เห็นช่วงนี้มีการถกเถียงเรื่องนรกสวรรค์กันมาก เลยอยากยกผลงานของท่านพระพรหมคุณาภรณ์มาให้อ่านกัน
โดยจะขอตัดมาในส่วนที่ท่านกล่าวถึงเรื่องกาลามสูตร
"พระพุทธเจ้าพบกับกาลามชน พวกนี้ยังไม่นับถือลัทธิศาสนาไหนทั้งนั้น พบแต่พวกเจ้าลัทธิต่าง ๆ ผ่านไปมา เขาก็ถามปัญหาพวกนั้นซึ่งสอนต่าง ๆ กันไป ต่างก็่ว่าของตนจริง ของพวกอื่นเหลวไหล ไม่รู้จะเชื่อใคร ในที่สุดพวกนี้ถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าพระพุทธเจ้าควรปฏิบัติตนอย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าให้ว่าเลยใครจริงใครเท็จ อะไรไม่ต้องพูด พระองค์บอกว่าอย่าเชื่อเพียงเพราะได้ยินได้ฟังตามกันมา เรียนกันมา อย่าเชื่อเพียงเพราะข่าวเล่าลือ อย่าเชื่อเพียงเพราะมีเขียนในตำรา หรือเพียงเพราะเห็นว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา ฯลฯ ตรัสหลักกาลามสูตร ที่มี ๑๐ ข้อให้พิจารณาด้วยตนเอง แล้วพระองค์ก็ตรัสยกตัวอย่างซึ่งมาเข้าเรื่องนรก-สวรรค์และกรรมดีกรรมชั่ว กุศล-อกุศล
ทรงสอนให้พิจารณาในปัจจุบันนี้ว่าสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่เป็นกุศล ทำแล้วมันเกื้อกูลแก่ชีวิตของตนเอง มันดีแก่ตัวเราไหม ดีต่อผู้อื่นไหม เป็นผลดีทั้งสองฝ่ายไหม ถ้าเป็นอกุศล มันดีต่อชีวิตจิตใจของเราไหม ดีต่อผู้อื่นไหม เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นไหม บางทีก็ดีต่อเรา แต่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่น หรือมันดีเพียงว่าเราเห็นในชั่วสายตา มองเห็นสั้น ๆ แคบ ๆ แต่ที่จริงมันเป็นผลร้ายแก่ตัวเราเอง เราพิจารณารอบคอบหรือยัง
เมื่อพิจารณาแล้วเราจะเห็นสิ่งที่เป็นกุศลดีงาม เป็นประโยชน์ต่อชีวิต เกื้อกูลอย่างแท้จริงแก่ชีวิตจิตใจของเราระยะยาว และแก่ผู้อื่น แก่สังคม
เมื่อพิจารณาในแง่นี้แล้ว ถามว่าอันไหนควรทำควรเว้น ก็เห็นว่าสิ่งที่ดีงามคือสิ่งที่ทำด้วยจิตใจที่ไม่ใช่เพราะโลภ โกรธ หลง เกิดจากจิตใจที่มีความเมตตา มีความเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี มีปัญญา ทำด้วยจิตแบบนี้ดีกว่า นี้ว่ากันในปัจจุบัน
ถ้าว่าเราทำดีในปัจจุบัน ได้รับผลดีและสิ่งที่เกื้อกูลแล้ว หากว่าสวรรค์มีจริง นรกมีจริง เราก็ไม่ต้องไปตกนรก ไม่ต้องไปรับผลร้าย เราจะไปสวรรค์ ได้รับผลดีก็เป็นข้อกำไรเพิ่มเติมขึ้น ถ้าหากว่าเป็นฝ่ายอกุศลคือความชั่ว เกิดจากโลภ โกรธ หลง ในปัจจุบันนี้
