เมื่อผู้หญิงคนหนึ่ง อยากใช้ชีวิตที่ไม่เคยเจอ อยากทำอะไรที่ไม่เคยทำ ฉันจึงเก็บของใส่เป้ ออกเดินทางไปติดเกาะ
30 วัน กับการลางาน ไปอยู่เกาะพะงัน ภาคแรก ตามลิงค์นี้ค่ะ
http://pantip.com/topic/33916450
fb :
https://www.facebook.com/AloneAroundMyWay
** ตอนจบจะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตบนเกาะเป็นส่วนใหญ่นะคะ
ใครอยากทราบรายละเอียดส่วนอื่นที่ไม่ได้ลงไว้ หลังบ้านมาได้เลยค่ะ**
ตอนนี้ฉันเชื่ออย่างสุดหัวใจ ว่าสิ่งที่เราจดจำในการเดินทางแต่ละครั้ง ไม่ใช่สถานที่ซะทีเดียว
แต่คือผู้คนที่เราได้พบเจอระหว่างทาง
ชีวิตที่โฮสเทล กลายเป็นเหมือนบ้านอีกหลัง ตอนนี้ฉันรับลูกค้า เช็คอิน เช็คเอาท์ พาลูกค้าไปส่งที่ห้อง ปูเตียงเป็นแล้ว
เรากินข้าวด้วยกัน เล่นปิงปอง ใช้เวลา พูดคุยกับทุกคนที่นี่เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว
ทุกคนดูแลฉันเหมือนเป็นลูกสาว น้องสาว เพื่อนอีกคน
เวลาว่างฉันยินดีที่จะช่วยงานทุกอย่างที่พอจะทำได้ด้วยความสบายใจบวกกับความสนุก
ตอนนี้ภาษาอังกฤษของฉันแข็งแรงขึ้นอีกหนึ่งเลเวล
ในตอนที่แล้ว ฉันไปพักบ้านคุณบีทโฮสท์ต่างชาติ คุณบีทรู้ว่าฉันอยากเดินเขาหรา จุดชมวิวที่สวยที่สุดจุดหนึ่งบนเกาะ
แต่ไม่มีโอกาสได้ไปตอนที่พักอยู่กับโฮสท์ หลายวันต่อมาฉันได้รับข้อความจากคุณบีท
ว่ามีแขกสองคน(วีร่า กับ มาโคร่) เพิ่งมาถึงบ้านและอาจจะไปเดินเขาวันพรุ่งนี้ถ้าอากาศไม่แย่จนเกินไป
ฉันสนใจจะไปด้วยมั้ย? ........แน่นอน ฉันตกลงในทันที
วันรุ่งขึ้นเราเจอกันตามนัดหมาย ใช้เวลาเดินถึงยอดเขาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง จากจุดนั้นมองเห็นหาด เห็นไปถึงเกาะเต่า เกาะสมุย
หลังจากที่เราเหนื่อยจากการเดิน เรานั่งพักร่างกันบนก้อนหินก้อนใหญ่
วีร่า มาโคร่ เปิดเป้เอาขนมกับผลไม้ที่เตรียมมา แบ่งให้ฉันกับโฮสท์
ฉันมีช็อกโกแลตบาร์ติดตัวไปนิดหน่อยความอร่อยของมันอยู่ที่เราได้แบ่งกัน คนละนิดคนละหน่อย แล้วได้อร่อยไปด้วยกัน
เรากลับถึงบ้านโฮสท์ เสียงท้องเริ่มร้องงอแง วีร่าอาสาลงมือทำอาหารเย็น ส่วนฉันอาสาเป็นลูกมือ
มื้อเย็นวันนั้นบนดาดฟ้า เราทั้งสี่คน บทสนทนา รอยยิ้มของทุกคนยังอยู่ในความทรงจำ
หลังจากใช้เวลาอยู่ที่เกาะพะงันสองสัปดาห์ ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะจนตัวเริ่มใกล้เคียงกับการเป็นผู้หญิงผิวสีแทน
