*** ศึกป่วนเทพคัมภีร์สังหาร : ตอนที่ 11.1 กองทัพตอริกถล่มหมู่บ้านแอนนา ***

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 11.1 กองทัพตอริกถล่มหมู่บ้านแอนนา



               เมื่อทาเคชิเข้ามาบริหารงานที่บริษัทร่วมกับฮานะน้องสาวของตน ก็พบว่าสถานการณ์ของบริษัทค่อนข้างร้ายแรงยอดการสั่งสินค้าจากต่างประเทศลดลง นั้นเป็นเพราะการทำงานที่ล้าช้าของพนักงานจัดส่งสินค้า สินค้าบางรายการไม่ได้คุณภาพเหมือนแต่ก่อน จนทำให้ลูกค้าหลายราย เปลี่ยนเจ้าใหม่แบบไม่บอกกล่าว  สินค้าที่ค้างสต๊อกจึงมีมากมาย การลงทุนผลิตสินค้าที่จ่ายไปจึงไม่เห็นผลกำไร เมื่อสะสมมานานจึงกลายเป็นหนี้สินกองโตขึ้นมาโดยไม่รู้ด้วย

               บิดาของตนขาดการบริหารจัดการที่ดี จึงทำให้พนักงานที่อยู่มานานรู้ช่องทางยักยอกเงินในบริษัท  ทาเคชิวางแผนสืบหาผู้ร่วมขบวนการที่ฉ้อโกงครั้งนี้ จนจับพนักงานที่ฉ้อโกงเงินบริษัทได้ และส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย  เขาเข้ามาบริหารบริษัทได้สามเดือนก็สามารถฟื้นฟูบริษัทให้กลับมาเป็นที่ยอมรับจากลูกค้ารายเก่าได้มากขึ้น และยังได้ลูกค้ารายใหม่ที่อยู่ในเมืองไทยเพิ่มหลายราย

“พี่คิดว่าเดือนหน้าเราคงพอมีเงินจ่ายเจ้าหนี้ได้ครึ่งหนึ่งก่อน อีกที่เหลือพี่ว่าน่าจะคุยกับเขาได้ ขอผลัดไปก่อนสักสามสี่เดือนไม่น่าจะมีปัญหา”  ทาเคชิพูดกับน้องสาว  ฮานะนั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงานของพี่ชาย เธอพยักหน้ารับเล็กน้อย

“ถ้าพี่ไม่กลับมาช่วย ฮานะก็ไม่รู้ว่าจะรักษาบริษัทของพ่อไว้ได้อย่างไร”

“อย่าพูดอย่างนั้นน้องพี่ พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษน้อง ปล่อยให้น้องทำงานหนักอยู่เพียงคนเดียว”  ทาเคชิพูด ในใจรู้สึกสำนึกผิด ที่ปล่อยให้น้องสาวของตนต้องเป็นฝ่ายแบกรับภาระทั้งหมด ซึ่งเขาเป็นพี่คนโตกลับหนีเอาตัวรอดไปสบายอยู่ที่เมืองไทย

เขานั่งเพ่งพิศนิจมองดูน้องสาวของตัวเองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสาวน้อยสวยสดใส และมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอตลอดเวลา แต่ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะเป็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่มีใบหน้าอมทุกข์ไม่สดใสเหมือนก่อน  เส้นรอยตีนกาเผยให้เห็นเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาทั้งสองข้าง บ่งบอกถึงอายุที่เพิ่มมากขึ้นของน้องสาว เมื่อคิดได้แบบนี้ก็ทำให้ผู้เป็นพี่ชายรู้สึกหดหู่ใจ “เราควรยืนหยัดต่อสู้ ไม่ใช่หนี” ทาเคชินึกด่าทอตัวเองในใจ
  
“พี่ทาเคชิทำถูกแล้วค่ะ การถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก มันช่างทุกข์ทรมานเหลือเกิน”  ฮานะพูดเสียงสั่นเครือ แต่กลับฟังดูเรียบเฉยเย็นชาในสิ่งที่ตนพูดออกไป

