าศึกคู่ชีพของฉ้อปาอ๋อง  เศรษฐีใหญ่ผู้หนึ่งได้เห็นเซี่ยงอี่กำราบม้าร้ายที่มีคุณลักษณะของม้าวิเศษได้ในลักษณะนี้ก็นึกชอบใจ อีกทั้งลักษณะของชายหนุ่มซึ่งตนเองยังไม่รู้ฐานะของเซียงอี่ในตอนนั้น ก็ดูสมชาติชาตรีถูกใจเขายิ่ง จึงเอ่ยปากชวนเวี่ยงอี่ไปที่บ้าน เพื่อหวังจะให้พบหน้าบุตรสาว และยกบุตรสาวนาม หยูจี ซึ่งเป็นหญิงงามลือชื่อให้

     แต่คนอย่างเซี่ยงอี่บุญหนักศักดิ์ใหญ่มาตั้งแต่เกิด และเป็นคนทะนงตัว ไม่รับความช่วยเหลือหรือของกำนัลจากใครง่ายๆ คิดจะปฏิเสธ แต่พริบตาที่เห็นโฉมหน้า”ของขวัญ”ที่เศรษฐีใหญ่ผุ้นั้นจะมอบให้ เซี่ยงอี่ก็คล้ายเป็นม้าร้ายที่โดนความงามของหยูจีสยบ จนคำปฏิเสธไม่ได้หลุดจากปากของเซี่ยงอี่สักครึ่งคำ



     เมื่อได้นางหยูจีมาแล้ว ฉ้อปาอ๋องก็ยังคงมุ่งมั่นทำสงครามแย่งชิงแผ่นดินกับหลิวปัง คู่แค้นแห่งยุคต่อไป ครั้งหนึ่งหลิวปังที่อยู่ปาซูดินแดนเสฉวนได้ซ่องสุมกำลังจนเข้มแข็งและถือโอกาสตอนฉ้อปาอ๋องไปปราบกบฎที่แคว้นฉี ยกกองทัพเข้ายึดดินแดนเดิมของราชวงศ์ฉินจากจางหานและพวก จากนั้นก็รวบรวมกองทัพของเจ้าแคว้นต่างๆ เคลื่อนพลบุกเข้าตีเผิงเฉิงเมืองหลวงของแคว้นฉู่แตก

     แม้ทหารองครักษ์ได้คุ้มครองหยูจีและครอบครัวของเซี่ยงหยี่หนีออกไปได้ก่อนทัพหลิวปังเข้าเมือง แต่ครั้นเมื่อเซี่ยงอี่ทราบข่าวก็ทั้งตกใจและทั้งโกรธแค้น จึงเร่งนำทัพกลับมาโจมตีกองทัพหลิวปังจนแตกพ่ายยับเยิน ไล่เข่นฆ่าสังหารไพร่พลหลายแสนคนของอีกฝ่ายแทบหมดกองทัพ ขนาดหลิวปังเองยังต้องปลอมตัวเพื่อหนีกลับไปเสฉวนอย่างหัวซุกหัวซุน

     จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉ้อปาอ๋องนำนางหยูจีผู้เป็นชายาติดตามไปด้วยทุกแห่ง และจากนั้นสงครามใหญ่ระหว่างฉู่และฮั่นก็เริ่มขึ้น ทั้งสองฝ่ายผลัดแพ้ผลัดชนะหลายครั้ง ทว่าเนื่องจากการที่เป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง ฉ้อปาอ๋องจึงมักไม่ฟังความเห็นของผู้อื่น  ต่อมา เกิดขัดแย้งรุนแรงกับฟ่านเจิง ทำให้อีกฝ่ายโกรธจัดจนล้มป่วยและเสียชีวิตลง การตายของฟ่านเจิงซึ่งเป็นทั้งที่ปรึกษาใหญ่และพ่อบุญธรรม (คนผู้นี้ได้รับการยกย่องว่า มีสติปัญญาไม่แพ้ใคร หากคนผู้นี้ยังอยู่ไม่แน่ว่า ฉ้อปาอ่องจะปราชัยในตอนท้าย)  ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลกระทบกับเซี่ยงอี่ไม่น้อย เมื่อขาดคนที่กล้าตักเตือนอย่างฟ่านเจิง ทำให้ผลการรบกับหลิวปัง ฝ่ายฉ้อปาอ๋องต้องตกเป็นรองอยู่เสมอๆ

