คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
เมษายน 2556 : เจอเขาครั้งแรก ท่ามกลางความมืดมิด เสียงหริ่งเรไร เงาไม้ใหญ่ทึบทะมึนไหวพลิ้ว ...และสายฝนที่เพิ่งหยุดตกลง ณ วัดป่าที่สมัครไปฝึกปฏิบัติธรรม เราเดินหาที่พักกันไม่เจอ เลยไปเคาะประตูห้องเขาเพื่อถามทาง เขาคุยกับพวกเราไม่รู้เรื่อง เพราะเขาเป็นคนต่างชาติ เราเลยเสนอหน้าไปคุยกับเขาเป็นภาษาอังกฤษ แต่เขาก็ไม่คุยกับเราไม่มองหน้าเราเลย ยังคุยกับคนที่เคาะประตูอยู่นั่นแหละ
พฤษภาคม 2556 : กลับกรุงเทพฯ หลังจากอยู่วัดป่าได้ 3 สัปดาห์ แต่เขาที่เราเจอจะกลับประเทศต้นเดือนมิถุนา โดยจะแวะไปหลายๆวัดที่จังหวัดทางอีสานก่อนกลับ เราอาสาไปเป็นเพื่อนเขาช่วงที่จะตระเวนไปวัดภาคอีสาน แล้วกะจะอยู่จนส่งเขาขึ้นเครื่องบินที่กรุงเทพฯ เพื่อกลับประเทศด้วย
12 มิถุนายน 2556 : เขาไม่สบายมาตลอด ก็เลยพาไปตรวจที่โรงพยาบาลในตัวเมือง หมอส่งตัวเอกซเรย์ปอด แล้วแปลผลเอกซเรย์ให้เรา 2 คนฟัง ว่า เขาเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ..เราสองคนเลยใช้ชีวิตตะลอนอยู่ที่หลายวัดในภาคอีสานต่อไปอีกโดยไม่คาดฝัน และข้ามไปลาวเพื่อต่อวีซ่าที่สถานทูตไทย นครเวียงจันทน์ ในบางครั้ง
11 กันยายน 2556 : แล้วเราก็ได้พาเขามาขึ้นเครื่องบินกลับประเทศที่ดอนเมือง ..เรารอและมองจนเครื่องบินหายลับไปจากสายตา ..ไม่รู้ว่าในชีวิตจะได้พบกันอีกหรือไม่
1 พฤศจิกายน 2556 : เราเดินทางตามไปที่บ้านเกิดเมืองนอนของเขา ...ประเทศอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในโลก .ประเทศที่เต็มไปด้วยเกาะกว่า 17,000 แห่ง กว้างใหญ่จนมี 3 โซนเวลาในประเทศเดียวกัน ..ประเทศที่ตัวเองไม่เคยคิดว่าจะวางแผนไปมาก่อน ...เราเจอเขาในวันรุ่งขึ้น เรายิ้มดีใจเมื่อเห็นแต่เขาจำเราและจำอะไรไม่ได้ในตอนนั้น เพราะปอดถูกทำลายมาก จนหายใจลำบาก และสมองเริ่มขาดออกซิเจนมากขึ้น ...คนที่นั่นต้องรีบหารถฉุกเฉินพาเขาไปส่งโรงพยาบาลในตัวเมือง เราอุ้มเขาขึ้นรถกระบะเก่าๆติดตั้งสัญญาณไซเรน ซึ่งเป็นรถฉุกเฉินเท่าที่หาได้ ครั้งนั้น ..เป็นการนั่งรถฉุกเฉินครั้งแรกในชีวิตและในต่างแดน
ธันวาคม 2556 : TV ที่สถานพยาบาลถ่ายทอดฟุตบอลซีเกมส์ จากกรุงเนปิดอร์ เมียนม่าร์ เป็นคู่ระหว่างอินโดนีเซียกับไทย ..เราออกมายืนเชียร์ทีมไทยสุดใจขาดดิ้นอยู่หน้าห้องผู้ป่วย ท่ามกลางแขกๆชาวอินโดนีเซียที่นั่งดูยืนดูอยู่เต็มพื้นที่ ทีมชาติไทยชนะขาด ..ไม่เคยดูบอลเกมส์ไหนด้วยความปลาบปลื้มใจ และรักประเทศไทยอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้
