บุหลันลายโศก บทที่ 1

กระทู้สนทนา
บทที่ 1.

           ศาลาวัดที่เคยโอ่โถงกว้างขวาง ดูเล็กลงไปถนัดตาเมื่อต้องมารองรับแขกจำนวนมากที่เดินทางมาไว้อาลัยให้กับคนที่เพิ่งจากไปเป็นครั้งสุดท้าย พวงหรีดพร้อมข้อความประกาศเกีรยติคุณมากมายล้นหลาม จนพื้นที่ในศาลาใหญ่ไม่พอให้วาง สองข้างทางเดินรวมไปถึงพื้นที่บริเวณหน้าศาลาจึงเต็มไปด้วยสิ่งของแสดงความไว้อาลัย

           ภาพถ่ายขนาดใหญ่ที่วางเด่นอยู่หน้าหีบศพคือผู้หญิงในวัยเลยกลางคนสวมชุดเครื่องแบบเต็มยศประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ใต้ภาพระบุชื่อ คุณหญิงทิพย์นภา วชิรนานนท์

          ใกล้เวลาสวดพระอภิธรรมศพมากแล้วเมื่อหญิงสาวมาถึง ทันทีที่ร่างบางเดินเข้ามาในศาลาดูเหมือนสายตาทุกคู่จะมองตรงมาที่เธอเป็นตาเดียว หากก็ไม่มีสายตาคู่ไหนจะคมกล้าได้เท่าสายตาของภรรยาเอกและลูกสาวของบิดาเธอ หญิงสาวพนมมือไหว้คนทั้งคู่อย่างนอบน้อมคุณประภัสสรยกมือรับไหว้ด้วยสีหน้าราบเรียบต่างจากพริมาบุตรสาวที่นั่งคอแข็งเชิดหน้าอย่างถือตัว คนมาใหม่เดินเลยคนทั้งสองตรงไปหาบุรุษชราที่นั่งสงบอยู่ตรงตำแหน่งประธานของงานข้างกันคือชายในวัยใกล้หกสิบปีผู้ที่มีศักดิ์เป็นบิดาของเธอ หญิงสาวนั่งลงกราบบุคคลทั้งสองอย่างอ่อนน้อม

“ลัลนากลับมาแล้วค่ะคุณปู่” ชายชราทอดสายตามองหน้าหญิงสาวด้วยสีหน้าสงบนิ่งก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ

“มาแล้วเหรอ” เสียงที่แหบปร่าเอ่ยขึ้น

“ลัลนาไปไหว้คุณย่าสะสิลูก” เสียงจากคุณอธิปผู้เป็นพ่อทำให้หญิงสาวขยับถอยจากคนทั้งสองค่อยๆคลานเข่าตรงไปยังบริเวณหน้าหีบศพก่อนจะรับธูปจากใครคนหนี่งที่ส่งให้เธอ หญิงสาวพนมมือขึ้นสายตามองตรงไปยังภาพถ่ายคล้ายกำลังระลึกถึงคนในภาพด้วยความทรงจำที่ลางเลือน ชลัลนาก้มลงกราบเป็นครั้งสุดท้ายหลังจากปักธูปลงในกระถางเป็นที่เรียบร้อย เมื่อกลับมาที่ปู่และพ่ออีกครั้งใครบางก็พูดขึ้นเบาๆว่า

“มาเอาคืนสวดศพคืนสุดท้าย ไม่มาตอนทำบุญครบร้อยวันเลยล่ะ” ชลัลนารู้แม้คนพูดจะพูดลอยๆแต่ก็หมายกระทบกระเทียบเธอโดยตรง

“เบาๆหน่อยยัยแพมเกรงใจคุณปู่ท่านบ้าง” คุณประภัสสรเอ็ดลูกสาวไม่ค่อยจริงจังนัก พริมาสะบัดหน้าตึงๆอย่างไม่สบอารมณ์

“ลัลนามานั่งใกล้ๆพ่อสิ” คุณอธิปว่าพลางยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว ชลัลนาจึงนั่งพับเพียบลงข้างๆเก้าอี้ของบิดา

