ได้ยินคำว่า “เชียงใหม่” ทีไรก็ทำให้ผมตื่นเต้นทุกครั้ง
ถึงจะไปบ่อยๆ ก็เหอะ ทำงานบ้างเที่ยวบ้าง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนได้ตามใจตัวเองแบบเต็มๆสักที
ครั้งนี้เลยตั้งโจทย์ของการเที่ยวเชียงใหม่เอาไว้ว่า ไม่รีบ ไม่เร่ง ค่อยๆเที่ยว เดินบ้าง นั่งรถบ้าง ไปเที่ยวที่ชอบๆ (เอ๊ะยังไงวะ? 555)
โจทย์ได้แล้วก็ไปดิวะ ไปคนเดียวก็ได้วะ แต่เดี๋ยวก่อน!! ถ้ามีเพื่อนร่วมทริปสักคน มันก็ดีเนอะ
เลยจัดการหว่านล้อมเพื่อนสนิทอีกคนชื่อว่า “ไอ้โหน่ง” บอกโจทย์ที่ๆอยากไปให้มันฟัง
นำเสนอพร้อมภาพประกอบเหมือนขายงานลูกค้า 555555 จากนั้นรอมันเซย์เยสสส ...
3 วันผ่านไปไอ้โหน่งตอบรับ เลยมอบหน้าที่ให้มันหาตั๋ว แต่เดี๋ยวก่อนครับ ช่วงที่จะไปเชียงใหม่มันคือวันหยุดยาววววว
ทุกคนต้องพร้อมใจกับภูมิลำเนาแน่ๆ ดังนั้น ตัดตัวเลือกรถทัวร์บริษัทขึ้นชื่อไปได้เลย
บอกไอ้โหน่งว่า “ได้ตั๋วของอะไรก็เอามากูไปหมดขอให้ถึงก็พอ” ...
และแล้วววว ... ก่อนหน้า 2 วันเดินทางโหน่งได้ตั๋วมาอยู่ในมือ ขาไปได้รถทัวร์ของบริษัทที่ไม่เคยได้ยินชื่อเลย ราคาประมาณ 500 กว่าบาท ส่วนขากลับได้ตั๋วของบริษัท 999 ก็ค่อนข้างอุ่นใจแล้ว ยังไงได้ไปแน่นอน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
______________ วันเดินทาง ______________
[ เย็นวันที่ 29.07.58 ]
“รถทัวร์ออกสี่ทุ่มครึ่ง” ... คิดในใจก่อนเดินทางว่ายังไงก็ชิวๆ ไม่ต้องรีบมาก แต่คุณผู้ชมครับ!! วันนั้นผมมีงานที่อยุธยาตอนบ่าย กว่าจะเข้ากรุงเทพรถก็ติดมาก จน 6 โมงเย็นบนทางด่วน เลยจัดการโทรหา “ไอ้โหน่ง” บอกมันว่ารีบออกมาจากบ้าน (อยู่แถวๆบางแค) เลย จะหาว่าไม่เตือน ส่วนเราก็เข้าเคลียร์งานที่ออฟฟิชจนเรียบร้อย สองทุ่มเลยก็แบกเป้นั่งรถไฟใต้ดินลงสถานีกำแพงเพชร ต่อมอไซด์หน้าตลาด อตก. รีบไปรอเพื่อนที่หมอชิต
... เกือบ 3 ทุ่ม ถึงหมอชิต โทรหาไอ้โหน่ง มันบอกว่ากำลังออกมาขึ้น BTS ไอ้เราก็เชื่อใจเพื่อนว่าอีกแปปเดียว จนสี่ทุ่มนั่งรอจนร้านอเมซอนเชิญออก 555 ไอโหน่งบอกกำลังจะถึงแล้ว .... และฝนทำก็ท่าจะตก
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปถึงเวลารถออก ... ไอ้โหน่งรีบวิ่งมาในสภาพเปียกโชก และขอตัวไปเปลี่ยนผ้าก่อนขึ้นรถ (ตอนนั้นได้แต่คิดว่าไม่ทันแน่นอน)
“ไอ้โหน่ง” ไหนตั๋ววะ ... โหน่งควักตั๋วออกจากกระเป๋าตังค์ ตั๋วขาไปยังคงสภาพเกือบดี ส่วนขากลับหรอ 555 มันกลายเป็นทิชชู่เปียกไปแล้ว ......