               ฮานะก็โดนพ่อบังคับให้แต่งงานกับคนที่ตนไม่ได้รักเช่นกัน แม้เธอจะอ้อนวอนบอกผู้เป็นพ่อเพียงใดแต่ก็ไม่ได้ผล เธอมีชายที่เธอรักอยู่แล้ว การต้องแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รักมันเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด และผู้ที่หยิบยื่นความเจ็บปวดนี้มาให้เธอคือผู้เป็นพ่อ ผู้ที่บงการทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเธอ  เธออยากเรียนศิลปะ แต่ผู้เป็นพ่อก็บังคับให้เรียนบริหาร เธอเรียนตามใจพ่อ เมื่อจบออกมาก็บังคับให้เธอแต่งงานทั้งที่เธอคือบอกพ่อเอาไว้แล้วว่า

“พ่อจะบงการอะไรในชีวิตหนู หนูยอมทุกอย่าง แต่หนูขออย่างเดียวอย่าบังคับให้หนูแต่งงานกับคนที่หนูไม่ได้รัก เหมือนที่พ่อบังคับพี่ทาเคชิ”

คำร้องขอของเธอถูกเมิน และนี้ก็ทำให้เธอเกลียดชังผู้เป็นพ่อมาโดยตลอด ฮานะแต่งงานได้สามปี สามีของเธอก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ นับตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่คิดอยากจะแต่งงานอีกเลย เธอครองตัวเป็นโสดมาตลอดจนอายุล่วงเลยมาสี่สิบสองปี

“น้องยังโกรธพ่ออยู่รึ”   ทาเคชิเอ่ยถามน้องสาว เพียงแค่มองแววตาเขาก็ล่วงรู้ความคิดของผู้เป็นน้องแล้ว

“ตลอดเวลา”  ฮานะตอบกลับเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกใดๆ

“ตอนนี้พ่อก็ตายไปแล้ว น้องควรยกโทษให้พ่อได้แล้วนะ”

“เขาพรากความสุขเดียวที่น้องมีไปจากน้อง ความสุขเพียงเล็กน้อยของลูกสาวที่จะได้อยู่กับคนที่ตัวเองรัก แค่เพียงนี้เขายังให้น้องไม่ได้  น้องไม่มีวันให้อภัยเขา”  ฮานะพูดขึ้นน้ำเสียงแข็งขึ้ง ดวงตาเริ่มแดงก่ำ

“ฮานะ”  ทาเคชิเรียกชื่อน้องสาวเสียงอ่อนโยน  เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้หวังจะเดินมาปลอบน้องสาว แต่ฮานะก็ชิงลุกขึ้นยืนเช่นกัน

“ฮานะอาจจะยกโทษให้เขาถ้าเขาลุกขึ้นมาขอโทษฮานะ”  เธอพูดขึ้นอีกครั้งก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกจากห้องทำงานของพี่ชายอย่างรวดเร็ว แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลพรากทันทีเมื่อเดินพ้นห้องพี่ชาย

ทาเคชิได้แต่ยืนระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สำนึกในภารกิจของตัวเองอีกอย่างคือการสานสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นกับคนตายให้กับมาดีกันอีกครั้งให้ได้

               ยูไดเข้ามาช่วยงานที่บริษัทปู่ในแผนกตรวจสอบและเช็คสต๊อกสินค้า เขาทำงานเหมือนคนงานทั่วไปๆ และเขาไม่เคยบอกใครว่าเขาเป็นหลานของผู้บริหารที่เพิ่งเสียชีวิต มีพนักงานเพียงไม่กี่คนที่รู้ แต่พอเขาทำงานไปได้ไม่นานคนทั้งบริษัทก็รู้จักเขาหมด

               หลังเลิกงานยูไดต้องไปเรียนพิเศษเพื่อปรับพื้นฐานก่อนเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย เขาเรียนพิเศษตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงสองทุ่ม

