หลังจากอ่านรีวิวและตั้งกระทู้คำถามมามากมายเพื่อทริปนี้ วันนี้เราเลยจะกลับมาแบ่งปันรายละเอียดของการเดินทางของตนเองบ้าง หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ ทริปนี้เราไปกับครอบครัว 4 คนคะพ่อ-แม่-พี่ชาย-แล้วก็ตัวเรา (11-20 เม.ย. 58)
ปล. เพิ่งหัดรีวิวครั้งแรกมีอะไรขาดตกไปก็ต้องขออภัยด้วยนะจ้ะ
วันที่ 1-2 Bangkok-Osaka-Kyoto
ทริปครั้งนี้เราเดินทางไปกับเวียดนามแอร์ไลน์ค่ะ(ค่าตั๋วไปกลับอยู่ที่หมื่นปลายๆ เกือบๆ สองหมื่น/คน) การบริการถือว่าดีทีเดียว(แอบกระซิบว่าเพิ่งจะทราบว่าของเขาเป็น full service :p) เสียอยู่อย่างที่ต้องไปต่อเครื่องทำให้เสียเวลาแถมต้องทนกับการขึ้น-ลงของเครื่องบินถึงสองรอบ

ซึ่งครั้งนี้เราใช้เวลาในการเปลี่ยนเครื่อง 3 ชั่วโมงด้วยกันค่ะ และข้อพิเศษ(หรือบางคนอาจว่าดี-ไม่ดี)อีกข้อคือสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ตอนลงเครื่องที่สนามบินเวียดนามจะใช้การเดินลงมาเพื่อต่อรถ(เจอทั้งขาไป-กลับ) ข้อดีคือได้ใกล้ชิดเครื่องบิน

พอไปถึงสนามบินคันไซตอน 7 โมงเช้า(เร็วกว่าเวลาที่บอกไว้ครึ่งชั่วโมง)เราก็จะต้องนั่งรถคล้ายๆ รถรางคะเพื่อไปสู่ ต.ม.

หลังจากนั้นก็ไปผ่าน ต.ม. ตามปกติคะเดินๆ ตามกันไปแต่พอดีครั้งนี้เจอ accident ตรงที่ใบ ต.ม. ที่ควรจะแจกบนเครื่องบินหมด!! ครอบครัวเราเลยต้องมาเสียเวลาเขียนกันงงๆ อยู่สักพักแต่หลังจากนั้นก็ผ่านมาได้ด้วยดีไม่มีการถามอะไรสักแอะ พอออกมาได้แล้วเราก็ตรงไปไปต่อแถวซื้อ Pass ต่างๆ ที่ list เอาไว้ทันทีค่ะ ซึ่งตอนออกมาจะเจอ Kansai International Airport Travel Desk ก่อน อันนี้หาไม่ยากค่ะเรียกได้ว่ารูปที่ปริ้นไปด้วยเนี่ยหมดประโยชน์เลยทีเดียว

ตรงแถวยาวๆ ที่คนเขาต่อกันเนี่ยแหละคะพอไปถึงก็ให้เราแจ้งเจ้าหน้าที่ไปว่าเราต้องการ Pass อะไรบ้างโดยวิธีที่ง่ายที่สุดและจะทำให้เราเข้าใจตรงกันก็คือการบอกเขาพร้อมชี้ลงบนชื่อ Pass ในแผนที่เราทำมานั่นเอง ซึ่งในทริป Pass ที่เรามาซื้อที่นี่คือ
- Osaka amazing pass : 3000 Yen/2D
- Osaka Kaiyu Ticket (ver. Osaka city) : 2550 Yen/D
ตอนแรกเราจะซื้อ Bus pass ของเกียวโตไปด้วยแต่เขาบอกว่าไม่ได้จำหน่ายที่นี่ค่ะ อันนี้คือหน้าตาของ Pass ทั้งสองพร้อมเอกสารที่ได้มา


หลังจากนั้นก็ไปต่อที่ JR Ticket office ค่ะ อันนี้ต้องออกมาจากสนามบินก่อนนะถึงจะเจอ แม้เราจะปริ้นแผนที่ไปแต่สุดท้ายก็จบลงด้วยการไปถาม Information ของที่นู้นอยู่ดี 555

โดยจะอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟเลย เดินออกมาจากสนามบินเล็กน้อย ซึ่ง Pass ที่เราจะมาซื้อมีดังนี้ค่ะ
- Icoca&HARUKA : 3030 Yen โดยซื้อแบบนั่ง Haruka เที่ยวเดียวเพื่อไปเกียวโตค่ะ
- JR Kansai area pass : 2200 Yen (ราคานี้สำหรับคนจองไปก่อนเท่านั้นนะคะ)
ซึ่งวิธีที่ง่ายในการซื้อ Pass ตรงนี้คือการจองมาก่อนค่ะ เพราะนอกจากจะไม่ต้องมางงๆ ว่าเราจะเอาตัวไหนใช้วันที่เท่าไหร่ และเอากี่ใบแล้ว(เพราะตอนจองเราจะต้องใส่ข้อมูลทั้งหมดลงไปอยู่แล้ว) ยังได้ส่วนลดจากการจองมาก่อนอีกด้วย! และอันนี้คือหน้าตาของ Pass ทั้งสองค่ะ



หลังจากที่เราได้ Pass ทั้งหมดที่เราต้องการแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางสู่เกียวโตกันแล้ว!! โดยในทริปนี้เราจะพักอยู่ที่เกียวโตทั้งหมด 3 คืนด้วยกันคะ และแล้วเราก็ได้ใช้ Pass แรกของวันนั่นก็คือ Haruka โดย Pass นี้ใช้เหมือนบัตร BTS บ้านเราเลยคะใส่ให้มันดูดเข้าไปแล้วรับคืนก็เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ไปนั่งดูตารางเวลาว่ารถมันออกเมื่อไหร่นาาาาาาา

พอรู้เวลารู้ฝั่งแล้วเราก็มาต่อแถวรอขึ้นรถ โดยรถไฟขบวบนี้จะมาถึงก่อนเวลา(เพราะเวลาที่ขึ้นหมายถึงเวลาออกไม่ใช่เวลามาของรถนะคะ) พอมาถึงสถานีจะมีพนักงานมาค่อยขอบคุณและรอให้ลูกค้าลงจากรถจนหมดค่ะ หลังจากนั้นก็จะเอาที่กั้นมากั้นไม่ให้เราขึ้นรถแล้วเริ่มมหกรรมการทำความสะอาดแบบด่วนจี๋มากค่ะ ชนิดที่ทำไปดูเวลาไปเลยก่อนจะกดปุ่มให้เก้าอี้หมุนกลับฝั่งแล้วจึงปล่อยให้ผู้โดยสารขึ้นรถไฟไป อันนี้คือรูปภายในและภายนอกของรถ


แล้วเราก็ขึ้นเก็บกระเป๋าตรงทางขึ้นแล้วก็ไปนั่งเก๋ๆ จองที่ในตู้รถสำหรับคนที่ไม่ได้จองที่นั่งมาอย่างสวยๆ โดยในรถไฟจะมีการประกาศและตัววิ่งเป็นภาษาอังกฤษทุกๆ สถานีค่ะ(แต่พนักงานตรวจตั๋วเขาไม่พูดภาษาอังกฤษกับเรานะเออ พ่นญี่ปุ่นมาให้เอ๋อกับไปเลยทีเดียว)

แล้วเราก็นั่งรถไฟชมวิวไปเรื่อยๆ ซึ่งในระหว่างทางก็จะเห็นต้นซากุระบ้างบางๆ ตาเพราะเริ่มโรยกันแล้ว แล้วก็นั่งงีบเอาแรงกันบ้างเพราะจะต้องเริ่มเที่ยวกันเลยในวันแรก

พอถึงสถานีเกียวโตเราก็เดินออกมาซื้อ Bus Pass ที่ไปถามตอนอยู่สนามบินแล้วเขาไม่มีให้ ซึ่งที่นี่ก็ต้องมาถาม information กันอีกแล้วเพราะหาไม่เจอ 555 เราเข้าไปถามแบบเนียนๆ โดยเริ่มด้วยภาษาญี่ปุ่นก่อน(แบบเรียกร้องความสนใจนิสสสสนุงเนื่องจากคนเยอะมาก) Sumimasen(ซุมิมะเซง) : ให้ความหมายเหมือน Excuse me ใช้ในการขอโทษเพื่อจะรบกวนอะไรเขาสักอย่างน่ะค่ะ ซึ่งก็ได้การตอบรับมาเป็นอย่างดีทันทีเลยคะ เขาหันมาขานรับ "ไฮ!" (ประมาณคะ/ครับ) ทันทีแล้วเราก็ค่อยพูดเป็นภาษาอังกฤษ+ภาษาใบ้และการชี้ลงในแผนของเรา เขาก็ตอบมาเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดแจ๋ว หลังจากนั้นเราเลยได้ตั๋ว Bus Pass มาในครอบครอง(ราคา 500 Yen/D ซึ่งคุ้มมากๆ เพราะค่ารถบัตรต่อเที่ยวก็ 230 Yen เข้าไปแล้วแค่นั่ง 3 เที่ยวก็คุ้มแล้วค่ะ)