มันก็ไม่เกื้อกูลแก่จิตใจอย่างน้อยก็ระยะยาว และเป็นการเบียดเบียน ไม่เกื้อกูลแก่สังคม เป็นอันว่าผลเสียก็เกิดขึ้นในโลกตั้งแต่ชาตินี้ แล้วเมื่อตายไปถ้านรก-สวรรค์มีจริง เราก็ไม่ได้ไปสวรรค์ แต่ไปนรกแน่นอน ก็เป็นอันว่าเสียผลทั้งสองด้าน
เพราะฉะนั้น ก็เป็นอันสรุปในแง่นี้ได้ว่า ถึงแม้ไม่ต้องใช้ศรัทธา เอาตามเหตุผล ก็ควรทำกรรมดีละเว้นกรรมชั่ว นี้เป็นแนวกาลามสูตร นี่ก็เป็นการวางท่าทีแบบหนึ่ง"
อ่านฉบับเต็มได้ที่
https://trang82.files.wordpress.com/2012/05/081-e0b899e0b8a3e0b881-e0b8aae0b8a7e0b8a3e0b8a3e0b884e0b98c-e0b983e0b899e0b89ee0b8a3e0b8b0e0b984e0b895e0b8a3e0b89be0b8b4e0b88ee0b881.pdf
จะเห็นได้ว่ากาลามสูตรไม่ได้มีแค่คำว่า "อย่าเชื่อตำรา" เพียงแค่ประโยคเดียว แต่ให้พิจารณาว่าความเชื่อนั้นเป็นกุศล หรือ อกุศล
ดังนั้นหากทำดีแล้วสวรรค์ไม่มี ก็จะได้รับความสุขในปัจจุบัน แต่หากสวรรค์มีก็จะได้รับผลดีเพิ่มเป็นสองเท่าคือทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
สังเกตุอีกอย่างหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าตรัสกับกาลามชนผู้ยังไม่นับถือใคร เลยทรงตรัสเรื่องความเชื่ออย่างกลางๆ
ไม่ได้ทรงตรัสกับพระภิกษุให้ใช้กาลามสูตรพิจารณาว่าสิ่งใดเป็นหรือไม่เป็นคำสั่งสอนของพระองค์แต่อย่างใด
ผลงานท่านพระพรหมคุณาภรณ์ เรื่องนรก สวรรค์
โดยจะขอตัดมาในส่วนที่ท่านกล่าวถึงเรื่องกาลามสูตร
"พระพุทธเจ้าพบกับกาลามชน พวกนี้ยังไม่นับถือลัทธิศาสนาไหนทั้งนั้น พบแต่พวกเจ้าลัทธิต่าง ๆ ผ่านไปมา เขาก็ถามปัญหาพวกนั้นซึ่งสอนต่าง ๆ กันไป ต่างก็่ว่าของตนจริง ของพวกอื่นเหลวไหล ไม่รู้จะเชื่อใคร ในที่สุดพวกนี้ถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าพระพุทธเจ้าควรปฏิบัติตนอย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าให้ว่าเลยใครจริงใครเท็จ อะไรไม่ต้องพูด พระองค์บอกว่าอย่าเชื่อเพียงเพราะได้ยินได้ฟังตามกันมา เรียนกันมา อย่าเชื่อเพียงเพราะข่าวเล่าลือ อย่าเชื่อเพียงเพราะมีเขียนในตำรา หรือเพียงเพราะเห็นว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา ฯลฯ ตรัสหลักกาลามสูตร ที่มี ๑๐ ข้อให้พิจารณาด้วยตนเอง แล้วพระองค์ก็ตรัสยกตัวอย่างซึ่งมาเข้าเรื่องนรก-สวรรค์และกรรมดีกรรมชั่ว กุศล-อกุศล
