พาหัวใจไปลาว : วังเวียง-หลวงพระบาง-เวียงจันทน์
ลาวนี่มัน ‘ สี่หัวใจแห่งขุนเขา ’ จริงๆนะ!
**ย้อนเวลา -พาหัวใจไป ล า ว ภาค2 (หลวงพระบาง) ,2014
http://pantip.com/topic/33593950
พวกเราสี่คนตัดสินใจไปลาวจากการไม่ได้ไปจีนค่ะ เพราะเพื่อนที่จะร่วมทางอีกคนไม่ว่างเลยจะรอไปพร้อมกัน
ลาวจึงเป็นคล้ายทริปสำรองที่เราไม่ได้เตรียมตัวอะไรกันนัก เพราะคิดว่าใกล้บ้าน พอจะสื่อสารได้อย่างเข้าใจ
แม้เป็นที่สำรองแต่พอไปแล้วก็ติดใจมากจริงๆ ที่เอามาลงนี่ก็เพราะคิดถึงตอนนั้นและก็อยากเอามาแชร์ด้วย
(เพื่อนก็อยากเอารูปที่อุตส่าห์ถ่ายอย่างเมามันส์มาลง)
จึงเขียนรีวิวนี้ขึ้นมาค่ะ

คงเป็นการเล่าเรื่องที่เราสี่คนไปเจออะไรต่างๆที่ลาว อาจไม่ได้บอกถึงค่าใช้จ่ายอะไรมากนะคะ
เพราะทริปเกิดขึ้นเมื่อ 15-22 พฤษภาคม ปี 2 0 1 4 ก่ อ น รั ฐ ป ร ะ ห า ร ซึ่งเราก็ลืมๆเรื่องค่าใช้จ่ายกันไปแล้ว
จำได้คร่าวๆว่าเสียค่าสนุกสนานรื่นเริงกันไปไม่เกิน6,000บาท ไม่เท่ากันทั้งสี่คน เพราะกินมากน้อยไม่เท่ากันอีก
(อีกทั้งมีหลายรีวิวที่ใช้งบประมาณกันน้อยกว่านี้ จึงถือว่าไม่ได้เอามาแข่งขันฆ่าฟันราคากับคนอื่นเนาะ)
แต่ระหว่างรีวิวถ้ามีเรื่องแนะนำจากที่ไปเจอมาก็จะมาแนะนำกันค่ะ
ส่วนทำไมต้องเรียกว่า ‘ สี่หัวใจแห่งขุนเขา ’ นั้น ตอนที่ไปก็ไม่ได้คิดหรอกค่ะ แล้วก็ไม่ได้เป็นแฟนคลับพระเอกในเรื่อง
ถึงแม้เขาจะหล่อออออออกันจริงๆนั่นแหละ
แต่พอไปถึงลาวที่หลายคนก็รู้ว่ามีธรรมชาติที่สวยงามมาก และสิ่งที่เราไปเจอก็มีทั้ง ดิน น้ำ ลม ไฟ จริงๆ
ซึ่งเราจะเล่าต่อไปว่า แต่ละที่ที่ไปเจอมันสี่หัวใจแห่งขุนเขายังไง
แหม่ รู้สึกว่ากระทู้ค่อนข้างจะแฟนตาซี….
วันแรก 15 พ.ค 2014 อุดรธานี-วังเวียง
โดยรถตู้ขนาดเล็กจากสถานีขนส่งอุดรธานี
เรานั่งรถของนครชัยแอร์จากหมอชิตไปที่สถานีขนส่งอุดรค่ะ

ไปถึงประมาณ7โมงเช้าซึ่งที่ขายตั๋วไปวังเวียงยังไม่เปิด
เราจึงหาก๋วยเตี๋ยวกินแถวนั้น ก่อนมาซื้อตั๋วราคา320บาทในเวลา8:30ค่ะ
รถตู้ขนาดเล็กนั่งได้ประมาณ15ที่

ไปวังเวียงโดยไปจอดรับผู้โดยสารที่หนองคายอีกต่อหนึ่งด้วย เรานั่งไปจากอุดรที่เป็นจุดเริ่มต้นแบบนี้นั้นยังมีที่นั่งเหลืออยู่
แต่ถ้าใครไปตั้งต้นที่หนองคายอาจจะลุ้นหน่อยว่าจะมีที่นั่งหรือเปล่า ถ้ามันเต็มจากอุดรไปแล้ว
ก็คงต้องหารถอื่นหรือรถเที่ยวอื่นไปแทนนะคะ
----------
ในรถตู้นี้มีพี่คนไทยและคนลาวร่วมทางไปกับเราด้วย ระหว่างนั่งรถเราก็กรอกข้อมูลในใบผ่านเข้าเมืองที่จะส่งให้กับด่านตรวจคนเข้าเมือง