“เดินทางเหนื่อยมั้ยลูก” คนเป็นพ่อรู้ดีลูกสาวคนเล็กของเขาเพิ่งจะลงจะเครื่องเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมาแล้วตรงมาที่นี่ในทันที เขาไม่เคยถือโทษลูกสาวที่มาเคารพศพของย่าในวันสุดท้ายเช่นนี้เพราะรู้ดีว่าหญิงสาวต้องจัดการเรื่องการงานและอื่นๆอีกหลายอย่างก่อนจะเดินทางมาได้

“นิดหน่อยค่ะ แต่กลัวมาไม่ทันมากกว่า” คนเป็นพ่อส่งยิ้มละมุนให้บุตรสาวอีกครั้งก่อนที่ทุกคนจะเงียบเสียงลงและพิธีสวดพระอภิธรรมก็เริ่มขึ้น

         วูบหนึ่งชลัลนานึกใจหายเมื่อมองดูคนในภาพแล้วเห็นรอยยิ้มแย้มน้อยๆนั้น คุณหญิงทิพย์นภาที่หญิงสาวจำได้คือผู้หญิงที่ทำงานเก่ง เข้มงวด และเจ้าระเบียบอย่างที่สุด แววตาสีนิลคู่นั้นคล้ายจะแข็งกร้าวอยู่ตลอดเวลา ริมฝีปากหยักหนาไม่เคยปรากฏรอยยิ้มสักครั้ง  ใบหน้าเรียบเฉยจนคล้ายจะบึ้งตึงอยู่เป็นนิจ

            คุณหญิงย่าไม่ใช่คนสวยงามโดดเด่น ใบหน้าที่ประกอบด้วยกรามใหญ่ปรากฏมุมเหลี่ยมชัดเจน จมูกใหญ่แม้จะโด่งเป็นสันหากก็มองดูเยอะแยะไปหมดทุกส่วน นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณหญิงทิพย์นภาทุ่มเททุกอย่างให้กับการทำงานจนกลายเป็นข้าราชการชั้นสูงในกระทรวงกระทรวงหนึ่ง ชลัลนาไม่รู้ว่าคุณหญิงทิพย์นภาในบั้นปลายชีวิตนั้นเป็นอย่างไร

           แต่เท่าที่หญิงสาวจำได้ในอดีตคุณหญิงย่าและคุณปู่ของเธอไม่ค่อยจะข้องแวะกันสักเท่าไหร ห่างเหินกันชนิดที่เรียกว่านอนคนละที่ กินข้าวคนละที ถามไม่พูด ไปไหนไม่บอก ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็ยังครองคู่กันมาจนอีกฝ่ายต้องมาตายจากกัน ด้วยเหตุผลอันใดที่ทำให้คนทั้งคู่ต้องหมางเมินกันขนาดนั้นชลัลนาก็สุดรู้ แต่ที่พอจะคาดเดาได้คือความเก่งกาจ เข้มแข็ง ของคุณหญิงทิพย์นภาเจ้าตัวอาจจะสร้างมันขึ้นมาก็เพียงเพื่อเป็นเกาะปกปิดส่วนที่อ่อนแอที่สุดของตนเอาไว้ก็เท่านั้นเอง

“ยังกลับประเทศไทยถูกอีกเหรอ คิดว่าจำไม่ได้สะแล้วว่ายังมีบ้านนี้เมืองนี้อยู่บนโลก” พริมาเอ่ยขึ้นอย่างประชดประชันเมื่อทุกคนเดินออกมาจากศาลาหลังสวดพระอภิธรรมเสร็จสิ้น

“พูดอะไรน่ะยัยแพมน้องเพิ่งกลับมา” คุณอธิปโพล่งคำพูดอย่างไม่พอใจในตัวลูกสาวคนโต

“แตะต้องไม่ได้สินะลูกสาวคนโปรด” คุณประภัสสรรีบกระตุกแขนบุตรสาวทันทีเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นยังไม่ยอมหยุด

“หยุดพูดก่อนได้มั้ยยัยแพม”