               ยูไดเดินอยู่บนถนนในซอยเล็กๆซอยหนึ่งซึ่งมีแสงไฟส่องตามไล่ทาง เป็นแสงสีเหลืองส้มส่องสลัวอาบร่างของชายหนุ่มที่ซ่อนกายอยู่ในเสื้อกันหนาวขนสัตว์สีน้ำตาล มีผ้าพันคอพันไว้รอบลำคอเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย บนศีรษะยังมีหมวกไหมพรมสีฟ้า ทุกส่วนในร่างกายของเขาถูกอาภรณ์เครื่องนุ่งห่มปกคลุมเข้าไว้เพื่อหลีกหนีอากาศหนาวเย็นที่แทรกซึมลึกเข้าไปถึงเส้นเลือดเขา

               ยูไดเร่งฝีก้าวเดินอย่างรวดเร็วเพื่อจะกลับให้ถึงบ้านก่อนที่ตัวเองจะแข็งตายเสียก่อน  อากาศในยามค่ำคืนหนาวจนแทบไม่มีใครออกมาเดิน บรรยากาศที่ซอยเล็กแห่งนี้จึงเงียบไร้สุ้มเสียงใดๆ จะมีก็เพียงเสียงรองเท้าหนังของเขาที่ดังกระทบพื้นอยู่เป็นระยะ แว่วเสียงสายลมประหลาดดังกระทบเข้าหูเขา ยูไดหันมองซ้ายขวาก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตนอกจากเขาคนเดียว

“อะไรมันจะหนาวขนาดนี้ว่ะ”   ยูไดเอ่ยพึมพำ พร้อมกับใช้มือทั้งสองถูกันไปมาเพื่อทำให้มืออุ่นขึ้น เขาพ่น ลมหายใจออกมาเกิดเป็นควันสีขาวลอยพวยพุ่งออกจากปากและจมูก ร่างกายของเขาเริ่มสั่นสะท้านเพราะความหนาวที่แทรกซึมผ่านเสื้อกันหนาวเข้ามาถึงผิวหนังซึ่งอยู่ภายใน แต่ฝีเท้าของเขายังคงก้าวเดินอย่างฉับไวไม่ทีท่าจะหยุด

“จะรีบไหนว่ะ ไอ้หน้าจืด”  เสียงหนึ่งดังแว่วมาจากด้านหลังเขา

ยูไดหันกลับไปดูตามเสียงนั้น และเขาก็เห็นวัยรุ่นสี่คน ใบหน้าบ่งบอกถึงความไม่เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาทั้งสี่เบ้ปากใส่เขาก่อนจะเคลื่อนตัวมายืนล้อมตัวยูไดไว้

“อ่อ อยากเล่นม่อญซ่อนผ้าก็ไม่บอก”  ยูไดพูดกับพวกเขาทั้งสี่เป็นภาษาไทย แล้วนั้นก็ทำให้ทั้งสี่หัวเราะร่าอย่างพอใจก่อนที่คนหนึ่งจะพูดขึ้นว่า

“ไอ้ต่างด้าว มันพูดภาษาต่างดาวว่ะ”

“เอ่อ กูพูดภาษาต่างดาว แต่กูดันเข้าใจที่พวกเมิงพูดว่ะ”  คราวนี้ยูไดพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น  พวกเขาทั้งสี่คนฟังรู้เรื่องและไม่รอให้ ยูไดได้พูดเป็นครั้งที่สอง หมัดใหญ่ของใครคนหนึ่งก็พุ่งตรงใส่หน้ายูไดเต็มแรง คนถูกต่อยเซถอยหลัง เลือดที่มุมปากไหลย้อยออกมา ยูไดใช้มือปาดเลือดออก เลือดในกายชายหนุ่มพุ่งพล่านเขาส่งสายตาอาฆาตแค้นไปยังคนที่ต่อยเขา

               ไม่ต้องรอให้อีกคนได้พุ่งหมัดมาเป็นครั้งที่สอง ยูไดพุ่งตัวสวนหมัดเข้าใส่คู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็ทำได้เพียงชกเข้ากับอากาศ คู่ต่อสู้ของเขาเพียงแต่เหวี่ยงตัวหลบหลีกหมัดของยูไดไปมาก็หลบได้อย่างง่ายดาย พวกเขาทั้งสี่ได้แต่ยืนหัวเราะกับความอ่อนหัดของยูได  ยูไดหมุนตัวซ้ายขวา กำปั้นหมัดใหญ่ชกไปมั่วอย่างไร้ทิศทาง