พอเขียนเสร็จก็นั่งฟังสถานีวิทยุท้องถิ่นที่พี่คนขับเปิดไปพลางๆค่ะ เพลงอีสานบิวต์อารมณ์การเดินทางครั้งนี้ของเราได้ดีมากๆ
รวมถึงเสียงของดีเจและโฆษณาส่วนใหญ่ที่จะเป็นจำพวกยาสตรี รักษามดลูก รักษาความฟิตปั๋งอะไรพวกนี้ จริงๆนะ
อ่อ ถึงในรถจะติดแอร์แต่ก็ร้อนอยู่เหมือนกัน เพราะกระจกรถบานใหญ่มาก ไม่มีม่าน แดดจ้าส่องตากันเต็มๆเลย
ถนนไปวังเวียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ค่ะ ขรุขระเป็นหลุมน้อยใหญ่ตลอดทาง พี่คนขับก็ต้องคอยหลบซ้ายทีขวาทีไปแบบนั้น
จนคนนั่งอย่างเรารู้สึกมึนและเหนื่อยล้าทีเดียว และทุกครั้งที่เจอถนนขรุขระมากๆกระจกรถก็จะเขย่าดังแกรกกก~ๆๆ
ระหว่างทางรถตู้จะจอดแวะให้เราซื้ออาหารจากร้านของคนพื้นถิ่นในเวลาเที่ยงค่ะ
แต่พวกเราที่มึนๆจากที่นั่งอยู่บนรถก็แค่ลงไปเข้าห้องน้ำเฉยๆ
พอถึงเวลาก็ขึ้นไปนอนบนรถ และก็ถึงวังเวียงโดยที่ไม่รู้ตัว...
ถึงวังเวียงประมานบ่ายๆค่ะ ไม่แน่ใจว่าบ่ายกี่โมง แต่แดดจ้ามากๆ นอนมาในรถนี่ตื่นกันเลยทีเดียว
ที่ที่รถตู้จากอุดรมาจอดคือโรงแรมMalany Villa ซึ่งที่นี่รับจองรถไปที่อื่นๆในลาวด้วยค่ะ
แต่วันแรกนี้พวกเราพักที่ River View Bangalos ค่ะ เดินวอร์คอินเข้าไป ตรงที่เจ้าของอยู่เหมือนเป็นบ้านของเขานั่นแหละ
แล้วก็แบ่งพื้นที่ทำห้องพักให้นักท่องเที่ยว เราตกลงพักที่นี่เพราะราคาไม่แพงมากค่ะ คืนละ700บาท/2คน ค่ะ

(เราแลกเงินดอลล่าร์มาจากไทยแล้วเอาดอลล่าร์มาแลกกีบที่ตม.แต่ที่ลาวเราก็ใช้เงินไทยบ้าง แล้วแต่ว่าจะจ่ายตอนไหนแล้วคุ้มกว่ากัน)

ที่พักวันแรกนี้ห้องสะอาด เงียบดี แล้วอีกอย่างก็ติดแม่น้ำซองด้วย ถือว่าบรรยากาศดีใช้ได้เลย
เราสี่คนเข้ามาเก็บของในห้อง ระหว่างนั้นเพื่อนคนหนึ่งของเราที่เป็นติ่งเกาหลีก็ได้ข่าวว่าพี่คริสวงEXOจะออกจากวง
บรรยากาศตอนนั้น(สำหรับเพื่อนคนนั้นคนเดียว)จึงหน่วงเล็กน้อย
แต่เราก็เลยจำกันได้ไปเลยว่าเราไปช่วงที่พี่คริสของมันออกจากวงนะ อย่างนี้
เราคิดว่าเวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นตอนที่เราไปเที่ยวก็จะทำให้เราจำช่วงเวลานั้นได้ดีขึ้นมาอีกนะ
เอาล่ะ ผ่านเรื่องติ่งเสียใจ ก็ถึงเรื่องเที่ยวต่อค่ะ
เราเก็บของเสร็จไม่นานก็ออกเดินมาในเมืองทันทีเพื่อหาอะไรกินค่ะ

เมืองวังเวียงเป็นเมืองเล็กๆที่มีซอกซอยให้เดินและขับจักรยานได้
เราออกมาเดินไม่นานฝนก็คล้ายจะตกค่ะ

แต่เราก็ยังเดินๆกันไปเรื่อยๆเพื่อหาร้านอาหาร
แล้วเราก็เจอร้านขายเฝอยู่ร้านหนึ่งอยู่บริเวณใกล้กับธนาคารอะไรไม่รู้สีเขียวๆ แล้วก็สถานีดาวเทียมหรือโทรศัพท์อะไรสักอย่างไม่แน่ใจ