“คุณแม่” พริมากระชากเสียงอย่างหัวเสียก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดไปยืนรอที่รถ

“ลัลนากลับรถคันเดียวกับปู่และพ่อแล้วกัน”

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำสั้นๆ ก่อนจะประคองผู้อาวุโสสุดเดินตรงไปที่รถ คุณประภัสสรทนดูภาพนั้นไม่ไหวรีบสาวเท้ายาวๆเดินไปสมทบกับลูกสาวที่ยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว

“คุณแม่ดูยัยลัลนาสิค่ะ ประจบประแจงเอาใจ คุณปู่กับคุณพ่อใหญ่เลย”

“ช่างเขาเถอะน่า เราก็อย่าไปยุ่งกับเขานักเลย”

“นี่คุณแม่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอค่ะ”

“กลับบ้านกันเถอะยัยแพม แม่เหนื่อยแล้ว” คุณประภัสสรไม่ได้ต่อความยาวกับคำพูดของบุตรสาว รีบตัดบทก้าวขึ้นนั่งบนรถ พริมาจึงขึ้นตามมานั่งข้างๆมารดา  รถยุโรปคันหรู่จึงเคลื่อนตัวออกจากวัดช้าๆตามหลังรถอีกคันไป

             ใช่ว่าคุณประภัสสรจะไม่รู้สึกอะไรเลยที่ต้องมาเห็นทายาทของผู้หญิงที่เป็นศรัตรูหัวใจของเธออีกครั้ง ตั้งแต่วันแรกที่คุณอธิปจูงมือเด็กหญิงคนนั้นเข้ามาในบ้านหัวใจของคุณประภัสสรก็ไม่อาจจะปกติสุขอยู่ได้อีกต่อไป เธอไม่เคยรับรู้ถึงอาการนอกลู่นอกทางของสามีเลย จนวินาทีที่รู้ว่าชลัลนาคือลูกสาวของเขากับผู้หญิงอีกคนความรู้สึกของเธอในนาทีนั้นไม่ต่างไปจากสายฟ้าที่ฟัดลงกลางใจในวันที่ไม่มีเค้าลางบอกเหตุอะไรเลย

          คุณอธิปรับชลัลนามาดูแลเพราะแม่ของเด็กหญิงเสียชีวิตลงด้วยโรคร้าย หลังจากวันที่เด็กหญิงเข้ามาในบ้าน บ้านก็ไม่เคยสงบสุขได้อีกเลย พริมาที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว เคยมีพ่อที่รักและตามใจเธอคนเดียวมาตลอด ทำใจยอมรับน้องสาวต่างมารดาที่เข้ามาแบ่งความรักและทุกอย่างจากเธอไม่ได้ พริมาจึงกลายเป็นเด็กขี้อิจฉา เอาแต่ใจ และเจ้าอารมณ์มากยิ่งขึ้น ชลัลนาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านอย่างยากลำบากมีเพียงคุณปวิชผู้เป็นปู่เท่านั้นที่ดูเหมือนจะรักและเอ็นดูเด็กหญิงมากเป็นพิเศษ คุณหญิงทิพย์นภาผู้เป็นย่าก็เอาใจให้ฝ่ายพริมามากกว่าด้วยเห็นแก่คุณประภัสสรสะใภ้เอก   เมื่อพริมาและชลัลนาเข้าสู่วัยรุ่นความขัดแย้งภายในบ้านยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

            จนสุดท้ายคุณอธิปต้องส่งชลัลนาไปเรียนที่อเมริกาและชลัลนาก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเรื่อยมา จนวันนี้วันที่หญิงสาวกลับมาอีกครั้งความขัดแย้ง และความวุ่นวายอย่างในอดีตกำลังจะหวนกลับไปเป็นดั่งเช่นวันวาน