ฉันเริ่มเกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัว อยู่นิ่งไม่ได้ เริ่มทุรนทุราย เวลาหนึ่งเดือนสำหรับการไม่ทำอะไรเลยมันนานเกินไป
อันที่จริง เป็นความตั้งใจหนึ่งตั้งแต่ก่อนมา ว่าอยากจะทำงานอะไรสักอย่างบนเกาะ และทางเลือกแรกในใจคือ การทำงานบาร์
ด้วยความขึ้นชื่อเรื่องการเป็นเกาะปาร์ตี้ ตำแหน่งที่ว่างหลังบาร์คงพอจะมีว่างให้ฉันได้ยืนบ้างสักที่
เป็นสาวบาร์ ใช้ชีวิตกลางคืน..... ทำไมล่ะ มันน่าสนุก เป็นโลกที่ฉันอาจจะเคยมองเห็นแค่ในมุมอื่น
ตอนนี้ฉันอยากจะลองมองในมุมใหม่ดูบ้าง
พี่สาวคนหนึ่งแนะนำให้รู้จักกับผู้จัดการบาร์ที่หาดริ้น ฉันขอทำงานโดยไม่รับเงินค่าจ้าง แต่ทางบาร์ก็ให้ทิปในวันที่มาทำงาน
หนึ่งสัปดาห์ที่บาร์เป็นชีวิตอีกมุมที่สนุกมาก บ้ามาก
ฉันเริ่มทำงานที่บาร์หลายวันก่อนถึงฟูลมูน และทำอยู่จนถึงหลังฟูลมูนหนึ่งวัน
ชายร่างใหญ่ ผิวคล้ำ รอยสัก เสียงดัง ยืนคุมบาร์ อาจจะเป็นภาพที่ทำให้เรากลัวได้ง่ายดาย
แต่เมื่อฉันได้ใช้เวลาทำความรู้จัก ฉันพบว่า พวกเขามีมุมน่ารัก มุมอ่อนโยน ขี้เล่น ใจดี บ้าบอ
หลายครั้งเราก็ตัดสินคน หรือหลายสิ่ง จากเพียงภาพภายนอก.....
ฟูลมูนปาร์ตี้ ในมุมของนักเที่ยวมันเป็นปาร์ตี้ที่บ้าหลุดโลกสุดๆ
ในสายตาของคนทำงานมันเป็นช่วงที่เหนื่อยเป็นบ้า เสียงดัง คนเมา ภาษาต่างชาติ เราต้องเตรียมร่างกายจิตใจมาเพื่อรับมือกับวันนี้เป็นพิเศษ
เราทำงานกันตั้งแต่สี่โมงเย็น จนถึงสว่าง เช่นกันกับนักเที่ยวที่เมากันตั้งแต่หัวค่ำ จนสว่างกันคาตา
มันทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ฉันไม่มีทางลืมได้
และที่บาร์นี้เอง ฉันพบกับผู้ชายในนิยาย.......
ผุ้ชายที่สร้างความทรงจำที่ยากจะลืม
ช่วงที่อยู่ที่บาร์ ฉันเจอผู้ชายต่างชาติคนหนึ่ง เค้าดูต่างจากคนอื่น สุภาพ ดูนุ่มลึกแอบขี้เล่น
เราเจอกันที่บาร์ขณะที่ฉันทำงาน เค้ามาเที่ยวกับเพื่อน เป็นปกติที่เราจะยิ้มคุยเล่นกับลูกค้าบ้างตามมารยาท
ตอนนั้นเวลาประมาณตีสองกว่าเค้าพยายามชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้เสียงานและเป็นการปฏิเสธแบบอ้อมๆ
เลยบอกเค้าไปว่ากำลังทำงาน รอเลิกงานถึงจะว่างคุยด้วย
กว่าจะเก็บของเสร็จก็เกือบสว่าง ขณะเตรียมตัวกลับห้องแต่สายตาหันไปเจอเค้ามายืนอยู่ไม่ไกล
เค้ายังรออยู่!!