เราหิวมากก็เลยตัดสินใจกินร้านนี้เป็นมื้อเย็นมือแรกที่วังเวียงนี้ค่ะ
นั่งรอพร้อมกับฝนที่เทลงมาแรง แล้วก็มียุงนิดหน่อย เฝอถ้วยใหญ่ก็มาเสริฟค่ะ
เราประทับใจมากเพราะรสชาติอร่อยดี อร่อยมากอ่ะ มีผักให้เยอะมากแต่ละผักบรรยายไม่หมด(และจำไม่ได้)
ที่สำคัญคือชอบมะนาวและกะปิที่เขาให้มาไม่อั้น คนชอบเปรี้ยวๆ ปรุงรสจัดๆนี่ฟินกันเลยทีเดียว
…กินเฝอ ถ่ายรูป คุยกันไปก็เป็นปกติ แต่จู่ๆก็มีเรื่องบางอย่างที่เป็นสิ่งเตือนใจเราเวลาไปเที่ยวจนถึงเวลานี้เลยค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า ขณะที่เรานั่งกันอยู่สี่คนกับเฝอชามใหญ่และสวนผักตรงหน้า
มีชาวต่างชาติที่มีอายุหน่อยนั่งอยู่คนเดียวถัดไปไม่ไกลจากเราค่ะ
เราเห็นแล้วว่าคุณเขาชอบคุยๆกับคุณน้าแม่ค้าเราก็คิดว่าธรรมดาไม่ได้สนใจอะไร
แต่พอเรากินจนหมดพร้อมกับฝนที่หยุดตกพอดีนั่นแหละ
คุณผู้ชายชาวต่างชาติเขาก็บอกเพื่อนเราคนหนึ่งให้บอกคุณน้าผู้หญิงคนลาวที่ทำเฝอให้เรากินให้หน่อยว่า
ช่วยจดชื่อที่อยู่ของคุณน้าผู้หญิงให้เขาหน่อย เผื่อเขามาอีกจะได้ติดต่อได้ ประมาณนี้
เพื่อนเราก็อาสาบอกน้าคนนั้นโดยพูดไทยที่คุณน้าฟังออก แต่คราวนี้มันแปลกค่ะ
เพราะพอเราพูดแล้วคุณน้าทำหน้าไม่รับรู้อะไรเลย หน้าคุณน้าแอบเสียนิดนึงด้วย
แต่เพื่อนเราด้วยความที่ใจดีและอยากจะทำหน้าที่ให้สำเร็จมาก จึงพยายามพูดบอกคุณน้าและคุณชาวต่างชาติ
คุณน้าผู้หญิงที่เจอเรา(ช่วย)สื่อสารมากๆเข้าก็เลยตอบออกมาว่า
ที่นี่ไม่ใช่ร้านเธอนะ เธอจำที่อยู่ไม่ได้ จำที่บ้านตัวเองก็ไม่ได้ บลาๆ ประมาณว่าเธอไม่รู้อะไรเลย
แต่สุดท้ายเราก็ปิ๊งงค่ะ!! เราเข้าใจในเมื่อใกล้สายเกินไปแต่ยังไม่สายเท่าไหร่ ว่าคุณน้าน่ะไม่อยากให้ที่อยู่กับผู้ชายคนนี้หรอก
เธอพยายามปัด และถ้าเรามองดีๆก็จะเห็นได้จากสายตาและท่าทางกระอักกระอ่วนของเธอ
พอเพื่อนเราเก้ทคุณน้า เพื่อนเราจึงบอกคุณผู้ชายสูงวัยชาวต่างชาติไปค่ะ
ว่าเธอไม่รู้ที่อยู่ จำไม่ได้ ไม่รู้อะไรเลยค่ะบลาๆ ขอบคุณค่ะ ไม่นะคะ bye แบบที่คุณน้าต้องการ
ขอโทษคุณน้า(ทางสายตา) แล้วก็เดินออกจากร้านมาเลย
เรื่องนี้เตือนเราให้รู้ว่า เวลาไปเที่ยวแบบนี้จะช่วยใครก็ให้ดูอีกคนด้วยนะคะ ดูสถานการณ์ บริบท อะไรแบบนี้ให้ถี่ถ้วนก่อน
ไม่งั้นจากที่จะช่วยจะทำให้ใครอีกคนเดือดร้อนก็เป็นได้
นี่~ การเที่ยววังเวียงนี้ได้ข้อคิด…
จากเหตุการณ์นั้นเราก็เดินมาตามทางชื้นน้ำ มีน้ำขังตามแบบฝนเพิ่งหยุดตกไปเรื่อยๆค่ะ