หนึ่งในสี่คนนั้นยกเท้าเตะเข้าที่กลางลำตัวยูได และอีกคนรุมชกเข้าที่หน้าของยูไดหลายหมัด  ยูไดจับคอเสื้อของอีกฝ่ายก่อนจะสวนกำปั้นซัดใส่หน้าคู่ต่อสู้เต็มแรง

“ไอ้พวกหมาหมู่”  ยูไดพูดขึ้นเสียงดัง เลือดสีแดงไหลหยดออกจากปาก เขาถ่มเลือดอีกส่วนหนึ่งที่ยังติดค้างอยู่ในปากลงบนพื้นถนน

“หมาหมู่แล้วไงว่ะ หยอกล้อเล่นนิดเดียว อย่าเอะอะไปหน่อยเลย ไม่เอาน่าไอ้หนู”  ชายร่างใหญ่ที่สุดใหญ่กลุ่มพูดขึ้นพลางกับยิ้มแสยะ ก่อนจะใช้กำปั้นชกเข้าที่ท้องของยูไดอีกหนึ่งที ยูไดต้องคดตัวงอลงเพราะความเจ็บปวด

ยังไม่ทันให้ยูไดหายจากอาการเจ็บปวด อีกคนก็เข้ามาล็อกคอยูไดไว้ แล้วปล่อยให้ชายร่างใหญ่กับเพื่อนอีกสองคนสลับสับเปลี่ยนกันเข้ามาต่อย  พวกมันต่อยทั้งหน้าและท้องของคนที่ถูกพันธนาการรัดขึงไว้ราวกับเป็นเพียงกระสอบทรายที่เอาไว้ซ้อมมวยเท่านั้น

ยูไดไร้แรงขัดขืน เขาปล่อยให้พวกมันกระหน่ำหมัดใส่จนสาแก่ใจ ร่างกายของเขาบอกช้ำระบมไปทั้งตัว ดวงตาทั้งสองข้างเขียวฟกช้ำ ใบหน้าบิดเบี้ยวเกิดบาดแผลทั่วทั้งหน้า สติสัมปชัญญะของเราเริ่มจะเลือนหาย

“ปล่อยมันเถอะ เดี๋ยวก็ได้ตายก่อนพอดี”  หนึ่งในสี่คนนั้นพูดขึ้น  คนที่ล็อกคอยูไดจึงปล่อยมือออกทันที ร่างที่ถูกซัดปางตายร่วงหล่นลงไปนอนกองที่พื้น ไร้การต้านทานที่จะยืนหยัดราวกับเป็นเพียงเศษชิ้นเนื้อที่ถูกแล่แล้วโยนลงทิ้งไว้กลางทางรอผู้คนมาพบแล้วหยิบจับมันกลับไป

“สะใจโว้ย”  ชายที่ปล่อยร่างเขาล่วงหล่นพูดขึ้นก่อนจะใช้เท้าเตะเข้าที่กลางหลังยูไดอีกสองที

“ไม่สนุกเลยว่ะ ไอ้นี้อ่อนหัดซะมัด ออกแรงยันไม่ทันเหงื่อออก มันก็ลงไปนอนกองที่พื้นซะแล้ว”  ชายร่างใหญ่พูดขึ้น

“ไปกันเถอะ หาเหยื่อรายใหม่ดีกว่า”  มันพูดขึ้นอีกครั้ง ก่อนกวักมือเรียกเพื่อนๆที่เหลือ ให้เดินตามตนมา  ทั้งสี่เดินมุ่งหน้าออกจากซอยเพื่อหาเหยื่อรายใหม่ แต่เดินไปได้เพียงแค่สามก้าว แสงไฟจากเสาไฟฟ้าก็กระพริบรี่ลง คล้ายจะดับ และไม่นานไฟทั้งหมดก็ดับลง ในซอยพลันมืดสนิทขึ้นมาทันที