31 ธันวาคม 2556 : เขาทรุดตั้งแต่ 8 โมงเช้าของวันสิ้นปี และถูกนำตัวเข้าห้อง ICU ราวเที่ยง หมอถูกตามตัวมาฉุกเฉินในวันสุดท้ายของปี หมอให้ยาตัวหนึ่ง โดยอธิบายว่า หากให้ยาแล้ว ร่างกายไม่ตอบรับภายในชั่วโมงนึง ก็ไม่มีโอกาสอะไรอีกแล้ว
อีกครึ่งชั่วโมงจะเที่ยงคืน ...จะเป็นวันปีใหม่ ...เรางีบหลับนอนเหยียดยาวตรงเก้าอี้ที่นั่งหน้าห้อง ICU
1 มกราคม 2557 : เกือบจะตีหนึ่ง ...เข้าวันปีใหม่ได้เกือบชั่วโมงนึงแล้ว เราสะดุ้งตื่นแล้วเดินไปเข้าห้อง ICU ทำท่าทางขออนุญาตพยาบาลหน้าห้องเพื่อเข้าไปดูคนไข้ ....จึงมีเพียงแค่เราคนต่างชาติคนหนึ่งและเป็นคนๆเดียวเท่านั้น ที่อยู่กับเขาข้างเตียงคนไข้ ..ตอนนั้นเขาลืมตาได้ หลังจากหลับตาและหายใจอย่างยากลำบากมาตลอดตั้งแต่เช้าวันสิ้นปี ...ดูสงบลงเหมือนคนปกติ สายตาจ้องมองตามเราตลอด เพียงมีน้ำตาไหลทั้งสองข้าง...ไม่เหมือนครั้งแรกที่เจอกัน ที่เขาไม่แม้จะหันมาดูเราที่พูดจ้ออยู่คนเดียวเลย ...เราหยิบผ้ามาเช็ดน้ำตาให้เขา ขณะเดียวกันก็พูดกับเขาเพียง อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมา ไปด้วย ....เรายังคงพูดอยู่คนเดียว ...แต่เขาฟังและรับรู้ .......... ........ แล้ว...เขาสะดุ้งเฮือกขึ้นเบาๆจากที่นอน .. ทิ้งตัวหลับตาลง ...พร้อมๆกับมีเสียงตื๊ดยาวจากเครื่องวัดสัญญาณชีพเหนือเตียงนอนที่หยุดทำงาน ....พยาบาลรีบวิ่งมาดู พยายามช่วยปั๊มหัวใจ แต่ไม่มีสัญญาณชีพใดๆคืนมา ...เราและพยาบาลหันไปมองดูนาฬิกาที่ผนัง ตอนนั้น 1 นาฬิกา 16 นาที วันที่ 1 มกราคม 2557 ....รายงานของโรงพยาบาลจึงบันทึกว่าเขาสิ้นใจในวันที่ 1 เดือน 1 คศ. 2014 เวลา 01.10 am. ขณะอายุ 26 ปี
4 มกราคม 2557 เราเห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเจ้าหน้าที่สถานฌาปนกิจนำฝาโลงมาปิดก่อนเที่ยง แล้วนำโลงศพขึ้นรถใหญ่วิ่งออกนอกเมืองไปสถานฌาปนกิจ ราวบ่ายสอง..โลงถูกนำเข้าเมรุเผาศพที่อยู่นอกเมือง ..ราวชั่วโมงหนึ่งจากนั้น ขณะฝนตกกระหน่ำ ทุกอย่างก็เหลือเพียงอัฐิเถ้าถ่าน