กะจะหาโรงแรมสำหรับวันที่สองในวังเวียงเสียซะตอนนี้ไว้เลย พรุ่งนี้จะได้ไม่เสียเวลาเดินหา เราจึงเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ
วังเวียงตอนฝนเพิ่งหยุดตกนั้นเงียบและเย็นสบายมากๆค่ะ ฟ้าตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกดินเป็นสีส้มๆทองๆ ดูวังเวงแต่ก็มีเสน่ห์ดี

แถมได้เห็นรุ้งกินน้ำอีก ยืนเอามือจิ้มก้นกันแทบไม่ทัน (ความเชื่อแบบไทยสุดๆ)

แล้วเราก็ยิ่งเพลินไปอีกเพราะได้เห็นรุ้งกินน้ำด้วย..หัวใจทั้งสี่ของเราพองโต~
เราหาโรงแรมต่อไปแต่ยังตัดสินใจไม่ได้สักที จึงเกิดอาการอยากพักก่อน
เพื่อนที่มาด้วยกันคนหนึ่งรู้ว่ามีร้านหลวงพระบางเบเกอรี่สาขาที่วังเวียง เราจึงไปนั่งพักกัน
ในร้านมีขนมชิ้นใหญ่ๆทั้งนั้นและเครื่องดื่มหลายชนิดขาย
บรรยากาศของร้านค่อนข้างดีนะคะ ร้านกว้าง แต่ตอนฝนเพิ่งหยุดแบบนี้มีเราอยู่กรุ๊ปเดียวในร้าน ร้านเปิดพวกเพลงสากลเก่าๆหน่อย ฟังกันเพลินๆ

เราลองสั่งอะไรสักอย่างก้อนใหญ่คล้ายบราวนี่แต่ไม่ใช่บราวนี่มากินสี่คน(ยังอิ่มจากเฝอชามยักษ์) กับเบียร์ลาวค่ะ

เบียร์ลาวขมอย่างที่เขาว่าจริงๆ แล้วกินกับขนมช็อคโกแลตที่เราสั่งก็ไม่ได้เข้ากันสักเท่าไหร่
นั่งกันอยู่ไม่นานนักเราก็ออกหาโรงแรมสำหรับคืนที่สองอีกครั้งค่ะ
หากันไปมาก็มาลงเอยที่โรงแรม Malany Villa สถานที่ที่รถตู้จากอุดรมาจอดนี่และค่ะ
เหตุเพราะอยู่ใกล้ย่านกลางเมือง ราคาไม่แพงนักด้วย
ห้องไม่ตกแต่งสวยงามอะไรนักค่ะ เป็นแบบปูกระเบื้องทาสีปกติ แต่สะอาดดีนะ
เราจึงจองที่นี่ไว้สำหรับนอนในคืนที่สองค่ะ แล้วก็กะจะจองรถไปหลวงพระบางกันที่นี่เลยด้วย
คุยเรื่องโรงแรมเสร็จ เราก็เดินกลับที่พักค่ะ ระหว่างนั้นก็เห็นคนเมาบางคนที่นอนกลิ้งไปบนถนนเลย

ระทึกดี เราเห็นร้านบาแก็ต ขนมยาวๆผ่ากลางใส่ไส้ที่เขาว่ามาลาวต้องกินให้ได้แล้ว
แต่ยังไม่ซื้อค่ะ เฝอขนมเบียร์ยังเบียดกันอยู่ในท้อง
เรากลับมาห้องพักเปิดทีวีเจอละครไทยค่ะ แต่เราไม่ค่อยได้ดูกันนักจึงเปิดไว้เฉยๆแต่ไม่ได้ดู
มีใครไปเที่ยวแล้วชอบเปิดไว้แบบนี้หรือเปล่าคะ --;
ส่วนเพื่อนติ่งของเราจากที่ร่าเริงก็กลับสู่โหมดหน่วงค่ะ อาลัยให้การออกจากวงของพี่คริส
ไอเราก็ปลอบอะไรไม่ได้มาก เรื่องความชอบและอาการช้ำใจมันก็ว่ากันยากนะคะ

เอาล่ะค่ะ เช้าอีกวันเราวางแพลนไว้ว่าจะไปบลูลากูนรวมถึงถ้ำต่างๆที่มีชื่อในวังเวียง
แต่จะบอกว่าเราเจอเซอร์ไพรบางอย่างที่มันเข้ามากกับธีมสี่หัวใจแห่งขุนเขา:ดวงใจอัคนี .ม้ากกกก
จะเป็นอย่างไรจะมาเล่านะคะ
[CR] ย้อนเวลา -พาหัวใจไป ล า ว กันเถอะ ,2014
ลาวนี่มัน ‘ สี่หัวใจแห่งขุนเขา ’ จริงๆนะ!