อันนี้คือภาพ Bus Pass ที่ใช้แล้วกับที่ยังไม่ได้ใช้ค่ะ จะเห็นความแตกต่างกันตรงที่บัตรที่ใช้แล้วจะมีการประทับวันที่ โดยการใช้ครั้งแรกให้เราสอดบัตรเข้าตรงเครื่องด้านข้างคนขับ ซึ่งไม่ต้องกังวลว่าจะงงเพราะคนขับจะชี้บอกเราว่าเราจะต้องสอดบัตรตรงไหนค่ะ(บ้านเราแบกกระเป๋าไปด้วยบางคนเลยให้คนขับช่วยสอดให้ซะเลย 555) หลังจากนั้นเมื่อมีการนั่งรถบัสอีกเราก็แค่โชว์วันที่ให้คนขับดูตอนลงเท่านั้นเอง โดยตอนซื้อบัสพาสเขาจะให้แผนที่รถบัสมาด้วยค่ะ(ซึ่งดีตรงที่มันใหญ่ แต่โดยรวมเราก็ควรจะดูมาไว้ก่อนว่าขึ้น-ลงตรงไหนแล้วอาจมาดูหน้างานอีกทีว่าป้ายตรงไหน) โดยทริปนี้เราเอากระเป๋ามาฝากที่ที่พักก่อนซึ่งที่พีกที่เลือกมาครั้งนี้คือ Khaosan Kyoto Guesthouse ค่ะซึ่งถือว่าดีทีเดียวค่ะ แถมยังมีภาษาไทยให้ด้วยนะ อิอิ

ห้องพักค่อนข้างแคบแต่ห้องน้ำสะอาดมากคะ เห็นคนบอกมีปัญหาต้องต่อแถวอาบน้ำ แต่เพราะทริปนี้ไปแบบชิวๆ คะตื่น 8 โมง กลับ 3-6 โมงแล้วแต่โอกาส อิอิ เลยไม่เคยต้องเจอสภาพการต่อแถวเลยค่ะ ซึ่งที่นี่มีบริการชา-กาแฟฟรี และมีเครื่องซักผ้า-อบผ้าให้บริการที่ชั้น 4 มีห้องนั่งเล่นให้ด้วย


หลังจากไปฝากกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราก็ไปเดินกลับไปขึ้นรถเมล์เพื่อไปเที่ยววัดน้ำใส โดยมีหลงเล็กๆ น้อยหาทิศเดินไปไม่ถูกเลยต้องพึ่งพา GPS คะ(ถือว่าตัดสินใจถูกที่ซื้อซิมไปด้วย อิอิ)

มาถึงแล้วก็คงจะพลาดไม่ได้กับมุมยอดฮิตอันนี้

แล้วก็น้ำสามสายที่เราจำไม่ได้แล้วว่าแต่ละสายมีความหมายยังไงแหะๆ เลยเอามันทั้งสามสายเลย
เดินเที่ยวกันจนพอใจแล้วเราก็นั่งรถเมล์กลับไปลงที่สถานีเกียวโตเพื่อนั่งรถไฟไป Fushimi inari โดยใช้ Icoca คะแค่แตะตอนเข้ากับตอนออกก็เรียบร้อยสะดวกสบายเป็นที่สุด(เสียแต่เราโดนเก็บตามราคาจริงๆ นั่นแหละคะ) ซึ่งพอออกจากสถานีรถไฟของ JR ก็จะเจอศาลเลยคะ