6 มกราคม 2557 : เรากลับประเทศไทย สิ้นสุดพรหมลิขิต ชะตาลิขิต ฟ้าลิขิต 8 เดือนของเรา กับสิ้นสุดการเดินทางตะลอนๆกับใครอีก ....ไม่เคยมีคำกล่าวอำลาจากปากเราทั้งสองคนเลย ..ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะภาษาใด ...เราเดินทางไปไหนมาไหนต่อไปเพียงลำพัง
พฤษภาคม 2556 : กลับกรุงเทพฯ หลังจากอยู่วัดป่าได้ 3 สัปดาห์ แต่เขาที่เราเจอจะกลับประเทศต้นเดือนมิถุนา โดยจะแวะไปหลายๆวัดที่จังหวัดทางอีสานก่อนกลับ เราอาสาไปเป็นเพื่อนเขาช่วงที่จะตระเวนไปวัดภาคอีสาน แล้วกะจะอยู่จนส่งเขาขึ้นเครื่องบินที่กรุงเทพฯ เพื่อกลับประเทศด้วย
12 มิถุนายน 2556 : เขาไม่สบายมาตลอด ก็เลยพาไปตรวจที่โรงพยาบาลในตัวเมือง หมอส่งตัวเอกซเรย์ปอด แล้วแปลผลเอกซเรย์ให้เรา 2 คนฟัง ว่า เขาเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ..เราสองคนเลยใช้ชีวิตตะลอนอยู่ที่หลายวัดในภาคอีสานต่อไปอีกโดยไม่คาดฝัน และข้ามไปลาวเพื่อต่อวีซ่าที่สถานทูตไทย นครเวียงจันทน์ ในบางครั้ง
11 กันยายน 2556 : แล้วเราก็ได้พาเขามาขึ้นเครื่องบินกลับประเทศที่ดอนเมือง ..เรารอและมองจนเครื่องบินหายลับไปจากสายตา ..ไม่รู้ว่าในชีวิตจะได้พบกันอีกหรือไม่
1 พฤศจิกายน 2556 : เราเดินทางตามไปที่บ้านเกิดเมืองนอนของเขา ...ประเทศอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในโลก .ประเทศที่เต็มไปด้วยเกาะกว่า 17,000 แห่ง กว้างใหญ่จนมี 3 โซนเวลาในประเทศเดียวกัน ..ประเทศที่ตัวเองไม่เคยคิดว่าจะวางแผนไปมาก่อน ...เราเจอเขาในวันรุ่งขึ้น เรายิ้มดีใจเมื่อเห็นแต่เขาจำเราและจำอะไรไม่ได้ในตอนนั้น เพราะปอดถูกทำลายมาก จนหายใจลำบาก และสมองเริ่มขาดออกซิเจนมากขึ้น ...คนที่นั่นต้องรีบหารถฉุกเฉินพาเขาไปส่งโรงพยาบาลในตัวเมือง เราอุ้มเขาขึ้นรถกระบะเก่าๆติดตั้งสัญญาณไซเรน ซึ่งเป็นรถฉุกเฉินเท่าที่หาได้ ครั้งนั้น ..เป็นการนั่งรถฉุกเฉินครั้งแรกในชีวิตและในต่างแดน
ธันวาคม 2556 : TV ที่สถานพยาบาลถ่ายทอดฟุตบอลซีเกมส์ จากกรุงเนปิดอร์ เมียนม่าร์ เป็นคู่ระหว่างอินโดนีเซียกับไทย ..เราออกมายืนเชียร์ทีมไทยสุดใจขาดดิ้นอยู่หน้าห้องผู้ป่วย ท่ามกลางแขกๆชาวอินโดนีเซียที่นั่งดูยืนดูอยู่เต็มพื้นที่ ทีมชาติไทยชนะขาด ..ไม่เคยดูบอลเกมส์ไหนด้วยความปลาบปลื้มใจ และรักประเทศไทยอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้