พอเห็นก็ได้แต่หายใจเข้าลึ๊กลึกกกกกกก .... “ไอ้โหน่งเอ้ยยยยย”
ผมพร้อม เพื่อนพร้อม ตั๋วเกือบพร้อม .... รอใครตัดริบบิ้นละคุณ 555 วิ่งไปที่ชานชลาสิครับ มันอยู่ตรงไหนวะ ทั้งฝ่าฝน ฝ่าฝูงคนที่แน่นหมอชิต ใส่คอนเวิร์สวิ่งลุยน้ำอีก (ตอนนั้นให้อารมณ์ประมาณแฮรี่รีบหาชานชลาขึ้นรถไฟไปฮอกวอตส์)
... ถึงรถทัวร์ ... ในสภาพเปียกชุ่ม พอเห็นที่นั่งมันแคบมากและก็ต้องวางกระเป๋าไว้ที่วางเท้าอีก คราวนี้ก็บรรจงถอดถุงเท้าที่เปียกและงอเข่านั่งท่าบังคับ ส่วน “ไอ้โหน่ง” นะหรอ จัดแจงทุกอย่างเสร็จ ก็ง่วนอยู่กับการหาโทรศัพท์ (เครื่องนี้ใช้ทำมาหากิน)
หาไปหามาสรุป “หายครับ” แต่มันก็ยังเหลือทั้งไอโฟนและไอแพดอีกอย่างละเครื่อง “ไอโหน่งนั่งนอยยันสว่าง”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
______________ วันแรกที่เชียงใหม่ ______________
[ 30.07.58 ]
ฝนตกตลอดทางจากกรุงเทพ ในที่สุดก็ถึงเชียงใหม่ .... เราก็นั่งรถแดงออกจากอาเขตเพื่อไปที่พัก
“โอสเทล” ใช่ครับ ฟังไม่ผิด “โฮสเทล” ไม่ใช่ “โฮเทล”
ผมเป็นคนจัดแจงเรื่องที่พัก เลยคิดว่าทริปนี้ถ้านอนโรงแรมทั่วไปมันก็ปกติ ไม่น่าตื่นเต้น ลองนอนโฮสเทลดูบ้าง
แล้วนึกภาพตาม ว่าไม่รู้ใครจะมาพักรวมกับเรา หรือเราจะไปพักรวมกับใคร ถ้าไม่ใช่คนไทยจะทำยังไง ถ้าลองคุยกันจะรู้เรื่องมั้ย 555 ...