ฉันคิดว่าเค้ากลับไปแล้วแน่ๆ แต่ผิดคาด เค้ารออยู่หลายชั่วโมง
เค้าทำให้รู้สึกดีกับการอดทนรอคอย เราเดินช้าๆไปตามชายหาดเค้าถือรองเท้าให้ คุยกันเรื่องการเดินทาง
แล้วนั่งลงข้างกันบนพื้นทรายพอดีกับเวลาพระอาทิตย์ขึ้น
ฉันไม่ได้บอกอะไรมากมายเกี่ยวกับตัวเอง ฉันถามในสิ่งที่เค้าเห็น ว่าฉันทำงานบาร์นะ ไม่คิดว่าจะเป็นผู้หญิงไม่ดีหรอ
เค้าตอบว่าไม่สำคัญว่าคุณจะทำอะไรแต่ที่เราเห็น รู้สึกว่าคุณดี เท่านั้นพอ
เราใช้เวลาเช้านั้นอยู่ด้วยกันหลายชั่วโมง คุยกันไม่กี่เรื่องแต่เป็นเรื่องที่เราสองคนรู้สึกกับมันอย่างล้นปรี่
เรื่องการเดินทางของเค้าที่เพิ่งมาจากอินเดีย เรื่องการใช้ชีวิต
เค้าอุ้มฉันขึ้นมาอย่างงายดายขณะที่ตัวเค้าเดินลงทะเลหลังจากที่รู้ว่าฉันว่ายน้ำไม่เป็น
เราหัวเราะกันเสียงดังแบบไม่ต้องอายใคร
ก่อนจากกันเราไม่ได้ขอเฟซบุ๊ค ไลน์ หรืออีเมล์ เราถามชื่อกันและกันแล้วบอกลา
(แปลกมั้ย เราไม่ได้ถามชื่อกันและกันตอนเจอกัน เราถามตอนจะลา
ตอนที่เราเจอกันสิ่งที่เราอยากรุ้จักอาจไม่ใช่ชื่อของกัน แต่เป็นตัวตนของแต่ละคนมากกว่า
เราคุยกันเล่นกันใช้เวลาด้วยกันโดยไม่รุ้จักชื่อกัน แต่มันเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกดีมาก)
หลายวันผ่านไป ฉันคิดถึงการเจอกันครั้งนั้นตลอด ทำไมถึงไม่ขออะไรไว้ติดต่อ
การจะได้เจอกันอีกครั้งโอกาสมันน้อยมากแทบไม่มีทางเป็นไปได้ถ้าเราไม่ติดต่อกัน
มันกลายเป็นความรู้สึกซึมเศร้าในหลายวันที่ผ่านมา
หลังจากนั้น ฉันเลิกซึมเศร้า และเชื่อว่าการได้เจอกัน ได้มีความทรงจำที่ดีนั้นมากพอแล้ว
ไม่จำเป็นจะต้องเสียใจซึมเศร้า ถ้าหากจะบังเอิญได้เจอกันอีก ถือเป็นความโชคดีครั้งที่สอง
: : แด่ Sergio ผู้ชายที่เดินเท้าเปล่าด้วยกันไกลที่สุด : :
ปล.หลังจากนั้นสองวัน Sergio เดินทางไปจุดหมายต่อไป
ส่วนเราก็ไม่ได้อยู่ที่บาร์ และกำลังจะกลับเชียงใหม่
(มีต่อในคอมเม้นต์นะคะ)
[CR] +++ 30 วัน ฉันหยุดงานมาติดเกาะ(ตอนจบ) :: พะงัน วันที่ยากจะลืม อยู่โฮสเทล ทำงานบาร์ ผู้ชายในนิยาย ++
30 วัน กับการลางาน ไปอยู่เกาะพะงัน ภาคแรก ตามลิงค์นี้ค่ะ
http://pantip.com/topic/33916450
fb : https://www.facebook.com/AloneAroundMyWay
** ตอนจบจะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตบนเกาะเป็นส่วนใหญ่นะคะ
ใครอยากทราบรายละเอียดส่วนอื่นที่ไม่ได้ลงไว้ หลังบ้านมาได้เลยค่ะ**
ตอนนี้ฉันเชื่ออย่างสุดหัวใจ ว่าสิ่งที่เราจดจำในการเดินทางแต่ละครั้ง ไม่ใช่สถานที่ซะทีเดียว
แต่คือผู้คนที่เราได้พบเจอระหว่างทาง
ชีวิตที่โฮสเทล กลายเป็นเหมือนบ้านอีกหลัง ตอนนี้ฉันรับลูกค้า เช็คอิน เช็คเอาท์ พาลูกค้าไปส่งที่ห้อง ปูเตียงเป็นแล้ว
เรากินข้าวด้วยกัน เล่นปิงปอง ใช้เวลา พูดคุยกับทุกคนที่นี่เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว
ทุกคนดูแลฉันเหมือนเป็นลูกสาว น้องสาว เพื่อนอีกคน
เวลาว่างฉันยินดีที่จะช่วยงานทุกอย่างที่พอจะทำได้ด้วยความสบายใจบวกกับความสนุก