อันนี้คือสภาพก่อนขึ้นคะ สภาพยังดีอยู่ทุกอย่าง


หลังจากที่ขึ้นมาไกลพอสมควรสภาพก็กลายเป็นแบบนี้!!! สติสตังเริ่มไปและ - -

ผ้า ผ่อนเริ่มสลัดทิ้ง 555 อากาศเย็นนะไม่กี่องศาแต่ ณ ตอนนั้นมันร้อนแล้วเจ้าคะ

และแล้วเราก็ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดแล้วววววววววววววววว 555 แต่พอดีว่าพ่อ-แม่เราไม่ยอมขึ้นมาต่อแล้วเราเลยต้องเดินกลับลงไปทางเดิมแล้วค่อนเดินลงเขาอีกทางหนึ่งซึ่งความ_ิบหายก็ได้เกิดขึ้น!!!! เมื่อทางที่เราเดินลงมันไม่ใช่ทางที่ถูกต้องเรียกได้ว่าเดินไปไกลมาก แต่ยังเห็นว่ามีคนเดินนำหน้าเลยคิดว่าถูกทางกว่าจะรู้ตัวว่าผิดก็ตอนที่คู่ด้านหน้าเขาเดินขึ้นไปหยุดแล้วต้องเดินกลับลงมาเพราะทางข้างหน้าไม่ให้ไปต่อ!!! ทีนี้ก็เงิบสิครับ คู่ที่เดินนำก็เดินกลับหายไปส่วนครอบครัวเราก็เดินมาเจออีกคู่หนึ่งที่เดินตามมาเหมือนกัน สื่อสารภาษาใบ้กับพี่ชายเราเสร็จเขาก็ตกใจบอกว่าล้อเล่นน่า สุดท้ายก็เดินๆ ไปด้วยกันโดยไปตั้งหลักที่ถนนที่เดินผ่าน(โชคดีมากที่อย่างน้อยก็มีถนนมีบ้าน 555 หลังจากที่เดินในป่ามานาน) หลังจากนั้นก็เปิด GPS นำจ้ากลับไปสถานีปรากฎว่าเราเดินมาไกลมาก เหมือนหน้าเขากะหลังเขาเลยล่ะ พอเจอสถานีรถไปเขาก็ชี้ๆ ดีใจแต่หาคำไม่ได้เราเลย "บันไซ" 555 แล้วก็อ่านป้ายเดินไปสถานีเดิมเพื่อนั่งรถไฟกลับที่พักจ้า หลังจากนั้นก็ยังคงสามารถเดินออกมา shopping ได้อย่างน่าทึ้ง เอิ้กๆ
ปล.จบของวันแรกแล้วจ้าค่อนข้างยาวทีเดียวไม่รู้ว่ารอบละเอียดมากไปหรือเปล่า แนะนำกันได้นะคะ แล้วจะมาต่อของวันอื่นๆ นะคะ
[CR] ทริปคันไซ เกียวโต-โอซาก้า-นารา-โกเบ แบบชิวๆ 10 วัน
หลังจากอ่านรีวิวและตั้งกระทู้คำถามมามากมายเพื่อทริปนี้ วันนี้เราเลยจะกลับมาแบ่งปันรายละเอียดของการเดินทางของตนเองบ้าง หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ ทริปนี้เราไปกับครอบครัว 4 คนคะพ่อ-แม่-พี่ชาย-แล้วก็ตัวเรา (11-20 เม.ย. 58)
ปล. เพิ่งหัดรีวิวครั้งแรกมีอะไรขาดตกไปก็ต้องขออภัยด้วยนะจ้ะ
วันที่ 1-2 Bangkok-Osaka-Kyoto
ทริปครั้งนี้เราเดินทางไปกับเวียดนามแอร์ไลน์ค่ะ(ค่าตั๋วไปกลับอยู่ที่หมื่นปลายๆ เกือบๆ สองหมื่น/คน) การบริการถือว่าดีทีเดียว(แอบกระซิบว่าเพิ่งจะทราบว่าของเขาเป็น full service :p) เสียอยู่อย่างที่ต้องไปต่อเครื่องทำให้เสียเวลาแถมต้องทนกับการขึ้น-ลงของเครื่องบินถึงสองรอบ
ซึ่งครั้งนี้เราใช้เวลาในการเปลี่ยนเครื่อง 3 ชั่วโมงด้วยกันค่ะ และข้อพิเศษ(หรือบางคนอาจว่าดี-ไม่ดี)อีกข้อคือสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ตอนลงเครื่องที่สนามบินเวียดนามจะใช้การเดินลงมาเพื่อต่อรถ(เจอทั้งขาไป-กลับ) ข้อดีคือได้ใกล้ชิดเครื่องบิน