“เกิดอะไรขึ้นวะ” เสียงหนึ่งพูด

“จะอะไรก็ไฟดับน่ะซิ เมิงโง่รึไง ก็เห็นอยู่ว่ามันดับ”

“แล้วมันจะดับได้ไงวะ เส้นทางนี้กูผ่านมาสิบปีไม่เคยมีไฟดับนะโว้ย”

สองคนนั้นยังคงยืนเถียงกัน แต่อีกสองคนกลับหันมาดูเศษชิ้นเนื้อที่พวกเขาแล่ทิ้งไว้ และสิ่งที่พวกเขาเห็นคือร่างของชายหนุ่มที่ยืนนิ่ง สายตาจ้องเขม็งมาที่พวกเขาทั้งสี่คน

“มันอยากเจ็บตัวอีกรึไง เดี๋ยวจัดให้”  ชายร่างใหญ่พูดขึ้นก่อนจะรีบสาวเท้าเดินตรงเขาไปหายูได

ยังไม่ทันที่เขาจะเดินถึงตัวยูไดหลอดไฟฟ้าทุกหลอดที่อยู่บนเสาก็แตกกระจาย กระเด็นหล่นลงบนพื้น สร้างความตื่นตกใจให้กับพวกเขาทั้งสี่เป็นอย่างมากกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาต่างจับจ้องมาที่ยูได

“หึ หึ”  ยูไดแค่นเสียงหัวร่อในลำคอ แต่คล้ายกับกลายเป็นเสียงที่ดังสะท้อนก้องไปทั่วทั้งซอย

“สงสัยไอ้หมอนี่มันอยากจะตาย”   ชายร่างใหญ่พูดขึ้นเสียงดัง ก่อนจะวิ่งกำหมัดแน่นหมายจะชกเข้าหน้าอีกฝ่าย แต่ยังไม่ถึงร่างของยูได  เขาก็ถูกคลื่นพลังบางอย่างซัดใส่ร่าง ส่งตัวเขาลอยละลิ่วกระเด็นไปไกล ชีวิตที่มีเลือดเนื้อกระแทกเข้ากับกำแพงอิฐอย่างจัง เลือดที่ควรอยู่ในร่างกายไหลทะลักออกมาทางปาก ร่างกายเขาบิดเกลียวไปมาอย่างเจ็บปวดทรมาน ก่อนจะหมดสติลงในทันที

               สามคนที่ยืนดูอยู่ต่างพากันเบิกตากว้างด้วยความงุนงงสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของตน ยังไม่ทันที่พวกเขาทั้งสามจะคิดอะไรไปมากกว่านี้

ยูไดก็ซัดลูกไฟสีแดงที่อยู่ในฝ่ามือใส่พวกเขา ทั้งสามกระโดดหลบหลีกได้ทัน และต่างตื่นตระหนกหวาดกลัวกับสิ่งที่เห็น พากันวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง

               ยูไดใช้มือทั้งสองประสานเข้าหากันก่อนจะค่อยๆ ดึงมือออกห่างจากกัน จนเกิดเป็นลูกไฟวงกลมดวงใหญ่อยู่ตรงกลางระหว่างมือทั้งสอง ยูไดเล็งเป้าไปที่พวกเขาทั้งสามหมายจะปลิดชีพพร้อมกันทีเดียว แววตาของเขาเหี้ยมเกรียมไร้ปรานี  ลูกไฟวงกลมดวงใหญ่เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆตามการขยายมือของเขา อาวุธพร้อมอยู่ในมือ เป้าหมายถูกเล็งไว้อย่างแม่นยำ  ยูไดซัดลูกไฟออกจากมือ ลูกไฟดวงกลมลอยทะลุผ่านม่านอากาศที่หนาวเหน็บไปได้เพียงเล็กน้อยก็มอดดับลง พร้อมกับร่างของยูไดที่ล้มลงบนพื้น สติสัมปชัญญะของเขาดับวูบลงทันที


*****
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่