     แต่การศึกก็ยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะโดยเด็ดขาด ฉ้อปาอ๋องเซี่ยงอี่กับฮั่นอ๋องหลิวปังทำศึกกันต่อเนื่องหลายปี แม้จะชิงแผ่นดินมาได้มากกว่าแต่เซี่ยงอี่ก็ไม่อาจเอาชนะหลิวปังได้ จนท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายจึงคิดจะตกลงทำสัญญาสงบศึกและแบ่งแผ่นดินกันโดยใช้คลองหงโกวเป็นเส้นแบ่ง ดินแดนทางตะวันตกเป็นของฮั่น ทางตะวันออกเป็นของฉู่

     หลังจากทำสัญญาสงบศึกแล้ว ทัพฉู่ก็ถอนกำลังกลับ แต่หานซิ่นซึ่งยามนั้นยังคุมเชิงอยู่ทางเหนือ กลับส่งกองทัพลงมาโจมตีทัพฉู่แบบไม่ให้ตั้งตัว จากนั้นฝ่ายฮั่นได้ระดมกำลังเกือบห้าแสนเข้าตีตลบหลังทัพฉู่ซึ่งมีกำลังหลงเหลือเพียงหนึ่งแสนเพราะบางว่วนทยอยเดินทางกลับไปแล้ว จนท้ายที่สุด กองทัพของฉ้อปาอ๋องก็ถูกปิดล้อมในหุบเขาที่ไกเซี่ย (อยู่ในมณฑลอันฮุย)

     เขาคิดจะตีฝ่าแต่ก็เป็นห่วงหญิงคนรักที่เอาร่วมทัพมาด้วย ในขณะที่เข้าไปโอบกอดสตรีอันเป็นที่รักท่ามกลางวงล้อมศัตรูรายรอบ  เซี่ยงอี่ร้องเพลงที่มีความหมายถึงวาระสุดท้ายของชีวิตตนเอง ซึ่งเรียกว่า "เพลงแห่งไก่เซี่ย" (Song of Gaixia, 垓下歌) ที่อาจถอดความหมายได้ว่า

力拔山兮氣蓋世      時不利兮騅不逝
騅不逝兮可奈何      虞兮虞兮奈若何

คำแปล
เรี่ยวแรงของข้า มหาศาลดุจขุนเขา  จิตวิญญาณของข้าเคยหล่อเลี้ยงยุคสมัย
ในเวลาอันมืดมิดนี้ แม้แต่ม้าของข้าก็พาข้าหนีไปไม่ได้ แต่ยามนี้สิ่งเหล่านี้จะมีความหมายอันใด
โอ้ หยูจีที่รักของข้า ชะตากรรมเจ้าจะเป็นเช่นใด


    เมื่อได้ฟังหยูจี ซึ่งรู้ใจสามีเป็นที่สุด จึงตัดสินใจกระทำบางอย่างเพื่อไม่ให้สามีเป็นกังวล เพราะนางรู้ดีว่าหากนางยังมีชีวิตอยู่ เซียงอี่ไม่มีวันทิ้งนางไปไหนแน่  นางจึงขับรำนำสุดท้ายให้สามีฟังว่า
"ทัพฮั่นรายล้อมล้วน ถ้วนทุกทิศ
พลปลงปิด ด้วยเพลง ฉู่น่าอดสู
ใต้เท่าท่าน กลับถอนใจ ไม่คิดสู้
แล้วตัวตู ข้าจะอยู่ ไปใยกัน?"