**ย้อนเวลา -พาหัวใจไป ล า ว ภาค2 (หลวงพระบาง) ,2014
http://pantip.com/topic/33593950
พวกเราสี่คนตัดสินใจไปลาวจากการไม่ได้ไปจีนค่ะ เพราะเพื่อนที่จะร่วมทางอีกคนไม่ว่างเลยจะรอไปพร้อมกัน
ลาวจึงเป็นคล้ายทริปสำรองที่เราไม่ได้เตรียมตัวอะไรกันนัก เพราะคิดว่าใกล้บ้าน พอจะสื่อสารได้อย่างเข้าใจ
แม้เป็นที่สำรองแต่พอไปแล้วก็ติดใจมากจริงๆ ที่เอามาลงนี่ก็เพราะคิดถึงตอนนั้นและก็อยากเอามาแชร์ด้วย
(เพื่อนก็อยากเอารูปที่อุตส่าห์ถ่ายอย่างเมามันส์มาลง)
จึงเขียนรีวิวนี้ขึ้นมาค่ะ
คงเป็นการเล่าเรื่องที่เราสี่คนไปเจออะไรต่างๆที่ลาว อาจไม่ได้บอกถึงค่าใช้จ่ายอะไรมากนะคะ
เพราะทริปเกิดขึ้นเมื่อ 15-22 พฤษภาคม ปี 2 0 1 4 ก่ อ น รั ฐ ป ร ะ ห า ร ซึ่งเราก็ลืมๆเรื่องค่าใช้จ่ายกันไปแล้ว
จำได้คร่าวๆว่าเสียค่าสนุกสนานรื่นเริงกันไปไม่เกิน6,000บาท ไม่เท่ากันทั้งสี่คน เพราะกินมากน้อยไม่เท่ากันอีก
(อีกทั้งมีหลายรีวิวที่ใช้งบประมาณกันน้อยกว่านี้ จึงถือว่าไม่ได้เอามาแข่งขันฆ่าฟันราคากับคนอื่นเนาะ)
แต่ระหว่างรีวิวถ้ามีเรื่องแนะนำจากที่ไปเจอมาก็จะมาแนะนำกันค่ะ
ส่วนทำไมต้องเรียกว่า ‘ สี่หัวใจแห่งขุนเขา ’ นั้น ตอนที่ไปก็ไม่ได้คิดหรอกค่ะ แล้วก็ไม่ได้เป็นแฟนคลับพระเอกในเรื่อง
ถึงแม้เขาจะหล่อออออออกันจริงๆนั่นแหละ
แต่พอไปถึงลาวที่หลายคนก็รู้ว่ามีธรรมชาติที่สวยงามมาก และสิ่งที่เราไปเจอก็มีทั้ง ดิน น้ำ ลม ไฟ จริงๆ
ซึ่งเราจะเล่าต่อไปว่า แต่ละที่ที่ไปเจอมันสี่หัวใจแห่งขุนเขายังไง
แหม่ รู้สึกว่ากระทู้ค่อนข้างจะแฟนตาซี….
วันแรก 15 พ.ค 2014 อุดรธานี-วังเวียง
โดยรถตู้ขนาดเล็กจากสถานีขนส่งอุดรธานี
เรานั่งรถของนครชัยแอร์จากหมอชิตไปที่สถานีขนส่งอุดรค่ะ
ไปถึงประมาณ7โมงเช้าซึ่งที่ขายตั๋วไปวังเวียงยังไม่เปิด
เราจึงหาก๋วยเตี๋ยวกินแถวนั้น ก่อนมาซื้อตั๋วราคา320บาทในเวลา8:30ค่ะ
รถตู้ขนาดเล็กนั่งได้ประมาณ15ที่
ไปวังเวียงโดยไปจอดรับผู้โดยสารที่หนองคายอีกต่อหนึ่งด้วย เรานั่งไปจากอุดรที่เป็นจุดเริ่มต้นแบบนี้นั้นยังมีที่นั่งเหลืออยู่
แต่ถ้าใครไปตั้งต้นที่หนองคายอาจจะลุ้นหน่อยว่าจะมีที่นั่งหรือเปล่า ถ้ามันเต็มจากอุดรไปแล้ว
ก็คงต้องหารถอื่นหรือรถเที่ยวอื่นไปแทนนะคะ
----------
ในรถตู้นี้มีพี่คนไทยและคนลาวร่วมทางไปกับเราด้วย ระหว่างนั่งรถเราก็กรอกข้อมูลในใบผ่านเข้าเมืองที่จะส่งให้กับด่านตรวจคนเข้าเมือง
พอเขียนเสร็จก็นั่งฟังสถานีวิทยุท้องถิ่นที่พี่คนขับเปิดไปพลางๆค่ะ เพลงอีสานบิวต์อารมณ์การเดินทางครั้งนี้ของเราได้ดีมากๆ