แค่นี้ก็หนุกละ ผมเลยตัดสินใจจองโฮสเทล “ D-Well Hostel&Café " แถวประตูท่าแพ เพราะคิดว่าไปไหนมาไหนสะดวก แถมเซฟค่าใช้จ่าย
เพราะกลางวันก็ออกเที่ยวไม่ได้อยู่ห้อง กลางคืนใช้นอนเฉยๆ
ถึงโฮสเทลแล้ว ที่นี่แบ่งทุกอย่างเป็นสัดส่วน ตกแต่งดี และถึงจะเป็นเตียงรวมสองชั้น แต่ก็นอนห้องละ 2 เตียงเท่านั้น
ส่วนห้องน้ำก็แบ่งแยกชายหญิง ทุกอย่างดูสะอาดตา แถมราคาสบายกระเป๋าอีกครับ
เก็บกระเป๋าเรียบร้อยเราจะไปหาข้าวเช้ากินกัน จริงๆมันต้องเป็นข้าวเที่ยงแล้ว
ผมและไอ้โหน่งเดินออกจากโรงแรมไปจนถึงร้าน “กูดมอนิ่งเชียงใหม่” ตั้งอยู่ในซอยค่อนข้างลึก แต่พอถึงแล้วเราก็เห็นร้านอาหารที่ด้านบนยังคงสภาพของบ้านไม้เก่าได้เป็นอย่างดี แถมข้างในยังตกแต่งด้วยของเก่าให้อารมณ์วินเทจ ส่วนอาหารก็มีเป็นชุด อย่างที่ผมสั่งกัน
มัสมั่น + ข้าว กับต้มข่าไก่ + ข้าว รวมน้ำอัดลมแล้ว เช็คบิลมื้อนี้ตกคนละ 110 บาท
ข้าวเที่ยงผ่านไปแล้ว เราเดินออกจากร้านมาที่ปากซอยโบกรถแดง 20 บาท มุ่งหน้าไปมูลเมืองซอย 6 ย่ำเท้ากันต่อเข้าซอยเล็กๆ
หลงไปทะลุอีกทาง เพราะดูแผนที่ในเน็ตบ้าง GPRS บ้าง แต่ทุกอย่างก็แพ้การพนมมือถามทางจากคนแถวนั้น 555
“Graph Cafe” ร้านกาแฟที่แค่ยืนมองหน้าร้านก็อิ่มแล้ว เราเห็นทุกอย่างข้างในเมื่อมองทะลุผ่านกระจกที่ตัดกับวงกบสีดำ
พอเข้ามาข้างในร้านก็ตกแต่งด้วยโทนสีขาวดำ เฟอร์นิเจอร์ก็เป็นไม้เกือบทั้งหมด แถมมีของสะสมของเจ้าของเราให้เรานั่งมองกันเพลินๆอีกด้วย
ส่วนรสชาติกาแฟก็ดีเลยทีเดียวครับ ส่วนใครไม่กินกาแฟก็มีเมนูชาเขียวให้ลองกัน
นั่งอยู่ที่ Graph Café จนเกือบเย็น “ไอ้โหน่ง” ก็รีเควสไปเซ็นทรัลเพื่อถอยโทรศัพท์เครื่องใหม่ (หืมม เอาจนได้!!)
เสร็จภารกิจของไอโหน่งแล้ว เราก็นั่งรถแดงไปหาอะไรกินที่นิมมาน เดินทะลุซอยโน้นซอยนี้
จนมาลงเอยที่ร้านสเต็กแนว Truck Food ที่ตั้งอยู่ในนิมมานซอย 15 จากนั้นก็สั่งคนละจาน ตกจากละไม่ถึงร้อย
แต่ถ่ายไว้ได้ทันแค่ของกินเล่น “เฟร้นฟรายราดชีสโรยเบคอน” หลังจากนั้นภาพก็ตัด เพราะความหิว
กินคาวไม่กินหวานก็ยังไงอยู่ เราก็เดินต่อไปร้านนมบ่ะเล่น นิมมานซอย 17
ร้านสารพัดนมและขนมปัง แถมได้นั่งดูเด็กๆที่นี่อีก 5555 ก็ถือว่าโอเคละสำหรับวันแรก ตรงกับโจทย์ที่ตั้งเอาไว้
กินเสร็จก็เข้าที่พักอาบน้ำวางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้ แล้วก็หลับไปด้วยความเพลีย ....
