เช็คอินเสร็จได้เวลาผจญภัยแล้ว สำคัญและมีประโยชน์มากคือแผนที่ค่ะ โรงแรมจะให้ ในแผนที่บอกหมดว่าที่เที่ยวไหนอยู่ตรงไหน ขึ้น Metroสายไหนสีอะไร
โรงแรมอยู่ไกลตัวเมืองประมาณ 4-5 สถานี ที่ใกล้โรงแรมคือเดินข้ามฝั่งคือสถานี Colonel Fabien ค่ะ
จขกท. ซื้อตั๋ว one day ticket ค่ะ คือไปไหนได้หมดใน 1 วันราคา 7 ยูโร เรียกว่า Mobilis ค่ะ (ขอบคุณรูปตั๋วจากเวปไซต์ค่ะ)
ตอนซื้อขอแอบเล่า เจ้าหน้าที่เค้าไม่มีหน้าที่ขายตั๋วแบบบ้านเรานะคะ ต้องกด แฟนเราหยอดกด อยย ขึ้นมา 5 อย่าง งงมาก เราเลยไปถามว่า โทษนะคะ ฉันจะเลือกอันไหนดดี นางก้อตอบมา Mobilis แต่นางพูดเร็วเรางงไปสามวิ แล้วบอกนาง English please นางตอบมาเป็นเลย โม บี ลีสสสสสสส ค่ะ สวัสดี คนสวยมักเปิ่นเนอะ ฮี่ ๆ
อันนี้หน้าตาตู้ค่า
รถไฟของที่นี่ค่อนข้างเก่าค่ะ คือครั้งแรกนี่อึ้งไปเลย (*.*) ตอนแรกคิดว่าดีกว่านี้แต่คิดในแง่ดีเค้าคงพัฒนาก่อนบ้านเรามาหลายสิปปีมากกกก รถไฟเค้าเลยดูเก่ากว่าของเรา แต่ความสะดวกสบายก้อถือว่าดีค่ะ แต่ประตูมีบางสายต้องเปิดเองด้วย ชะนีไม่เข้าใจได้แต่ยืนสวย ฮ่า ๆ
ใช้เวลาอยู่ที่ Louvre ค่อนข้างนาน เดินจนเมื่อยมากกกก จาก Louvre เราสามารถเดินไป Arc de Triomphe ได้โดยผ่าน Jardin Des Tuileries ค่ะ
นั่งกินไอติมตรงนี้เกือบครึ่งชั่วโมง บรรยากาศและอากาศดีสุดสุด (ตอนนั้นประมาณ 25 องศาค่ะ)
จากตรงนี้เดินไปเรื่อย ๆ ผ่าน Champs-Élysées ร้านค้ามากมายและลดราคากันแบบน้ำตาจิไหลจริง ๆ
เดินมา 10 นาทีเจอแล้วค่ะเจ้าประตูชัย Arc de Triomphe ใหญ่ยักษ์สมคำร่ำลือ
พอดีวันนั้นมีงาน อารมณ์เหมือนวันรำลึกถึงทหารผ่านศึก ทหารรุ่นเดอะมาวางดอกไม้กันเพียบเลยอดขึ้นข้างบน แต่ไม่เป็นไรเพราะเราต้องไปกันต่อค่ะ
จากนั้นเดินไม่ไหวแล้วนั่ง Metro ไปลงได้ 3 สถานีค่ะ Trocadero, Bir Hakeim, Ecole Militaire หรือจะต่อจากสาย 6 ไปลงสถานีรถชานเมือง RER คือ Champ de Mars Tour Eiffel ก้อได้ค่ะ จะใกล้หน่อย แต่จขกท. ลงที่ Bir Hakeim ค่ะ เดินมา 5-10 นาที เจอแว้ววววว Tour Eiffel
เดินกันสักครึ่งชั่วโมงก็ปรึกษากันว่าจะไปดินเนอร์กันแถว ๆ Pigalle ค่ะ ที่นั่นยังมี Hi-Light อีกที่เด็ด ๆ ก็นั่ง Metro ไปลงสถานี Pigalle เลยค่ะ
ที่นี่มีร้านอาหาร บาร์ คลับชิล ๆ เต็มไปหมดที่ดัง ๆ ระเบิดระเบ้อคือ Moulin Rouge นั่นเองค่ะ
แต่จขกท. ไม่ได้เข้าคร่ะ !! ฮ่า ๆ เนื่องจากจะไปดินเนอร์สุดโรแมนติคบนยอดเขาที่มีโบสถ์เก่าแก่อีกอันคือ Bassilique de Sacré-Coeur และบริเวณข้างบนยังมีลานศิลปะ มีคนนั่งวาดภาพข้างทางเต็มไปหมด เราเลือกที่จะเดินค่ะ ประมาณ 20 นาทีขึ้นเขา