     ขณะเซี่ยงอี่กำลังตะลึงถึงเนื้อความลำนำที่สตรีอันเป็นที่รักขับกล่อม นางหยูจีหญิงงามใจเด้ดก็คว้ากระบี่ของชายคนรักมาเชือดคอตัวเอง สิ้นใจตายไปต่อหน้าสามี เพื่อหวังให้สามีหนีเอาชีวิตรอดและกลับมาสู้ในสภาพที่พร้อมกว่านี้ แต่ฉ้อปาอ๋องเศร้าเสียใจมากกับการตายของนาง และตัดสินใจนำทัพที่หลงเหลือน้อยกว่าสู้ตายกับกองทัพฮั่น



     ท้ายสุด ทัพฉ้อปาอ๋องถูกรุกไล่จนต้องถอยมาจนถึงฝั่งแม่น้ำอู่เจียง พร้อมม้าคู่ใจและทหารเพียงน้อยนิด เบื้องหน้าเป็นแม่น้ำกว้าง เบื้องหลังเล่ากองทัพฮั่นนับแสนที่นำโดยหลิวปังและหานซิ่นกำลังไล่ตามมา ฉ้อปาอ๋องยืนอยู่กับเหล่าทหารคู่ใจ ทุกคนเลือดโทรมกายเสื้อเกราะฉีกขาด ก่อนที่ทัพฮั่นจะมาถึง พลันปรากฏเรือแจวหนึ่งลำอาสาพาปาอ๋องข้ามฟากเพราะตัวคนแจวนั้น เป็นสายเลือดแคว้นฉู่ จึงคิดช่วยเหลือทัพฝ่ายตนเอง และขอเพียงข้ามแม่น้ำไปได้ ก็เชื่อว่าด้วยความสามารถของเซี่ยงอี่น่าจะหลบหนีต่อไปจนกลับกระทั่งกลับถึงแคว้นฉู่ฐานที่มั่นของตนเอง

     “ท่านอ๋อง แม้วันนี้ฝ่ายเราจะพ่ายแพ้แต่แผ่นดินก็ยังอยู่ ขอท่านกลับถึงแคว้นฉู่ วันหน้าก็ยังมีความหวังที่จะกลับมาชิงแผ่นดินคืน” เหล่าทหารอ้อนวอนผู้เป็นจอมทัพ แต่ฉ้อปาอ๋องเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูงความพ่ายแพ้ครั้งนี้ใหญ่หลวงทำลายความภาคภูมิใจของเขาจนหมดสิ้น อีกทั้งยามนี้ หญิงอันเป็นที่รักก็ได้ตายไปแล้ว แม่ทัพหนุ่มก็หมดกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป

ในมือเขากำกระบี่เล่มเดียวกันกับที่หญิงที่ตนรักกระทำเพื่อหวังให้เขายังมีชีวิตรอดต่อไปโดยใช้กระบี่เล่มนี้เชือดคอตัวเอง
เชี่ยงอี่ก็กระทำดุจเดียวกัน เมื่อสิ้นนางแล้วโลกนี้ก็ไม่มีสิ่งใดคู่ควรให้คนอย่างเขาอาวรณ์ แม้แต่ความยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน
ฉ้อปาอ๋องเชือดคอตัวเองตายที่ริมน้ำอู่เจียงในวันนั้น ปิดตำนานการช่วงชิงความเป็นใหญ่ของลูกผู้ชายชาตินักรบอย่างลือลั่น


     อย่างที่บอกตอนต้น ชื่อเสียงเหล่าหญิงงามแห่งแผ่นดิน มิได้ถือเป็นชื่อเสียงที่ดีงาม เพราะในคำยกย่องความงามของรูปร่างอิสตรีเหล่านี้ แฝงความหมายให้ร้าย กล่าวหาพวกนางว่าเป็นตัวการทำใช้สิ้นชาติเสียแผ่นดินด้วย ผมเคยเขียนบทความเรื่องหยางกุ้ยเฟย หนึ่งในสี่หญิงงามนางหนึ่งไปเมื่อนานมาแล้ว คราวนี้หยิบ หยูจี ขึ้นมาเขียนอีกคน อารมณ์ก็ไม่ต่างกันเลย คือสงสารสตรีเหล่านี้ แต่คราวนี้มีอะไรที่แตกต่างจากคราวที่แล้ว