           หลังจากงานพีธีพระราชทานเพลิงศพ คุณหญิงทิพย์นภา วชิรนานนท์ ผ่านพ้นไปทุกคนกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติอีกครั้งยกเว้นชลัลนาที่ยังไม่เดินทางกลับอเมริกาในทันที หญิงสาวยังคงมีความสุขที่ได้อยู่พูดคุยใกล้ชิดกับคุณปวิชผู้เป็นปู่และคุณอธิปบิดา คนที่กำลังเปิดดูอัลบั้มภาพถ่ายขาวดำอยู่นั้นทำให้ชลัลนานึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิด มือเหี่ยวย่นค่อยๆไล้ไปตามภาพถ่ายอย่างทะนุถนอมนานๆครั้งถึงจะยิ้มละไมออกมาเมื่อเปิดเจอภาพที่ถูกใจ

          ความหลังที่จดจำได้เกี่ยวกับภาพเหล่านั้นทำให้ชายชราในวัยเกือบเก้าสิบปีหวนความคิดคำนึงสู่อดีตอีกครั้ง ความทรงจำในวันวานแม้จะลางเลือนไปบ้างด้วยกาลเวลาที่ผันผ่าน หากชายชราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาเขามีความทรงจำเหล่านั้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ ใบหน้ายับย่นคลี่ยิ้มกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆเมื่อเปิดมาเจอภาพเด็กหญิงตัวน้อยนุ่งผ้าปาเต๊ะท่อนบนเปลือยเปล่ากำลังยืนร้องไห้โยเยข้างกันมีหญิงสาวในชุดบาบ๋า ยาย่า เก็บมวยผมสูง กำลังโอบกอดปลอบโยนกันอยู่ใบหน้าหญิงสาวยิ้มแย้ม อ่อนโยน เช่นเดียวกับเขาที่ยืนอมยิ้มให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

          ฉับพลันใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาของบุรุษในวัยใกล้ฝั่งก็หุบยิ้มลง สายตาที่พร่าแสงมองภาพนั้นด้วยความอ่อนโยน ห่วงหา อาทร หากในรอยอาลัยนั้นคล้ายซ่อนแววความข่มขื่นบางอย่างเอาไว้ ชลัลนาค่อยๆคลานเข้ามานั่งพับเพียบอย่างเงียบๆข้างๆเก้าอี้ของชายชรา

“คุณปู่ให้หาลัลนาเหรอคะ”  เสียงจากคนที่เพิ่งมาถึงดึงให้ชายชรากลับสู่ปัจจุปันอีกครั้ง เขาสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆก่อนจะหันมาพูดกับหลานสาว

“มาแล้วเหรอ มานี่มานั่งใกล้ปู่” หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้คนมากวัยกว่ายิ่งขึ้น หากยังคงนั่งพับเพียบกับพื้นเหมือนเดิม

“มาดูนี่มา” ชายชรายื่นอัลบั้มภาพถ่ายขาวดำที่ประเมินจากสายตาแล้วน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าหกสิบปี เด็กผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มที่ชลัลนาเห็นในภาพทำให้หญิงสาวเผลอยิ้มออกมาไม่ต่างจากคนเป็นปู่

“ใครกันคะ น่ารักน่ายิกเชียว”

“สาว ลูกของคนงานในเหมืองนั่นแหละ แก่นแก้ว ดื้อเงียบ เหมือนเราตอนเด็กๆเลย” ชลัลนาหัวเราะออกมาเบาๆอีกครั้ง เธอไม่รู้หรอกว่าเด็กหญิงในภาพมีความสำคัญกับปู่ของเธออย่างไร แต่ดูเหมือนปู่จะยึดเอาเธอเป็นตัวแทนของเด็กน้อยในภาพไปตั้งแต่ตอนเธอยังเล็กๆแล้ว

“สวยจังเลยค่ะ” หญิงสาวโพล่งคำพูดออกมาเมื่อเปิดมาถึงภาพตึกใหญ่สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและวัฒนธรรมตะวันออก

“บ้านใครคะ”

“บ้านปู่เอง ที่ภูเก็ต” ชลัลนาเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของคำตอบอย่างนึกสงสัย