ตอนนี้เข่าจขกท.ถึงขั้นโอดครวญดังเอี๊ยด อ๊าด (-..-)" เดินขึ้นมาถึง ปิ๊ง หายเหนื่อยกับวิวข้างหน้าค่ะ
สวยงามมมมมมม เรานั่งพักแถวนั้นค่ะ ยังไม่ทันหย่อนก้น มีคนผิวดำแย่งมาขายเบียร์ให้ กป.ละ 1 ยูโร ดื่มไม่ทันหมด แย่งกันมาขายอีกละ Hard sale มากค่ะ TT_TT และที่ต้องระวังคือแถวนี้ต้องระวัง pick pocket มาก ๆ ค่ะ ถึงขั้นนมีป้ายเตือน
มาดูโบสถ์กันดีกว่า (ขอบคุณรูปจากเวปค่ะ รูปของ จขกท ที่นี่ไม่สวยเลยยยย)
ข้างในก้อสวยไม่แพ้กันค่ะ โชคดีเจอเค้าทำพิธีอะไรไม่รู้สักอย่าง เลยนั่งฟัง (จริง ๆ ไม่เข้าใจ ฮ่า ๆ ) พอจะเดินออกวิ่งไปเอาน้ำพุที่อยู่หน้ารูปมาเจิมหน้าผาก ฝรั่งแถวนั้นมองหน้าแบบ โอววว ว๊อท อาร์ ยูดูอิ้งงงง ? เอาน้ำแตะหน้าผากทามมมายยยยย ชะนีไทยอย่างเราได้แต่มั่นค่ะ หึหึ น้ำมนต์อ่ะ รู้จักป่ะ
สามทุ่มแล้วแต่ยังเหมือนหกโมงเย็นบ้านเรา ไปหาที่กินข้าวกันดีกว่า ก้อทานบนเขาละคะ แต่เสียดายมิได้ถ่ายรูปมาเยอะเพราะจขกท. เกือบพลีชีพแล้ว เดินตั้งแต่เที่ยงนี่สามทุ่มแล้ววว ><" มีแต่รูปสไปร์ทวันเกิดคุณแฟน
สุดแสนจะโรแมนติค ฮ่า ๆ นั่งดื่มไวน์จนห้าทุ่มกว่า ไม่ไหวแล้ว สังขารจะล่องแล้ว กลับโรงแรมก่อนดีกว่า นั่ง Metro เหมือนเดิมค่ะไปลง Colonel Fabien
เจอรูมเมทน่ารักเป็นชายสวิส 1 หญิงอังกฤษ 1 หญิงจีน 1 หญิงออส 1 ข้อดีของการนอน Hostel ^^ คือการได้พบปะเพื่อนใหม่ หัวถึงหมอมหลับเป็นตาย (-.-)zzZ
เช้าวันที่ 2 ตื่นมา 9.15 เดินออกไปหน้างโรงแรมสูดอากาศ เลยถามพนักงานว่า check out กี่โมง (ใจนึกว่าเที่ยง) นางบอก สิบโมงค่ะ..ห๊ะ !!! ตาลีตาเหลือกกลับห้อง แถมลืมตัวไปปลุกคนอื่นด้วย เทอ ๆ ตื่น ๆ เราต้อง check out กันแล้วนะ ทุกคนงัวเงียแถมงง สักพักนึกได้ ง่อวววว์ เค้าไม่ได้นอนคืนเดียวอย่างเรา Sorry เบา ๆ และไปอาบน้ำเงียบ ๆ =*=
เช้าวันที่สองจะนั่งรถเที่ยวค่ะ เดินไม่ไหวแล้ว ก้อไปซื้อของฝากพอประปรายแล้วก็นั่งรถวนไปเรื่อย ๆ ปารีสรถติดมากข่าาาาาา พูดเลย แถมบีบแตรใส่กัน อารมณ์ร้อน จะต่อยกันก้อมี (นี่มันกรุงเทพเลย ! ) ใช้เวลาไม่นานเพราะจะไปเบลเยี่ยมต่อ
รีวิวแบบเที่ยวผิว ๆ ใน 1 วันนะคะ ได้ไปสถานที่สำคัญๆ เกือบครบอยู่ ^^
1. Paris เป็นเมืองที่สวยงามเรื่องสถาปัตยกรรม เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของประวัติศาสตร์ โรแมนติคพอได้ จขกท. รักนะจุดนี้เพราะชอบประวัติศาสตร์ ฟินและอินฝุด ๆ