ทรงสอนให้พิจารณาในปัจจุบันนี้ว่าสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่เป็นกุศล ทำแล้วมันเกื้อกูลแก่ชีวิตของตนเอง มันดีแก่ตัวเราไหม ดีต่อผู้อื่นไหม เป็นผลดีทั้งสองฝ่ายไหม ถ้าเป็นอกุศล มันดีต่อชีวิตจิตใจของเราไหม ดีต่อผู้อื่นไหม เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นไหม บางทีก็ดีต่อเรา แต่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่น หรือมันดีเพียงว่าเราเห็นในชั่วสายตา มองเห็นสั้น ๆ แคบ ๆ แต่ที่จริงมันเป็นผลร้ายแก่ตัวเราเอง เราพิจารณารอบคอบหรือยัง
เมื่อพิจารณาแล้วเราจะเห็นสิ่งที่เป็นกุศลดีงาม เป็นประโยชน์ต่อชีวิต เกื้อกูลอย่างแท้จริงแก่ชีวิตจิตใจของเราระยะยาว และแก่ผู้อื่น แก่สังคม
เมื่อพิจารณาในแง่นี้แล้ว ถามว่าอันไหนควรทำควรเว้น ก็เห็นว่าสิ่งที่ดีงามคือสิ่งที่ทำด้วยจิตใจที่ไม่ใช่เพราะโลภ โกรธ หลง เกิดจากจิตใจที่มีความเมตตา มีความเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี มีปัญญา ทำด้วยจิตแบบนี้ดีกว่า นี้ว่ากันในปัจจุบัน
ถ้าว่าเราทำดีในปัจจุบัน ได้รับผลดีและสิ่งที่เกื้อกูลแล้ว หากว่าสวรรค์มีจริง นรกมีจริง เราก็ไม่ต้องไปตกนรก ไม่ต้องไปรับผลร้าย เราจะไปสวรรค์ ได้รับผลดีก็เป็นข้อกำไรเพิ่มเติมขึ้น ถ้าหากว่าเป็นฝ่ายอกุศลคือความชั่ว เกิดจากโลภ โกรธ หลง ในปัจจุบันนี้
มันก็ไม่เกื้อกูลแก่จิตใจอย่างน้อยก็ระยะยาว และเป็นการเบียดเบียน ไม่เกื้อกูลแก่สังคม เป็นอันว่าผลเสียก็เกิดขึ้นในโลกตั้งแต่ชาตินี้ แล้วเมื่อตายไปถ้านรก-สวรรค์มีจริง เราก็ไม่ได้ไปสวรรค์ แต่ไปนรกแน่นอน ก็เป็นอันว่าเสียผลทั้งสองด้าน
เพราะฉะนั้น ก็เป็นอันสรุปในแง่นี้ได้ว่า ถึงแม้ไม่ต้องใช้ศรัทธา เอาตามเหตุผล ก็ควรทำกรรมดีละเว้นกรรมชั่ว นี้เป็นแนวกาลามสูตร นี่ก็เป็นการวางท่าทีแบบหนึ่ง"
อ่านฉบับเต็มได้ที่ https://trang82.files.wordpress.com/2012/05/081-e0b899e0b8a3e0b881-e0b8aae0b8a7e0b8a3e0b8a3e0b884e0b98c-e0b983e0b899e0b89ee0b8a3e0b8b0e0b984e0b895e0b8a3e0b89be0b8b4e0b88ee0b881.pdf
จะเห็นได้ว่ากาลามสูตรไม่ได้มีแค่คำว่า "อย่าเชื่อตำรา" เพียงแค่ประโยคเดียว แต่ให้พิจารณาว่าความเชื่อนั้นเป็นกุศล หรือ อกุศล
ดังนั้นหากทำดีแล้วสวรรค์ไม่มี ก็จะได้รับความสุขในปัจจุบัน แต่หากสวรรค์มีก็จะได้รับผลดีเพิ่มเป็นสองเท่าคือทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
สังเกตุอีกอย่างหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าตรัสกับกาลามชนผู้ยังไม่นับถือใคร เลยทรงตรัสเรื่องความเชื่ออย่างกลางๆ
ไม่ได้ทรงตรัสกับพระภิกษุให้ใช้กาลามสูตรพิจารณาว่าสิ่งใดเป็นหรือไม่เป็นคำสั่งสอนของพระองค์แต่อย่างใด