ตอนนี้ภาษาอังกฤษของฉันแข็งแรงขึ้นอีกหนึ่งเลเวล
ในตอนที่แล้ว ฉันไปพักบ้านคุณบีทโฮสท์ต่างชาติ คุณบีทรู้ว่าฉันอยากเดินเขาหรา จุดชมวิวที่สวยที่สุดจุดหนึ่งบนเกาะ
แต่ไม่มีโอกาสได้ไปตอนที่พักอยู่กับโฮสท์ หลายวันต่อมาฉันได้รับข้อความจากคุณบีท
ว่ามีแขกสองคน(วีร่า กับ มาโคร่) เพิ่งมาถึงบ้านและอาจจะไปเดินเขาวันพรุ่งนี้ถ้าอากาศไม่แย่จนเกินไป
ฉันสนใจจะไปด้วยมั้ย? ........แน่นอน ฉันตกลงในทันที
วันรุ่งขึ้นเราเจอกันตามนัดหมาย ใช้เวลาเดินถึงยอดเขาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง จากจุดนั้นมองเห็นหาด เห็นไปถึงเกาะเต่า เกาะสมุย
หลังจากที่เราเหนื่อยจากการเดิน เรานั่งพักร่างกันบนก้อนหินก้อนใหญ่
วีร่า มาโคร่ เปิดเป้เอาขนมกับผลไม้ที่เตรียมมา แบ่งให้ฉันกับโฮสท์
ฉันมีช็อกโกแลตบาร์ติดตัวไปนิดหน่อยความอร่อยของมันอยู่ที่เราได้แบ่งกัน คนละนิดคนละหน่อย แล้วได้อร่อยไปด้วยกัน
เรากลับถึงบ้านโฮสท์ เสียงท้องเริ่มร้องงอแง วีร่าอาสาลงมือทำอาหารเย็น ส่วนฉันอาสาเป็นลูกมือ
มื้อเย็นวันนั้นบนดาดฟ้า เราทั้งสี่คน บทสนทนา รอยยิ้มของทุกคนยังอยู่ในความทรงจำ
หลังจากใช้เวลาอยู่ที่เกาะพะงันสองสัปดาห์ ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะจนตัวเริ่มใกล้เคียงกับการเป็นผู้หญิงผิวสีแทน
ฉันเริ่มเกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัว อยู่นิ่งไม่ได้ เริ่มทุรนทุราย เวลาหนึ่งเดือนสำหรับการไม่ทำอะไรเลยมันนานเกินไป
อันที่จริง เป็นความตั้งใจหนึ่งตั้งแต่ก่อนมา ว่าอยากจะทำงานอะไรสักอย่างบนเกาะ และทางเลือกแรกในใจคือ การทำงานบาร์
ด้วยความขึ้นชื่อเรื่องการเป็นเกาะปาร์ตี้ ตำแหน่งที่ว่างหลังบาร์คงพอจะมีว่างให้ฉันได้ยืนบ้างสักที่
เป็นสาวบาร์ ใช้ชีวิตกลางคืน..... ทำไมล่ะ มันน่าสนุก เป็นโลกที่ฉันอาจจะเคยมองเห็นแค่ในมุมอื่น
ตอนนี้ฉันอยากจะลองมองในมุมใหม่ดูบ้าง
พี่สาวคนหนึ่งแนะนำให้รู้จักกับผู้จัดการบาร์ที่หาดริ้น ฉันขอทำงานโดยไม่รับเงินค่าจ้าง แต่ทางบาร์ก็ให้ทิปในวันที่มาทำงาน
หนึ่งสัปดาห์ที่บาร์เป็นชีวิตอีกมุมที่สนุกมาก บ้ามาก
ฉันเริ่มทำงานที่บาร์หลายวันก่อนถึงฟูลมูน และทำอยู่จนถึงหลังฟูลมูนหนึ่งวัน
ชายร่างใหญ่ ผิวคล้ำ รอยสัก เสียงดัง ยืนคุมบาร์ อาจจะเป็นภาพที่ทำให้เรากลัวได้ง่ายดาย
แต่เมื่อฉันได้ใช้เวลาทำความรู้จัก ฉันพบว่า พวกเขามีมุมน่ารัก มุมอ่อนโยน ขี้เล่น ใจดี บ้าบอ
หลายครั้งเราก็ตัดสินคน หรือหลายสิ่ง จากเพียงภาพภายนอก.....
ฟูลมูนปาร์ตี้ ในมุมของนักเที่ยวมันเป็นปาร์ตี้ที่บ้าหลุดโลกสุดๆ
ในสายตาของคนทำงานมันเป็นช่วงที่เหนื่อยเป็นบ้า เสียงดัง คนเมา ภาษาต่างชาติ เราต้องเตรียมร่างกายจิตใจมาเพื่อรับมือกับวันนี้เป็นพิเศษ
เราทำงานกันตั้งแต่สี่โมงเย็น จนถึงสว่าง เช่นกันกับนักเที่ยวที่เมากันตั้งแต่หัวค่ำ จนสว่างกันคาตา
มันทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ฉันไม่มีทางลืมได้
และที่บาร์นี้เอง ฉันพบกับผู้ชายในนิยาย.......