     ต่างจากหยางกุ้ยเฟยซึ่งโดนชายรอบข้างเข้ามากระทำโดนไม่อาจแข็งขืน เรียกว่ามีแต่ใคร่แต่ไร้ซึ่งความรัก แม้แต่ความตายกุ้ยเฟยก็ถุกยัดเยีบดให้โดยที่นางไม่ได้เป็นฝ่ายเรียกร้อง แต่หยูจี เป็นสตรีที่มอบกายใจให้ชายที่ตนรักเพียงรายเดียว และเป็นฝ่ายสละชีวิตตนเองเพื่อหวังให้ชายที่ตนรักรอด ในเรื่องราวที่มีรัก กับไร้รัก ความสะเทือนใจมันจึงแตกต่างกัน
  
     เรื่องราวของหยูจีกับเซียงอี่แบบนี้ ผมจึงไม่เห็นด้วยกับนักประวัติศาสตร์ ที่เอาเรื่องความรักอันสวยงามระหว่างฉ้อปาอ๋องกับนางหยูจี มาเป็นต้นเหตุของการล่มเมือง และตั้งฉายาให้กับสตรีที่จิตใจดีงามเช่นนี้ นักประวัติศาสตร์ก็จิตใจอำมหิตเกินไปนะครับ ที่มาให้สมญา นางามล่มเมือง กับสตรีผู้อ่อนแอและยินดีสละชีวิตเพื่อชายที่ตนรัก


     เช่นเคยนะครับ อ่านแล้วไม่จำเป็นต้องเชื่อผม ผมอ่านมาแบบไหนก็เรียบเรียงออกมาตามความเข้าใจของผม โดยใช้ภาษาของผมเอง สำหรับนางหยูจีและฉ้อปาอ๋องแล้ว ผมเห็นว่านักประวัติศาสตร์รังแกคนตายเกินไปครับ ส่วนพรุ่งนี้ผมจะพาไปดูงานเมกะโปรเจคเมื่อหลายพันปีก่อนบ้าง ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ทำแล้วได้อะไร ใครได้ประโยชน์ ใครสูญเสีย รออ่านกันได้ครับ

ขอบคุณครับ

*แก้ไขคำผิด
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ขอบคุณค่ะพี่พระรองสำหรับบทความดีๆ

นักประวัติศาสตร์ใจร้ายจริงหากจะเรียกนางงามล่มเมือง เพราะนางไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้ฉู่แพ้ฮั่นอย่างสิ้นเชิง
แม่นางหยูจีนอกจากงดงามแล้วยังเป็นสตรีที่ใจเด็ด ติดตามเซี่ยงอวี่ไปในสงครามทุกหนแห่ง เป็นเพื่อนคู่คิด
ไม่ทำตัวน่ารำคาญ เป็นภาระ หรือชวนให้ปวดเศียรเวียนเกล้าเหมือนสตรีทั่วไป

ถึงกับมีคำกล่าวว่า เซี่ยงอวี่ได้ครองของวิเศษอยู่ 2 สิ่ง นั่นคือยอดอาชาแห่งยุค และยอดหญิงงามแห่งยุค




มิหนำซ้ำช่วงสงครามฉู่-ฮั่นที่ยืดเยื้อ เซี่ยงอวี่เป็นคนใจร้อน เจ้าอารมณ์ มักตำหนิ ลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชา
อย่างรุนแรง ก็ได้หยูจีคอยปลุกปลอบให้สงบสติอารมณ์ แต่หลังๆ คงจะไม่ไหว เหล่าขุนศึกจึงพากันหนีไป
เข้ากับหลิวปัง