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
______________ วันที่สองในเชียงใหม่ ______________
[ 31.07.58 ]
ตื่นประมาณ 9 โมง พร้อมเมนูอาหารเช้าในหัวว่าอยากกิน “ไข่กระทะ”
อาบน้ำเสร็จเปิดแผนที่เดินหา เดินๆเดินหาจนบอก “ไอโหน่ง” กินอะไรก็ได้นะ “หิว” เดินไปเดินมา
แล้วก็ถึงร้านไข่กระทะเลิศรส ไม่รอช้าจัดกันไปสิครับ
ระหว่างกินก็คิดว่าอยากนั่งรถออกนอกเมือง เลยช่วยกันคิดชั่งน้ำหนัก ระหว่าง “แกรนแคนยอน” หรือ “แม่กำปอง” เลยโทรหารถแดงที่ขอนามบัตรไว้เมื่อวาน ถามราคาเสร็จก็ตัดสินใจเลยว่า “แม่กำปอง” ไกลกว่าแต่ราคาห่างกันไม่เยอะ (จริงๆผมอยากไปที่นี่แหละ แต่ทีท่า “ไอ้โหน่ง” ดูมันจะเฉยๆออกแนวอยากไปอีกที่ 555)
“คนขับรถแดง” ชื่อพี่โจ้ บอกว่าแกก็ไม่เคยไปที่นี่เหมือนกัน เลยคิดราคาเหมาไปแม่กำปองในราคา 1,800 บาท เราตอบตกลงจริงๆไม่รู้ว่าถูกหรือแพง เพราะคิดว่ามันคงไกลและลำบาก ไหนๆมาเที่ยวแล้วก็ต้องไป ไอ มัท โกกกก ....
เกือบบ่ายโมง เรานัดพี่โจ้มารับแถวๆประตูท่าแพ ระหว่างรอก็ถ่ายรูปกันไป ...
ถึงเวลาพี่โจ้รถแดงก็มารับผมและไอ้โหน่ง พี่เค้ามากับครอบครัวแบบพร้อมหน้าพร้อมตา ดูพร้อมเที่ยวกว่าผมอีก 55
อยู่บนรถแดงนอนหลับมาเกินครึ่งทาง เริ่มห่างไกลตึก ไกลเมืองแล้ว ผมก็ลุกมาถ่ายรูปมองสองข้างทาง จนเริ่มเข้าเขตของหมู่บ้านในต่างอำเภอ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าแม่กำปองอีกไกลแค่ไหน
ครั้งแรกของผม ครั้งแรกของพี่โจ้รถแดง ที่แน่นอนว่าเราต้องขับหลง จึงพยายามถามทางมาตลอด
จนเจอผู้ชี้ความกระจ่างเป็นคุณลุงวัยประมาณหกสิบกว่าๆ อู้คำเมืองคุยกับพี่โจ้ จนได้เส้นทางที่ถูกต้อง .....
รถขับมาเรื่อยๆ จนเจอมอไซด์ที่กำลังมุ่งไปข้างหน้า และผมคิดว่ามันต้องมีหมู่บ้านแน่นอน จนในที่สุดเราก็ถึง
“แม่กำปอง”
“แม่กำปอง”
หมู่บ้านเล็กๆที่มีประชากรไม่มากนัก นักท่องเที่ยวที่เข้ามาส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัว เลยทำให้ที่นี่ยังดูสงบ ไม่วุ่นวาย
แถมบ้านที่ตั้งอยู่บนสองข้างทางถนนก็ยังคงเป็นดีไซน์ตามแบบฉบับท้องถิ่น ไม้บ้าง ผสมปูนบ้าง
และจุดที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือ มีน้ำตกลำธารเล็กๆไหลผ่านอีกด้วย หูยยย อยากมีบ้านที่นี่เลยครับ