รวมถึงเสียงของดีเจและโฆษณาส่วนใหญ่ที่จะเป็นจำพวกยาสตรี รักษามดลูก รักษาความฟิตปั๋งอะไรพวกนี้ จริงๆนะ
อ่อ ถึงในรถจะติดแอร์แต่ก็ร้อนอยู่เหมือนกัน เพราะกระจกรถบานใหญ่มาก ไม่มีม่าน แดดจ้าส่องตากันเต็มๆเลย
ถนนไปวังเวียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ค่ะ ขรุขระเป็นหลุมน้อยใหญ่ตลอดทาง พี่คนขับก็ต้องคอยหลบซ้ายทีขวาทีไปแบบนั้น
จนคนนั่งอย่างเรารู้สึกมึนและเหนื่อยล้าทีเดียว และทุกครั้งที่เจอถนนขรุขระมากๆกระจกรถก็จะเขย่าดังแกรกกก~ๆๆ
ระหว่างทางรถตู้จะจอดแวะให้เราซื้ออาหารจากร้านของคนพื้นถิ่นในเวลาเที่ยงค่ะ
แต่พวกเราที่มึนๆจากที่นั่งอยู่บนรถก็แค่ลงไปเข้าห้องน้ำเฉยๆ
พอถึงเวลาก็ขึ้นไปนอนบนรถ และก็ถึงวังเวียงโดยที่ไม่รู้ตัว...
ถึงวังเวียงประมานบ่ายๆค่ะ ไม่แน่ใจว่าบ่ายกี่โมง แต่แดดจ้ามากๆ นอนมาในรถนี่ตื่นกันเลยทีเดียว
ที่ที่รถตู้จากอุดรมาจอดคือโรงแรมMalany Villa ซึ่งที่นี่รับจองรถไปที่อื่นๆในลาวด้วยค่ะ
แต่วันแรกนี้พวกเราพักที่ River View Bangalos ค่ะ เดินวอร์คอินเข้าไป ตรงที่เจ้าของอยู่เหมือนเป็นบ้านของเขานั่นแหละ
แล้วก็แบ่งพื้นที่ทำห้องพักให้นักท่องเที่ยว เราตกลงพักที่นี่เพราะราคาไม่แพงมากค่ะ คืนละ700บาท/2คน ค่ะ
(เราแลกเงินดอลล่าร์มาจากไทยแล้วเอาดอลล่าร์มาแลกกีบที่ตม.แต่ที่ลาวเราก็ใช้เงินไทยบ้าง แล้วแต่ว่าจะจ่ายตอนไหนแล้วคุ้มกว่ากัน)
ที่พักวันแรกนี้ห้องสะอาด เงียบดี แล้วอีกอย่างก็ติดแม่น้ำซองด้วย ถือว่าบรรยากาศดีใช้ได้เลย
เราสี่คนเข้ามาเก็บของในห้อง ระหว่างนั้นเพื่อนคนหนึ่งของเราที่เป็นติ่งเกาหลีก็ได้ข่าวว่าพี่คริสวงEXOจะออกจากวง
บรรยากาศตอนนั้น(สำหรับเพื่อนคนนั้นคนเดียว)จึงหน่วงเล็กน้อย
แต่เราก็เลยจำกันได้ไปเลยว่าเราไปช่วงที่พี่คริสของมันออกจากวงนะ อย่างนี้
เราคิดว่าเวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นตอนที่เราไปเที่ยวก็จะทำให้เราจำช่วงเวลานั้นได้ดีขึ้นมาอีกนะ
เอาล่ะ ผ่านเรื่องติ่งเสียใจ ก็ถึงเรื่องเที่ยวต่อค่ะ
เราเก็บของเสร็จไม่นานก็ออกเดินมาในเมืองทันทีเพื่อหาอะไรกินค่ะ
เมืองวังเวียงเป็นเมืองเล็กๆที่มีซอกซอยให้เดินและขับจักรยานได้
เราออกมาเดินไม่นานฝนก็คล้ายจะตกค่ะ
แต่เราก็ยังเดินๆกันไปเรื่อยๆเพื่อหาร้านอาหาร
แล้วเราก็เจอร้านขายเฝอยู่ร้านหนึ่งอยู่บริเวณใกล้กับธนาคารอะไรไม่รู้สีเขียวๆ แล้วก็สถานีดาวเทียมหรือโทรศัพท์อะไรสักอย่างไม่แน่ใจ