จนกระทั่งทหารฉู่ถูกทหารฮั่นล้อมอยู่ที่ไก่เซี่ย กำลังทหารเหลือน้อย เสบียงร่อยหรอ ซ้ำร้ายพอตกกลางคืน
ก็จะได้ยินเสียงเพลงฉู่ดังมาจากทั้ง 4 ด้าน ทำให้ทหารฉู่ทั้งหลายคิดถึงบ้านเกิดและหดหู่เสียขวัญเพราะคิดว่า
ฮั่นยึดฉู่ได้แล้วหรือไร ถึงกวาดต้อนเชลยแคว้นฉู่มามากมายร้องเพลงได้ขนาดนี้ ทหารมากมายพากันหนีทัพ

แต่ความจริงแล้วเป็นกลอุบายของทัพฮั่นที่ให้ทหารฮั่นร้องเพลงแคว้นฉู่นั่นเอง ตรงนี้มีสุภาษิตจีนที่ว่า
”ซื่อเมี่ยนฉู่เกอ” หรือ ”เสียงเพลงรัฐฉู่ดังทั่วทั้งสี่ทิศ” หมายถึงถูกตีโอบทั้งสี่ด้าน หรือประมาณว่าทำการสิ่งใด
แล้วมีอุปสรรคใหญ่หลวง งานเข้าทุกทิศทาง อะไรประมาณนั้น


四面楚歌 The songs of Chu all around

https://www.youtube.com/watch?v=vVqSkVbXDoA
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ



จนในที่สุดเกิดเหตุการณ์บทเพลงไก่เซี่ยและชายาหยูจีฆ่าตัวตายเพื่อให้เซี่ยงหยี่ไม่ต้องพะวงเป็นโศกนาฏกรรม
รักในระหว่างรบดังกล่าว

ความคิดเห็นที่ 1
ขอน้อมคารวะครับ ท่านพระรอง ที่นับถือเสมอมาครับ

แก่นของหัวข้อ คือ " ความงามของสตรี ที่มีพลานุภาพ " หากเทียบเคียงกับปัจจุบัน อนาคต ด้วยเรื่องราวจากอดีต

ผู้น้อยคิดว่า ความรักจากสตรี หากลงตัว ก็คือ แรงผลักดันมหาศาล  เป็นสายลมใต้ปีก
แต่หากไม่ลงตัว  ก็คืออเวจีสำหรับผู้ชาย ที่ฉุดดึงลงสู่ ห้วงรักเหวลึก

คำพูด คำคมที่ว่า ความสำเร็จของบุรุษ มีสตรีอยู่เบื้องหลัง  เป็นที่ได้รับการยอมรับตลอดมา อย่างไม่มีใครโต้แย้ง หรือแม้แต่โต้เถียง

หากพูดตามสำนวนกำลังภายในของท่านโกวเล้ง ก็ต้องพูดว่า " อาวุธ " ของสตรีนั้นมีมากมาย
( มีรายละเอียดในเรื่อง ฤทธิ์มีดสั้น ที่ท่านโกวเล้งบรรยายถึงอาวุธของ สตรี ที่แม่นางลิ่มเซียนยี้ ดึงออกมาใช้กับบุรุษแต่ละประเภท )


ท่านโกวเล้ง ถึงกับกล่าวว่า หากบุรุษใดคิดว่าสามารถเอาชนะสตรีได้ ถือว่ามันผู้นั้นกำลังฝันเพ้อและเป็นความคิดที่โง่งม

ยกตัวอย่างเทียบเคียงเหตุการณ์ปัจจุบัน เป็นกรณีศึกษา ผู้น้อยชอบ " ความนิ่งสงบ " ของท่านปู  
ไม่ว่าเวลานี้ทุกสรรพสิ่ง  ที่ประเด ประดังเข้ามา จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่หลังจากอ่อนกำลังลง
และฝ่ายนั้นทุ่มเทสภาวะกำลังออกมาจนหมด ภาพช่องว่าง จุดโหว่จะปรากฏครับ