“บ้านชมบุหลัน ผู้ใหญ่ที่ปู่เคารพนับถือเค้ายกให้ตั้งแต่ปู่ยังหนุ่มๆ แต่เสียดายหลังจากเหมืองแร่ปิดตัวลงปู่ก็ไม่มีโอกาสได้ไปอยู่ที่นั่นอีกเลย ปู่มันแย่เองแหละที่หลงลืมไปแล้วว่ามีบ้านหลังนี้อยู่” ชลัลนาหันมามองภาพถ่ายตรงหน้าอีกครั้ง

        หญิงสาวพอจะรับรู้มาบ้างว่าในอดีตปู่ของเธอเคยทำงานที่เหมืองแร่แห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต หลังจากญี่ปุ่นยกกำลังพลขึ้นบกและเข้าควบคุมอำนาจของรัฐบาลไทย ประเทศไทยก็ประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเป็นทางการร่วมกับฝ่ายอักษะ ปู่ของเธอในขณะนั้นกำลังศึกษาอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ปีที่สองมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ ก็ต้องหยุดชะงักการเรียนเมื่อมหาวิทยาลัยประกาศงดการเรียนการสอนอันเป็นผลมาจากสงคราม คุณทวดจึงส่งลูกชายคนเดียวลงสู่ปักษ์ใต้เพื่อศึกษาวิชาวิศวกรรมเหมืองแร่จากสหายฝรั่งชาวออสเตรเลียที่เป็นผู้จัดการเหมืองอยู่ที่นั่น

“เสียดายนะคะ บ้านสวยมากคงอายุไม่น้อยทีเดียว”

“น่าจะประมาณเกือบๆแปดสิบปีได้มั่ง”

“ไม่มีใครไปอยู่เลยเหรอค่ะ ปล่อยทิ้งร้างไว้นานๆบ้านคงทรุดโทรมไปมากแล้ว น่าเสียดายจริงๆนะคะ” ชลัลนามองบ้านหลังใหญ่ในภาพอีกครั้งความสวยงามของบ้านคล้ายมีมนต์ขลังทำให้หญิงสาวหลงใหลในศิลปกรรมแบบชิโน-โปรตุกีส ได้ไม่ยาก

“ลัลนาช่วยปู่หน่อยได้มั้ย”

“คะ” หญิงสาวเลิกคิ้วมองชายชราแทนคำถาม

“ปู่อยากให้เราปรับปรุงที่นี่ทำเป็นพิพิธภัณฑ์”

“พิพิธภัณฑ์” อีกครั้งที่หญิงสาวต้องทวนคำแทนความสงสัย

“ใช่ พิพิธภัณฑ์ บาบ๋า ยาย่า จัดแสดงเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมของชาวเปอรานากันในจังหวัดภูเก็ต”

“เปอรานากัน ลัลนาไม่คุ้นหูคำนี้เลยค่ะ” เป็นครั้งแรกที่ชายชราต้องหัวเราะออกมาเสียงดังกับสิ่งที่ได้ยิน วัฒนธรรมชาวเปอรานากันเลือนลางจางหายจนคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยจะรู้จักกันแล้ว

“นั่นคือสิ่งที่เราต้องทำ จะแสดงวัฒนธรรมเปอรานากันให้คนอื่นรู้เราต้องรู้ดีก่อนใช่มั้ย นอกจากปรับปรุงซ้อมแซมบ้านชมบุหลันให้เป็นพิพิธภัณฑ์แล้ว ลัลนายังต้องศึกษาประวัติวัฒนธรรมบาบ๋า ยาย่าด้วย”

“ฟังดูแล้วไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยนะคะ แล้วลัลนาก็ไม่ใช่สถาปนิก มันฑนากร หรือนักออกแบบ ไม่ใช่นักโบราณคดีด้วย  ลัลนาเป็นแฟชั่นดีไซร์ค่ะคุณปู่ ลัลนาจะทำได้เหรอคะ” ใช่ว่าชลัลนาไม่อยากรับผิดชอบงานชิ้นนี้ แต่ด้วยความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงของอาชีพเธอและงานที่กำลังได้รับมอบหมายทำให้หญิงสาวเริ่มไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่