พอไปถึงสนามบินคันไซตอน 7 โมงเช้า(เร็วกว่าเวลาที่บอกไว้ครึ่งชั่วโมง)เราก็จะต้องนั่งรถคล้ายๆ รถรางคะเพื่อไปสู่ ต.ม.
หลังจากนั้นก็ไปผ่าน ต.ม. ตามปกติคะเดินๆ ตามกันไปแต่พอดีครั้งนี้เจอ accident ตรงที่ใบ ต.ม. ที่ควรจะแจกบนเครื่องบินหมด!! ครอบครัวเราเลยต้องมาเสียเวลาเขียนกันงงๆ อยู่สักพักแต่หลังจากนั้นก็ผ่านมาได้ด้วยดีไม่มีการถามอะไรสักแอะ พอออกมาได้แล้วเราก็ตรงไปไปต่อแถวซื้อ Pass ต่างๆ ที่ list เอาไว้ทันทีค่ะ ซึ่งตอนออกมาจะเจอ Kansai International Airport Travel Desk ก่อน อันนี้หาไม่ยากค่ะเรียกได้ว่ารูปที่ปริ้นไปด้วยเนี่ยหมดประโยชน์เลยทีเดียว
ตรงแถวยาวๆ ที่คนเขาต่อกันเนี่ยแหละคะพอไปถึงก็ให้เราแจ้งเจ้าหน้าที่ไปว่าเราต้องการ Pass อะไรบ้างโดยวิธีที่ง่ายที่สุดและจะทำให้เราเข้าใจตรงกันก็คือการบอกเขาพร้อมชี้ลงบนชื่อ Pass ในแผนที่เราทำมานั่นเอง ซึ่งในทริป Pass ที่เรามาซื้อที่นี่คือ
- Osaka amazing pass : 3000 Yen/2D
- Osaka Kaiyu Ticket (ver. Osaka city) : 2550 Yen/D
ตอนแรกเราจะซื้อ Bus pass ของเกียวโตไปด้วยแต่เขาบอกว่าไม่ได้จำหน่ายที่นี่ค่ะ อันนี้คือหน้าตาของ Pass ทั้งสองพร้อมเอกสารที่ได้มา
หลังจากนั้นก็ไปต่อที่ JR Ticket office ค่ะ อันนี้ต้องออกมาจากสนามบินก่อนนะถึงจะเจอ แม้เราจะปริ้นแผนที่ไปแต่สุดท้ายก็จบลงด้วยการไปถาม Information ของที่นู้นอยู่ดี 555
โดยจะอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟเลย เดินออกมาจากสนามบินเล็กน้อย ซึ่ง Pass ที่เราจะมาซื้อมีดังนี้ค่ะ
- Icoca&HARUKA : 3030 Yen โดยซื้อแบบนั่ง Haruka เที่ยวเดียวเพื่อไปเกียวโตค่ะ
- JR Kansai area pass : 2200 Yen (ราคานี้สำหรับคนจองไปก่อนเท่านั้นนะคะ)
ซึ่งวิธีที่ง่ายในการซื้อ Pass ตรงนี้คือการจองมาก่อนค่ะ เพราะนอกจากจะไม่ต้องมางงๆ ว่าเราจะเอาตัวไหนใช้วันที่เท่าไหร่ และเอากี่ใบแล้ว(เพราะตอนจองเราจะต้องใส่ข้อมูลทั้งหมดลงไปอยู่แล้ว) ยังได้ส่วนลดจากการจองมาก่อนอีกด้วย! และอันนี้คือหน้าตาของ Pass ทั้งสองค่ะ
หลังจากที่เราได้ Pass ทั้งหมดที่เราต้องการแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางสู่เกียวโตกันแล้ว!! โดยในทริปนี้เราจะพักอยู่ที่เกียวโตทั้งหมด 3 คืนด้วยกันคะ และแล้วเราก็ได้ใช้ Pass แรกของวันนั่นก็คือ Haruka โดย Pass นี้ใช้เหมือนบัตร BTS บ้านเราเลยคะใส่ให้มันดูดเข้าไปแล้วรับคืนก็เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ไปนั่งดูตารางเวลาว่ารถมันออกเมื่อไหร่นาาาาาาา