สำหรับผมแล้ว " สตรี " มีอำนาจทุกคน สตรีทุกๆคน ต่างสามารถใช้อำนาจนี้เพื่อสร้างสรรค์ หรือทำลายก็ได้

กับสตรีแล้ว ผมถือว่าเป็นเรื่องสืบค้นที่ " ลึกลับ " สตรี คือเรื่องลึกลับ มาทุกยุค ทุกสมัยครับ ท่านพระรอง

ไม่ว่าจะเป็น เนเฟอร์ตีติ แห่งอียิปต์ เฮเลน แห่ง ทรอย และคลีโอพัตรา
รวมไปถึง แม่นาง ไซซี   หวังเจาจวิน  เตียวเสี้ยน   หยางกุ้ยเฟย และท่านแม่นาง หยูจี ที่ท่านพระรองเขียนถึงครับ

สำหรับสภาวะ อดีตบ้าง ปัจจุบันบ้าง เช่น  ดวงตาของ คุณไอสวรรยา ไรย์ นางเอกแห่งบอลลีวู้ด ดวงตาของเธอนั้นสวยพริ้งมาก
ดวงตาเธอสลับสีระหว่างสีเทา สีน้ำตาล สีเขียว ดวงตาเธอกลมโตได้รูป
ส่วนดวงตาสตรีนางอื่นๆก็เช่น อลิซาเบธ เทเลอร์

ต่อมาคือริมฝีปาก อันว่ากันว่าเป็นอวัยวะที่สุดแสนที่จะเซ็กซี่ เพราะอวบอิ่ม  นี่ต้องยอมรับนับถือว่า
ในยุคนี้ไม่มีริมฝีปากใครสวยงามเกิน คุณแองโจลิน่า โจลี่

ต่อมาคือเรือนร่าง  ยกตัวอย่างเพียงคนเดียวก่อนคือ คุณเจสสิก้า อัลบ้า

ส่วนสะโพก  คุณเจโล เจนนิเฟอร์ โลเปซ  นี่คือจุดพักสายตาของบุรุษโดยแท้

ส่วนกริยาเพียงนิดหน่อย ก็สามารถกระชากจิตใจบุรุษให้อ่อนลง ปานดินเหลวได้ เช่น

สตรีนามมะหมี่ หรือ เมขลา แห่ง ภาพยนต์เรื่อง แม่เบี้ย สตรีนางนี้ ใช้กระบวนท่า สวมผ้าซิ่นเปิดไหล่นั่งขูดมะพร้าวสะท้านทรวงเปิดเผยอกอวบอิ่มผิวสีแทนอันเย้ายวนใจของนาง จนหัวใจบุรุษโดนนางสั่นคลอนให้ไหวหวั่น และเสียศูนย์

สตรีอีกนางคือ ชารอนสโตน ในบท แคทเธอรีน ในภาพยนต์เรื่อง Basic Instinct สตรีนางนี้สวมชุดรัดรูป นั่งไขว้ห้างใช้ดวงตาที่วาบหวามเปี่ยมเสน่ห์ของสตรีเพศมองสบตาผู้นั่งตรงข้าม นางใช้กระบวนท่านั่งไขว้ห้างสับขาหลอก  ต่อหน้า นิค ( ไมเคิล ) จนชีวิตของนิค
ตกลงไปสู่ห้วงรักเหวลึกที่ถอนตัวไม่ขึ้น สุดท้ายอนาคตต้องดับวูบเป็นอาชญากร

สำหรับผู้น้อยแล้ว  สตรีมีอานุภาพที่น่าเกรงขามทุกคนครับ ท่านพระรอง รวมถึงสตรีในบอร์ดราชดำเนินด้วยครับ

ขอน้อมคารวะครับ  



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่