เดินดูบ้าน ดูวัดจนเพลิน สลับการสายฝนที่โปรยลงมาเป็นระยะๆ แต่ไม่หนักเลยทำให้เราเดินต่อไปที่ร้านกาแฟแลนด์มาร์ค
“ชมนกชมไม้”
ร้านกาแฟที่ตั้งอยู่บนเขา ที่ทำให้เรามองวิวลงไปเห็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่กว่าจะได้ถ่ายรูปกัน
ก็ต้องรอคิวเพราะต่างคนต่างอยากนั่งริมระเบียง 555 ผมก็รอฮะ
พอได้ที่ก็รัวชัตเตอร์ไม่ยั้ง ทั้งดิจิตอล ทั้งโพลาลอยด์ ถ่ายจนสาแก่ใจ
นั่งดูวิวกินกาแฟ เดินเล่นอีกสักพักก็ได้เวลากลับ ถึงเชียงใหม่ก็เกือบหนึ่งทุ่ม ผมขอเข้าที่พัก อาบน้ำอาบท่าแล้วไปหาอะไรชิคๆกินกัน
--- มีต่อฮะ ---
[CR] CHIANGMAI ต้องไปให้ได้ [ I MUST GO ]
ถึงจะไปบ่อยๆ ก็เหอะ ทำงานบ้างเที่ยวบ้าง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนได้ตามใจตัวเองแบบเต็มๆสักที
โจทย์ได้แล้วก็ไปดิวะ ไปคนเดียวก็ได้วะ แต่เดี๋ยวก่อน!! ถ้ามีเพื่อนร่วมทริปสักคน มันก็ดีเนอะ
นำเสนอพร้อมภาพประกอบเหมือนขายงานลูกค้า 555555 จากนั้นรอมันเซย์เยสสส ...
3 วันผ่านไปไอ้โหน่งตอบรับ เลยมอบหน้าที่ให้มันหาตั๋ว แต่เดี๋ยวก่อนครับ ช่วงที่จะไปเชียงใหม่มันคือวันหยุดยาววววว
ทุกคนต้องพร้อมใจกับภูมิลำเนาแน่ๆ ดังนั้น ตัดตัวเลือกรถทัวร์บริษัทขึ้นชื่อไปได้เลย
บอกไอ้โหน่งว่า “ได้ตั๋วของอะไรก็เอามากูไปหมดขอให้ถึงก็พอ” ...
และแล้วววว ... ก่อนหน้า 2 วันเดินทางโหน่งได้ตั๋วมาอยู่ในมือ ขาไปได้รถทัวร์ของบริษัทที่ไม่เคยได้ยินชื่อเลย ราคาประมาณ 500 กว่าบาท ส่วนขากลับได้ตั๋วของบริษัท 999 ก็ค่อนข้างอุ่นใจแล้ว ยังไงได้ไปแน่นอน
... เกือบ 3 ทุ่ม ถึงหมอชิต โทรหาไอ้โหน่ง มันบอกว่ากำลังออกมาขึ้น BTS ไอ้เราก็เชื่อใจเพื่อนว่าอีกแปปเดียว จนสี่ทุ่มนั่งรอจนร้านอเมซอนเชิญออก 555 ไอโหน่งบอกกำลังจะถึงแล้ว .... และฝนทำก็ท่าจะตก
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปถึงเวลารถออก ... ไอ้โหน่งรีบวิ่งมาในสภาพเปียกโชก และขอตัวไปเปลี่ยนผ้าก่อนขึ้นรถ (ตอนนั้นได้แต่คิดว่าไม่ทันแน่นอน)
“ไอ้โหน่ง” ไหนตั๋ววะ ... โหน่งควักตั๋วออกจากกระเป๋าตังค์ ตั๋วขาไปยังคงสภาพเกือบดี ส่วนขากลับหรอ 555 มันกลายเป็นทิชชู่เปียกไปแล้ว ......