2. Paris เป็นเมืองที่วุ่นวายเหมือนกรุงเทพ คนไม่ nice เท่าแถบทางใต้ ไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ พูดกันได้ ฟังดราเข้าใจแต่ตอบเป็นฝรั่งเศส (=*=) จขกท. เรียนมาตั้งแต่ม.4 -ม.6 ป่านนี่คืนอาจารย์ไปหมดแล้ววววข่าาาาา
3. Paris เป็นเมืองที่คนผิวดำเยอะมาก คงผลมาจากการที่ฝรั่งเศสล่าอาณานิคมตั้งแต่สมัยก่อน
4. Paris เป็นเมืองที่ต้องระวังเรื่องการล้วงกระเป๋ามาก ๆ มีเพื่อน ๆ เคยโดนล้วงไปแล้ว
ขอจบแค่นี้นะคะสำหรับรีวิวครั้งแรก มีอะไรแนะนำได้เลยค่ะ ^_^ รอบหน้าจะพาไปเที่ยว Belgium กันต่อนะคะ ^_^ ชอบกดไลค์ ไม่ชอบกดเลิฟนะคะ ฮี่ ๆ
[CR] :: Paris in <3 วันเดียวก็เที่ยวได้ ::
เริ่มจากจขกท. ไปเที่ยวบ้านแฟนที่เนเธอร์แลนด์ประมาณ 2 สัปดาห์แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 เลยอยากเที่ยวที่อื่นบ้างเลยวางแผนไป Paris จขกท.เป็นเด็กสายศิลป์ค่ะ อังกฤษ-ฝรั่งเศส เพราะฉะนั้นการไปฝรั่งเศสนี่คือฟินสุด ๆ แต่เนื่องจากทริปนี้เวลาน้อยเลยได้ไปแค่ Paris ก่อน TT_TT
Trip นี้ เป็น road trip ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงค่ะ โดยขับจาก Leiden (20 นาทีจาก Amsterdam) ผ่านเข้าเบลเยี่ยมและเข้าฝรั่งเศส
วันที่เดินทางแอบมีฝนเลยมีน้องสายรุ้งโผล่มาให้เห็น
ใช้เวลา 5 ชั่วโมงก็มาถึงโรงแรมที่พักค่ะ (ออก 6.30 ตอนเช้าถึงประมาณ 11.30 ค่า) เราพักที่นี่เลยค่ะ The Generator Hostel Paris เพราะเห็นหลายกระทู้แนะนำ ที่นี่มีทั้งห้องรวม 8 ท่าน, 6 ท่าน และห้องแยกค่ะ ตอนที่ไปพักห้องแยกส่วนตัวราคา 104 ยูโรต่อคน (ถือว่าแพงทีเดียว) จขกท. เลือกห้องรวม 6 คนค่ะ (คนละ 45 ยูโรไม่รวมอาหารเช้าถ้ารวมอาหารเช้าเพิ่มอีก 5 ยูโร)
โรงแรมน่ารักค่ะ เช็คอินได้ตั้งแต่บ่ายสองค่ะ เช็คเอ้าท์สิบโมงเช้าค่ะ
โรงแรมไม่มีอะไรให้เลยนะคะ แต่มีขายทุกอย่าง ทางที่ดีเตรียมไปให้หมดค่ะ ผ้าเช็ดตัว อุปกรณ์อาบน้ำส่วนตัวต่าง ๆ ทางโรงแรมมีล๊อคเกอร์ให้เช่าเก็บของค่ะมีหลายราคาเราเลือก 24 ชั่วโมง 6 ยูโร ^_^ แต่ถ้าใครกระเป๋าไซส์เล็กเอาไปเก็บที่ใต้เตียงก็ได้ค่ะ เค้ามีตู้ให้เพียงแต่เอากุญแจไปล๊อคเอง โรงแรมไม่มีล๊อคให้ ถ้าซื้อก้อ 6 ยูโร (จขกท. เอาไปเองทุกอย่างเพราะแอบงกค่า แพงงง ><")
ขับรถมาไกลขอจิบเบียร์หน่อย ^_^
จขกท. ซื้อตั๋ว one day ticket ค่ะ คือไปไหนได้หมดใน 1 วันราคา 7 ยูโร เรียกว่า Mobilis ค่ะ (ขอบคุณรูปตั๋วจากเวปไซต์ค่ะ)