เราหิวมากก็เลยตัดสินใจกินร้านนี้เป็นมื้อเย็นมือแรกที่วังเวียงนี้ค่ะ
นั่งรอพร้อมกับฝนที่เทลงมาแรง แล้วก็มียุงนิดหน่อย เฝอถ้วยใหญ่ก็มาเสริฟค่ะ
เราประทับใจมากเพราะรสชาติอร่อยดี อร่อยมากอ่ะ มีผักให้เยอะมากแต่ละผักบรรยายไม่หมด(และจำไม่ได้)
ที่สำคัญคือชอบมะนาวและกะปิที่เขาให้มาไม่อั้น คนชอบเปรี้ยวๆ ปรุงรสจัดๆนี่ฟินกันเลยทีเดียว
…กินเฝอ ถ่ายรูป คุยกันไปก็เป็นปกติ แต่จู่ๆก็มีเรื่องบางอย่างที่เป็นสิ่งเตือนใจเราเวลาไปเที่ยวจนถึงเวลานี้เลยค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า ขณะที่เรานั่งกันอยู่สี่คนกับเฝอชามใหญ่และสวนผักตรงหน้า
มีชาวต่างชาติที่มีอายุหน่อยนั่งอยู่คนเดียวถัดไปไม่ไกลจากเราค่ะ
เราเห็นแล้วว่าคุณเขาชอบคุยๆกับคุณน้าแม่ค้าเราก็คิดว่าธรรมดาไม่ได้สนใจอะไร
แต่พอเรากินจนหมดพร้อมกับฝนที่หยุดตกพอดีนั่นแหละ
คุณผู้ชายชาวต่างชาติเขาก็บอกเพื่อนเราคนหนึ่งให้บอกคุณน้าผู้หญิงคนลาวที่ทำเฝอให้เรากินให้หน่อยว่า
ช่วยจดชื่อที่อยู่ของคุณน้าผู้หญิงให้เขาหน่อย เผื่อเขามาอีกจะได้ติดต่อได้ ประมาณนี้
เพื่อนเราก็อาสาบอกน้าคนนั้นโดยพูดไทยที่คุณน้าฟังออก แต่คราวนี้มันแปลกค่ะ
เพราะพอเราพูดแล้วคุณน้าทำหน้าไม่รับรู้อะไรเลย หน้าคุณน้าแอบเสียนิดนึงด้วย
แต่เพื่อนเราด้วยความที่ใจดีและอยากจะทำหน้าที่ให้สำเร็จมาก จึงพยายามพูดบอกคุณน้าและคุณชาวต่างชาติ
คุณน้าผู้หญิงที่เจอเรา(ช่วย)สื่อสารมากๆเข้าก็เลยตอบออกมาว่า
ที่นี่ไม่ใช่ร้านเธอนะ เธอจำที่อยู่ไม่ได้ จำที่บ้านตัวเองก็ไม่ได้ บลาๆ ประมาณว่าเธอไม่รู้อะไรเลย
แต่สุดท้ายเราก็ปิ๊งงค่ะ!! เราเข้าใจในเมื่อใกล้สายเกินไปแต่ยังไม่สายเท่าไหร่ ว่าคุณน้าน่ะไม่อยากให้ที่อยู่กับผู้ชายคนนี้หรอก
เธอพยายามปัด และถ้าเรามองดีๆก็จะเห็นได้จากสายตาและท่าทางกระอักกระอ่วนของเธอ
พอเพื่อนเราเก้ทคุณน้า เพื่อนเราจึงบอกคุณผู้ชายสูงวัยชาวต่างชาติไปค่ะ
ว่าเธอไม่รู้ที่อยู่ จำไม่ได้ ไม่รู้อะไรเลยค่ะบลาๆ ขอบคุณค่ะ ไม่นะคะ bye แบบที่คุณน้าต้องการ
ขอโทษคุณน้า(ทางสายตา) แล้วก็เดินออกจากร้านมาเลย
เรื่องนี้เตือนเราให้รู้ว่า เวลาไปเที่ยวแบบนี้จะช่วยใครก็ให้ดูอีกคนด้วยนะคะ ดูสถานการณ์ บริบท อะไรแบบนี้ให้ถี่ถ้วนก่อน
ไม่งั้นจากที่จะช่วยจะทำให้ใครอีกคนเดือดร้อนก็เป็นได้
นี่~ การเที่ยววังเวียงนี้ได้ข้อคิด…
จากเหตุการณ์นั้นเราก็เดินมาตามทางชื้นน้ำ มีน้ำขังตามแบบฝนเพิ่งหยุดตกไปเรื่อยๆค่ะ