พอเห็นก็ได้แต่หายใจเข้าลึ๊กลึกกกกกกก .... “ไอ้โหน่งเอ้ยยยยย”
ผมพร้อม เพื่อนพร้อม ตั๋วเกือบพร้อม .... รอใครตัดริบบิ้นละคุณ 555 วิ่งไปที่ชานชลาสิครับ มันอยู่ตรงไหนวะ ทั้งฝ่าฝน ฝ่าฝูงคนที่แน่นหมอชิต ใส่คอนเวิร์สวิ่งลุยน้ำอีก (ตอนนั้นให้อารมณ์ประมาณแฮรี่รีบหาชานชลาขึ้นรถไฟไปฮอกวอตส์)
... ถึงรถทัวร์ ... ในสภาพเปียกชุ่ม พอเห็นที่นั่งมันแคบมากและก็ต้องวางกระเป๋าไว้ที่วางเท้าอีก คราวนี้ก็บรรจงถอดถุงเท้าที่เปียกและงอเข่านั่งท่าบังคับ ส่วน “ไอ้โหน่ง” นะหรอ จัดแจงทุกอย่างเสร็จ ก็ง่วนอยู่กับการหาโทรศัพท์ (เครื่องนี้ใช้ทำมาหากิน)
หาไปหามาสรุป “หายครับ” แต่มันก็ยังเหลือทั้งไอโฟนและไอแพดอีกอย่างละเครื่อง “ไอโหน่งนั่งนอยยันสว่าง”
“โอสเทล” ใช่ครับ ฟังไม่ผิด “โฮสเทล” ไม่ใช่ “โฮเทล”
ผมเป็นคนจัดแจงเรื่องที่พัก เลยคิดว่าทริปนี้ถ้านอนโรงแรมทั่วไปมันก็ปกติ ไม่น่าตื่นเต้น ลองนอนโฮสเทลดูบ้าง
แล้วนึกภาพตาม ว่าไม่รู้ใครจะมาพักรวมกับเรา หรือเราจะไปพักรวมกับใคร ถ้าไม่ใช่คนไทยจะทำยังไง ถ้าลองคุยกันจะรู้เรื่องมั้ย 555 ...
แค่นี้ก็หนุกละ ผมเลยตัดสินใจจองโฮสเทล “ D-Well Hostel&Café " แถวประตูท่าแพ เพราะคิดว่าไปไหนมาไหนสะดวก แถมเซฟค่าใช้จ่าย
เพราะกลางวันก็ออกเที่ยวไม่ได้อยู่ห้อง กลางคืนใช้นอนเฉยๆ
ถึงโฮสเทลแล้ว ที่นี่แบ่งทุกอย่างเป็นสัดส่วน ตกแต่งดี และถึงจะเป็นเตียงรวมสองชั้น แต่ก็นอนห้องละ 2 เตียงเท่านั้น
ส่วนห้องน้ำก็แบ่งแยกชายหญิง ทุกอย่างดูสะอาดตา แถมราคาสบายกระเป๋าอีกครับ
ผมและไอ้โหน่งเดินออกจากโรงแรมไปจนถึงร้าน “กูดมอนิ่งเชียงใหม่” ตั้งอยู่ในซอยค่อนข้างลึก แต่พอถึงแล้วเราก็เห็นร้านอาหารที่ด้านบนยังคงสภาพของบ้านไม้เก่าได้เป็นอย่างดี แถมข้างในยังตกแต่งด้วยของเก่าให้อารมณ์วินเทจ ส่วนอาหารก็มีเป็นชุด อย่างที่ผมสั่งกัน
มัสมั่น + ข้าว กับต้มข่าไก่ + ข้าว รวมน้ำอัดลมแล้ว เช็คบิลมื้อนี้ตกคนละ 110 บาท
หลงไปทะลุอีกทาง เพราะดูแผนที่ในเน็ตบ้าง GPRS บ้าง แต่ทุกอย่างก็แพ้การพนมมือถามทางจากคนแถวนั้น 555
“Graph Cafe” ร้านกาแฟที่แค่ยืนมองหน้าร้านก็อิ่มแล้ว เราเห็นทุกอย่างข้างในเมื่อมองทะลุผ่านกระจกที่ตัดกับวงกบสีดำ