อันนี้หน้าตาตู้ค่า
รถไฟของที่นี่ค่อนข้างเก่าค่ะ คือครั้งแรกนี่อึ้งไปเลย (*.*) ตอนแรกคิดว่าดีกว่านี้แต่คิดในแง่ดีเค้าคงพัฒนาก่อนบ้านเรามาหลายสิปปีมากกกก รถไฟเค้าเลยดูเก่ากว่าของเรา แต่ความสะดวกสบายก้อถือว่าดีค่ะ แต่ประตูมีบางสายต้องเปิดเองด้วย ชะนีไม่เข้าใจได้แต่ยืนสวย ฮ่า ๆ
แผนของเราคือไปลงที่สถานี St.Michel Notre-Dame เดินมาสัก 3 นาที แท๊แด.... Notre-Dame de Paris สวยหายเหนื่อยค่ะ
สวยงามอลังการทั้งข้างนอกข้างในค่ะ แต่จขกท.ไมได้ขึ้นไปข้างบนนะคะ คิวยาวววววมาก เวลาน้อยต้องไปอีกหลายที่
จากนั้นเดินต่อไปเพื่อไปยัง Mousee de Louvre ระหว่างทางเจอวิวสวย ๆ ของ Pont Au Change
เดินมาสัก 10 นาทีก็เจอ Mousse de Lourve ค่ะ สวยงามตามท้องเรื่องเเช่นเคย
ใช้เวลาอยู่ที่ Louvre ค่อนข้างนาน เดินจนเมื่อยมากกกก จาก Louvre เราสามารถเดินไป Arc de Triomphe ได้โดยผ่าน Jardin Des Tuileries ค่ะ
นั่งกินไอติมตรงนี้เกือบครึ่งชั่วโมง บรรยากาศและอากาศดีสุดสุด (ตอนนั้นประมาณ 25 องศาค่ะ)
จากตรงนี้เดินไปเรื่อย ๆ ผ่าน Champs-Élysées ร้านค้ามากมายและลดราคากันแบบน้ำตาจิไหลจริง ๆ
เดินมา 10 นาทีเจอแล้วค่ะเจ้าประตูชัย Arc de Triomphe ใหญ่ยักษ์สมคำร่ำลือ
พอดีวันนั้นมีงาน อารมณ์เหมือนวันรำลึกถึงทหารผ่านศึก ทหารรุ่นเดอะมาวางดอกไม้กันเพียบเลยอดขึ้นข้างบน แต่ไม่เป็นไรเพราะเราต้องไปกันต่อค่ะ
จากนั้นเดินไม่ไหวแล้วนั่ง Metro ไปลงได้ 3 สถานีค่ะ Trocadero, Bir Hakeim, Ecole Militaire หรือจะต่อจากสาย 6 ไปลงสถานีรถชานเมือง RER คือ Champ de Mars Tour Eiffel ก้อได้ค่ะ จะใกล้หน่อย แต่จขกท. ลงที่ Bir Hakeim ค่ะ เดินมา 5-10 นาที เจอแว้ววววว Tour Eiffel
เดินกันสักครึ่งชั่วโมงก็ปรึกษากันว่าจะไปดินเนอร์กันแถว ๆ Pigalle ค่ะ ที่นั่นยังมี Hi-Light อีกที่เด็ด ๆ ก็นั่ง Metro ไปลงสถานี Pigalle เลยค่ะ
ที่นี่มีร้านอาหาร บาร์ คลับชิล ๆ เต็มไปหมดที่ดัง ๆ ระเบิดระเบ้อคือ Moulin Rouge นั่นเองค่ะ
แต่จขกท. ไม่ได้เข้าคร่ะ !! ฮ่า ๆ เนื่องจากจะไปดินเนอร์สุดโรแมนติคบนยอดเขาที่มีโบสถ์เก่าแก่อีกอันคือ Bassilique de Sacré-Coeur และบริเวณข้างบนยังมีลานศิลปะ มีคนนั่งวาดภาพข้างทางเต็มไปหมด เราเลือกที่จะเดินค่ะ ประมาณ 20 นาทีขึ้นเขา
สวยงามมมมมมม เรานั่งพักแถวนั้นค่ะ ยังไม่ทันหย่อนก้น มีคนผิวดำแย่งมาขายเบียร์ให้ กป.ละ 1 ยูโร ดื่มไม่ทันหมด แย่งกันมาขายอีกละ Hard sale มากค่ะ TT_TT และที่ต้องระวังคือแถวนี้ต้องระวัง pick pocket มาก ๆ ค่ะ ถึงขั้นนมีป้ายเตือน