31 ธันวาคม 2556 : เขาทรุดตั้งแต่ 8 โมงเช้าของวันสิ้นปี และถูกนำตัวเข้าห้อง ICU ราวเที่ยง หมอถูกตามตัวมาฉุกเฉินในวันสุดท้ายของปี หมอให้ยาตัวหนึ่ง โดยอธิบายว่า หากให้ยาแล้ว ร่างกายไม่ตอบรับภายในชั่วโมงนึง ก็ไม่มีโอกาสอะไรอีกแล้ว
อีกครึ่งชั่วโมงจะเที่ยงคืน ...จะเป็นวันปีใหม่ ...เรางีบหลับนอนเหยียดยาวตรงเก้าอี้ที่นั่งหน้าห้อง ICU
1 มกราคม 2557 : เกือบจะตีหนึ่ง ...เข้าวันปีใหม่ได้เกือบชั่วโมงนึงแล้ว เราสะดุ้งตื่นแล้วเดินไปเข้าห้อง ICU ทำท่าทางขออนุญาตพยาบาลหน้าห้องเพื่อเข้าไปดูคนไข้ ....จึงมีเพียงแค่เราคนต่างชาติคนหนึ่งและเป็นคนๆเดียวเท่านั้น ที่อยู่กับเขาข้างเตียงคนไข้ ..ตอนนั้นเขาลืมตาได้ หลังจากหลับตาและหายใจอย่างยากลำบากมาตลอดตั้งแต่เช้าวันสิ้นปี ...ดูสงบลงเหมือนคนปกติ สายตาจ้องมองตามเราตลอด เพียงมีน้ำตาไหลทั้งสองข้าง...ไม่เหมือนครั้งแรกที่เจอกัน ที่เขาไม่แม้จะหันมาดูเราที่พูดจ้ออยู่คนเดียวเลย ...เราหยิบผ้ามาเช็ดน้ำตาให้เขา ขณะเดียวกันก็พูดกับเขาเพียง อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมา ไปด้วย ....เรายังคงพูดอยู่คนเดียว ...แต่เขาฟังและรับรู้ .......... ........ แล้ว...เขาสะดุ้งเฮือกขึ้นเบาๆจากที่นอน .. ทิ้งตัวหลับตาลง ...พร้อมๆกับมีเสียงตื๊ดยาวจากเครื่องวัดสัญญาณชีพเหนือเตียงนอนที่หยุดทำงาน ....พยาบาลรีบวิ่งมาดู พยายามช่วยปั๊มหัวใจ แต่ไม่มีสัญญาณชีพใดๆคืนมา ...เราและพยาบาลหันไปมองดูนาฬิกาที่ผนัง ตอนนั้น 1 นาฬิกา 16 นาที วันที่ 1 มกราคม 2557 ....รายงานของโรงพยาบาลจึงบันทึกว่าเขาสิ้นใจในวันที่ 1 เดือน 1 คศ. 2014 เวลา 01.10 am. ขณะอายุ 26 ปี
4 มกราคม 2557 เราเห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเจ้าหน้าที่สถานฌาปนกิจนำฝาโลงมาปิดก่อนเที่ยง แล้วนำโลงศพขึ้นรถใหญ่วิ่งออกนอกเมืองไปสถานฌาปนกิจ ราวบ่ายสอง..โลงถูกนำเข้าเมรุเผาศพที่อยู่นอกเมือง ..ราวชั่วโมงหนึ่งจากนั้น ขณะฝนตกกระหน่ำ ทุกอย่างก็เหลือเพียงอัฐิเถ้าถ่าน
6 มกราคม 2557 : เรากลับประเทศไทย สิ้นสุดพรหมลิขิต ชะตาลิขิต ฟ้าลิขิต 8 เดือนของเรา กับสิ้นสุดการเดินทางตะลอนๆกับใครอีก ....ไม่เคยมีคำกล่าวอำลาจากปากเราทั้งสองคนเลย ..ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะภาษาใด ...เราเดินทางไปไหนมาไหนต่อไปเพียงลำพัง
แสดงความคิดเห็น
ใครเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องของพรหมลิขิตในชีวิตบ้าง