ผุ้ชายที่สร้างความทรงจำที่ยากจะลืม
ช่วงที่อยู่ที่บาร์ ฉันเจอผู้ชายต่างชาติคนหนึ่ง เค้าดูต่างจากคนอื่น สุภาพ ดูนุ่มลึกแอบขี้เล่น
เราเจอกันที่บาร์ขณะที่ฉันทำงาน เค้ามาเที่ยวกับเพื่อน เป็นปกติที่เราจะยิ้มคุยเล่นกับลูกค้าบ้างตามมารยาท
ตอนนั้นเวลาประมาณตีสองกว่าเค้าพยายามชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้เสียงานและเป็นการปฏิเสธแบบอ้อมๆ
เลยบอกเค้าไปว่ากำลังทำงาน รอเลิกงานถึงจะว่างคุยด้วย
กว่าจะเก็บของเสร็จก็เกือบสว่าง ขณะเตรียมตัวกลับห้องแต่สายตาหันไปเจอเค้ามายืนอยู่ไม่ไกล
เค้ายังรออยู่!!
ฉันคิดว่าเค้ากลับไปแล้วแน่ๆ แต่ผิดคาด เค้ารออยู่หลายชั่วโมง
เค้าทำให้รู้สึกดีกับการอดทนรอคอย เราเดินช้าๆไปตามชายหาดเค้าถือรองเท้าให้ คุยกันเรื่องการเดินทาง
แล้วนั่งลงข้างกันบนพื้นทรายพอดีกับเวลาพระอาทิตย์ขึ้น
ฉันไม่ได้บอกอะไรมากมายเกี่ยวกับตัวเอง ฉันถามในสิ่งที่เค้าเห็น ว่าฉันทำงานบาร์นะ ไม่คิดว่าจะเป็นผู้หญิงไม่ดีหรอ
เค้าตอบว่าไม่สำคัญว่าคุณจะทำอะไรแต่ที่เราเห็น รู้สึกว่าคุณดี เท่านั้นพอ
เราใช้เวลาเช้านั้นอยู่ด้วยกันหลายชั่วโมง คุยกันไม่กี่เรื่องแต่เป็นเรื่องที่เราสองคนรู้สึกกับมันอย่างล้นปรี่
เรื่องการเดินทางของเค้าที่เพิ่งมาจากอินเดีย เรื่องการใช้ชีวิต
เค้าอุ้มฉันขึ้นมาอย่างงายดายขณะที่ตัวเค้าเดินลงทะเลหลังจากที่รู้ว่าฉันว่ายน้ำไม่เป็น
เราหัวเราะกันเสียงดังแบบไม่ต้องอายใคร
ก่อนจากกันเราไม่ได้ขอเฟซบุ๊ค ไลน์ หรืออีเมล์ เราถามชื่อกันและกันแล้วบอกลา
(แปลกมั้ย เราไม่ได้ถามชื่อกันและกันตอนเจอกัน เราถามตอนจะลา
ตอนที่เราเจอกันสิ่งที่เราอยากรุ้จักอาจไม่ใช่ชื่อของกัน แต่เป็นตัวตนของแต่ละคนมากกว่า
เราคุยกันเล่นกันใช้เวลาด้วยกันโดยไม่รุ้จักชื่อกัน แต่มันเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกดีมาก)
หลายวันผ่านไป ฉันคิดถึงการเจอกันครั้งนั้นตลอด ทำไมถึงไม่ขออะไรไว้ติดต่อ
การจะได้เจอกันอีกครั้งโอกาสมันน้อยมากแทบไม่มีทางเป็นไปได้ถ้าเราไม่ติดต่อกัน
มันกลายเป็นความรู้สึกซึมเศร้าในหลายวันที่ผ่านมา
หลังจากนั้น ฉันเลิกซึมเศร้า และเชื่อว่าการได้เจอกัน ได้มีความทรงจำที่ดีนั้นมากพอแล้ว
ไม่จำเป็นจะต้องเสียใจซึมเศร้า ถ้าหากจะบังเอิญได้เจอกันอีก ถือเป็นความโชคดีครั้งที่สอง
: : แด่ Sergio ผู้ชายที่เดินเท้าเปล่าด้วยกันไกลที่สุด : :
ปล.หลังจากนั้นสองวัน Sergio เดินทางไปจุดหมายต่อไป
ส่วนเราก็ไม่ได้อยู่ที่บาร์ และกำลังจะกลับเชียงใหม่
(มีต่อในคอมเม้นต์นะคะ)