พอเข้ามาข้างในร้านก็ตกแต่งด้วยโทนสีขาวดำ เฟอร์นิเจอร์ก็เป็นไม้เกือบทั้งหมด แถมมีของสะสมของเจ้าของเราให้เรานั่งมองกันเพลินๆอีกด้วย
ส่วนรสชาติกาแฟก็ดีเลยทีเดียวครับ ส่วนใครไม่กินกาแฟก็มีเมนูชาเขียวให้ลองกัน
เสร็จภารกิจของไอโหน่งแล้ว เราก็นั่งรถแดงไปหาอะไรกินที่นิมมาน เดินทะลุซอยโน้นซอยนี้
จนมาลงเอยที่ร้านสเต็กแนว Truck Food ที่ตั้งอยู่ในนิมมานซอย 15 จากนั้นก็สั่งคนละจาน ตกจากละไม่ถึงร้อย
แต่ถ่ายไว้ได้ทันแค่ของกินเล่น “เฟร้นฟรายราดชีสโรยเบคอน” หลังจากนั้นภาพก็ตัด เพราะความหิว
ร้านสารพัดนมและขนมปัง แถมได้นั่งดูเด็กๆที่นี่อีก 5555 ก็ถือว่าโอเคละสำหรับวันแรก ตรงกับโจทย์ที่ตั้งเอาไว้
อาบน้ำเสร็จเปิดแผนที่เดินหา เดินๆเดินหาจนบอก “ไอโหน่ง” กินอะไรก็ได้นะ “หิว” เดินไปเดินมา
แล้วก็ถึงร้านไข่กระทะเลิศรส ไม่รอช้าจัดกันไปสิครับ
“คนขับรถแดง” ชื่อพี่โจ้ บอกว่าแกก็ไม่เคยไปที่นี่เหมือนกัน เลยคิดราคาเหมาไปแม่กำปองในราคา 1,800 บาท เราตอบตกลงจริงๆไม่รู้ว่าถูกหรือแพง เพราะคิดว่ามันคงไกลและลำบาก ไหนๆมาเที่ยวแล้วก็ต้องไป ไอ มัท โกกกก ....
เกือบบ่ายโมง เรานัดพี่โจ้มารับแถวๆประตูท่าแพ ระหว่างรอก็ถ่ายรูปกันไป ...
อยู่บนรถแดงนอนหลับมาเกินครึ่งทาง เริ่มห่างไกลตึก ไกลเมืองแล้ว ผมก็ลุกมาถ่ายรูปมองสองข้างทาง จนเริ่มเข้าเขตของหมู่บ้านในต่างอำเภอ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าแม่กำปองอีกไกลแค่ไหน
จนเจอผู้ชี้ความกระจ่างเป็นคุณลุงวัยประมาณหกสิบกว่าๆ อู้คำเมืองคุยกับพี่โจ้ จนได้เส้นทางที่ถูกต้อง .....
หมู่บ้านเล็กๆที่มีประชากรไม่มากนัก นักท่องเที่ยวที่เข้ามาส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัว เลยทำให้ที่นี่ยังดูสงบ ไม่วุ่นวาย
แถมบ้านที่ตั้งอยู่บนสองข้างทางถนนก็ยังคงเป็นดีไซน์ตามแบบฉบับท้องถิ่น ไม้บ้าง ผสมปูนบ้าง
และจุดที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือ มีน้ำตกลำธารเล็กๆไหลผ่านอีกด้วย หูยยย อยากมีบ้านที่นี่เลยครับ
“ชมนกชมไม้”
ร้านกาแฟที่ตั้งอยู่บนเขา ที่ทำให้เรามองวิวลงไปเห็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่กว่าจะได้ถ่ายรูปกัน
ก็ต้องรอคิวเพราะต่างคนต่างอยากนั่งริมระเบียง 555 ผมก็รอฮะ
พอได้ที่ก็รัวชัตเตอร์ไม่ยั้ง ทั้งดิจิตอล ทั้งโพลาลอยด์ ถ่ายจนสาแก่ใจ