มาดูโบสถ์กันดีกว่า (ขอบคุณรูปจากเวปค่ะ รูปของ จขกท ที่นี่ไม่สวยเลยยยย)
ข้างในก้อสวยไม่แพ้กันค่ะ โชคดีเจอเค้าทำพิธีอะไรไม่รู้สักอย่าง เลยนั่งฟัง (จริง ๆ ไม่เข้าใจ ฮ่า ๆ ) พอจะเดินออกวิ่งไปเอาน้ำพุที่อยู่หน้ารูปมาเจิมหน้าผาก ฝรั่งแถวนั้นมองหน้าแบบ โอววว ว๊อท อาร์ ยูดูอิ้งงงง ? เอาน้ำแตะหน้าผากทามมมายยยยย ชะนีไทยอย่างเราได้แต่มั่นค่ะ หึหึ น้ำมนต์อ่ะ รู้จักป่ะ
สุดแสนจะโรแมนติค ฮ่า ๆ นั่งดื่มไวน์จนห้าทุ่มกว่า ไม่ไหวแล้ว สังขารจะล่องแล้ว กลับโรงแรมก่อนดีกว่า นั่ง Metro เหมือนเดิมค่ะไปลง Colonel Fabien
เจอรูมเมทน่ารักเป็นชายสวิส 1 หญิงอังกฤษ 1 หญิงจีน 1 หญิงออส 1 ข้อดีของการนอน Hostel ^^ คือการได้พบปะเพื่อนใหม่ หัวถึงหมอมหลับเป็นตาย (-.-)zzZ
เช้าวันที่ 2 ตื่นมา 9.15 เดินออกไปหน้างโรงแรมสูดอากาศ เลยถามพนักงานว่า check out กี่โมง (ใจนึกว่าเที่ยง) นางบอก สิบโมงค่ะ..ห๊ะ !!! ตาลีตาเหลือกกลับห้อง แถมลืมตัวไปปลุกคนอื่นด้วย เทอ ๆ ตื่น ๆ เราต้อง check out กันแล้วนะ ทุกคนงัวเงียแถมงง สักพักนึกได้ ง่อวววว์ เค้าไม่ได้นอนคืนเดียวอย่างเรา Sorry เบา ๆ และไปอาบน้ำเงียบ ๆ =*=
เช้าวันที่สองจะนั่งรถเที่ยวค่ะ เดินไม่ไหวแล้ว ก้อไปซื้อของฝากพอประปรายแล้วก็นั่งรถวนไปเรื่อย ๆ ปารีสรถติดมากข่าาาาาา พูดเลย แถมบีบแตรใส่กัน อารมณ์ร้อน จะต่อยกันก้อมี (นี่มันกรุงเทพเลย ! ) ใช้เวลาไม่นานเพราะจะไปเบลเยี่ยมต่อ
รีวิวแบบเที่ยวผิว ๆ ใน 1 วันนะคะ ได้ไปสถานที่สำคัญๆ เกือบครบอยู่ ^^
1. Paris เป็นเมืองที่สวยงามเรื่องสถาปัตยกรรม เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของประวัติศาสตร์ โรแมนติคพอได้ จขกท. รักนะจุดนี้เพราะชอบประวัติศาสตร์ ฟินและอินฝุด ๆ
2. Paris เป็นเมืองที่วุ่นวายเหมือนกรุงเทพ คนไม่ nice เท่าแถบทางใต้ ไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ พูดกันได้ ฟังดราเข้าใจแต่ตอบเป็นฝรั่งเศส (=*=) จขกท. เรียนมาตั้งแต่ม.4 -ม.6 ป่านนี่คืนอาจารย์ไปหมดแล้ววววข่าาาาา
3. Paris เป็นเมืองที่คนผิวดำเยอะมาก คงผลมาจากการที่ฝรั่งเศสล่าอาณานิคมตั้งแต่สมัยก่อน
4. Paris เป็นเมืองที่ต้องระวังเรื่องการล้วงกระเป๋ามาก ๆ มีเพื่อน ๆ เคยโดนล้วงไปแล้ว
ขอจบแค่นี้นะคะสำหรับรีวิวครั้งแรก มีอะไรแนะนำได้เลยค่ะ ^_^ รอบหน้าจะพาไปเที่ยว Belgium กันต่อนะคะ ^_^ ชอบกดไลค์ ไม่ชอบกดเลิฟนะคะ ฮี่ ๆ