กะจะหาโรงแรมสำหรับวันที่สองในวังเวียงเสียซะตอนนี้ไว้เลย พรุ่งนี้จะได้ไม่เสียเวลาเดินหา เราจึงเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ
วังเวียงตอนฝนเพิ่งหยุดตกนั้นเงียบและเย็นสบายมากๆค่ะ ฟ้าตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกดินเป็นสีส้มๆทองๆ ดูวังเวงแต่ก็มีเสน่ห์ดี
แถมได้เห็นรุ้งกินน้ำอีก ยืนเอามือจิ้มก้นกันแทบไม่ทัน (ความเชื่อแบบไทยสุดๆ)
แล้วเราก็ยิ่งเพลินไปอีกเพราะได้เห็นรุ้งกินน้ำด้วย..หัวใจทั้งสี่ของเราพองโต~
เราหาโรงแรมต่อไปแต่ยังตัดสินใจไม่ได้สักที จึงเกิดอาการอยากพักก่อน
เพื่อนที่มาด้วยกันคนหนึ่งรู้ว่ามีร้านหลวงพระบางเบเกอรี่สาขาที่วังเวียง เราจึงไปนั่งพักกัน
ในร้านมีขนมชิ้นใหญ่ๆทั้งนั้นและเครื่องดื่มหลายชนิดขาย
บรรยากาศของร้านค่อนข้างดีนะคะ ร้านกว้าง แต่ตอนฝนเพิ่งหยุดแบบนี้มีเราอยู่กรุ๊ปเดียวในร้าน ร้านเปิดพวกเพลงสากลเก่าๆหน่อย ฟังกันเพลินๆ
เราลองสั่งอะไรสักอย่างก้อนใหญ่คล้ายบราวนี่แต่ไม่ใช่บราวนี่มากินสี่คน(ยังอิ่มจากเฝอชามยักษ์) กับเบียร์ลาวค่ะ
เบียร์ลาวขมอย่างที่เขาว่าจริงๆ แล้วกินกับขนมช็อคโกแลตที่เราสั่งก็ไม่ได้เข้ากันสักเท่าไหร่
นั่งกันอยู่ไม่นานนักเราก็ออกหาโรงแรมสำหรับคืนที่สองอีกครั้งค่ะ
หากันไปมาก็มาลงเอยที่โรงแรม Malany Villa สถานที่ที่รถตู้จากอุดรมาจอดนี่และค่ะ
เหตุเพราะอยู่ใกล้ย่านกลางเมือง ราคาไม่แพงนักด้วย
ห้องไม่ตกแต่งสวยงามอะไรนักค่ะ เป็นแบบปูกระเบื้องทาสีปกติ แต่สะอาดดีนะ
เราจึงจองที่นี่ไว้สำหรับนอนในคืนที่สองค่ะ แล้วก็กะจะจองรถไปหลวงพระบางกันที่นี่เลยด้วย
คุยเรื่องโรงแรมเสร็จ เราก็เดินกลับที่พักค่ะ ระหว่างนั้นก็เห็นคนเมาบางคนที่นอนกลิ้งไปบนถนนเลย
ระทึกดี เราเห็นร้านบาแก็ต ขนมยาวๆผ่ากลางใส่ไส้ที่เขาว่ามาลาวต้องกินให้ได้แล้ว
แต่ยังไม่ซื้อค่ะ เฝอขนมเบียร์ยังเบียดกันอยู่ในท้อง
เรากลับมาห้องพักเปิดทีวีเจอละครไทยค่ะ แต่เราไม่ค่อยได้ดูกันนักจึงเปิดไว้เฉยๆแต่ไม่ได้ดู
มีใครไปเที่ยวแล้วชอบเปิดไว้แบบนี้หรือเปล่าคะ --;
ส่วนเพื่อนติ่งของเราจากที่ร่าเริงก็กลับสู่โหมดหน่วงค่ะ อาลัยให้การออกจากวงของพี่คริส
ไอเราก็ปลอบอะไรไม่ได้มาก เรื่องความชอบและอาการช้ำใจมันก็ว่ากันยากนะคะ
เอาล่ะค่ะ เช้าอีกวันเราวางแพลนไว้ว่าจะไปบลูลากูนรวมถึงถ้ำต่างๆที่มีชื่อในวังเวียง
แต่จะบอกว่าเราเจอเซอร์ไพรบางอย่างที่มันเข้ามากกับธีมสี่หัวใจแห่งขุนเขา:ดวงใจอัคนี .ม้ากกกก
จะเป็นอย่างไรจะมาเล่านะคะ