พอรู้เวลารู้ฝั่งแล้วเราก็มาต่อแถวรอขึ้นรถ โดยรถไฟขบวบนี้จะมาถึงก่อนเวลา(เพราะเวลาที่ขึ้นหมายถึงเวลาออกไม่ใช่เวลามาของรถนะคะ) พอมาถึงสถานีจะมีพนักงานมาค่อยขอบคุณและรอให้ลูกค้าลงจากรถจนหมดค่ะ หลังจากนั้นก็จะเอาที่กั้นมากั้นไม่ให้เราขึ้นรถแล้วเริ่มมหกรรมการทำความสะอาดแบบด่วนจี๋มากค่ะ ชนิดที่ทำไปดูเวลาไปเลยก่อนจะกดปุ่มให้เก้าอี้หมุนกลับฝั่งแล้วจึงปล่อยให้ผู้โดยสารขึ้นรถไฟไป อันนี้คือรูปภายในและภายนอกของรถ
แล้วเราก็ขึ้นเก็บกระเป๋าตรงทางขึ้นแล้วก็ไปนั่งเก๋ๆ จองที่ในตู้รถสำหรับคนที่ไม่ได้จองที่นั่งมาอย่างสวยๆ โดยในรถไฟจะมีการประกาศและตัววิ่งเป็นภาษาอังกฤษทุกๆ สถานีค่ะ(แต่พนักงานตรวจตั๋วเขาไม่พูดภาษาอังกฤษกับเรานะเออ พ่นญี่ปุ่นมาให้เอ๋อกับไปเลยทีเดียว)
แล้วเราก็นั่งรถไฟชมวิวไปเรื่อยๆ ซึ่งในระหว่างทางก็จะเห็นต้นซากุระบ้างบางๆ ตาเพราะเริ่มโรยกันแล้ว แล้วก็นั่งงีบเอาแรงกันบ้างเพราะจะต้องเริ่มเที่ยวกันเลยในวันแรก
พอถึงสถานีเกียวโตเราก็เดินออกมาซื้อ Bus Pass ที่ไปถามตอนอยู่สนามบินแล้วเขาไม่มีให้ ซึ่งที่นี่ก็ต้องมาถาม information กันอีกแล้วเพราะหาไม่เจอ 555 เราเข้าไปถามแบบเนียนๆ โดยเริ่มด้วยภาษาญี่ปุ่นก่อน(แบบเรียกร้องความสนใจนิสสสสนุงเนื่องจากคนเยอะมาก) Sumimasen(ซุมิมะเซง) : ให้ความหมายเหมือน Excuse me ใช้ในการขอโทษเพื่อจะรบกวนอะไรเขาสักอย่างน่ะค่ะ ซึ่งก็ได้การตอบรับมาเป็นอย่างดีทันทีเลยคะ เขาหันมาขานรับ "ไฮ!" (ประมาณคะ/ครับ) ทันทีแล้วเราก็ค่อยพูดเป็นภาษาอังกฤษ+ภาษาใบ้และการชี้ลงในแผนของเรา เขาก็ตอบมาเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดแจ๋ว หลังจากนั้นเราเลยได้ตั๋ว Bus Pass มาในครอบครอง(ราคา 500 Yen/D ซึ่งคุ้มมากๆ เพราะค่ารถบัตรต่อเที่ยวก็ 230 Yen เข้าไปแล้วแค่นั่ง 3 เที่ยวก็คุ้มแล้วค่ะ)
อันนี้คือภาพ Bus Pass ที่ใช้แล้วกับที่ยังไม่ได้ใช้ค่ะ จะเห็นความแตกต่างกันตรงที่บัตรที่ใช้แล้วจะมีการประทับวันที่ โดยการใช้ครั้งแรกให้เราสอดบัตรเข้าตรงเครื่องด้านข้างคนขับ ซึ่งไม่ต้องกังวลว่าจะงงเพราะคนขับจะชี้บอกเราว่าเราจะต้องสอดบัตรตรงไหนค่ะ(บ้านเราแบกกระเป๋าไปด้วยบางคนเลยให้คนขับช่วยสอดให้ซะเลย 555) หลังจากนั้นเมื่อมีการนั่งรถบัสอีกเราก็แค่โชว์วันที่ให้คนขับดูตอนลงเท่านั้นเอง โดยตอนซื้อบัสพาสเขาจะให้แผนที่รถบัสมาด้วยค่ะ(ซึ่งดีตรงที่มันใหญ่ แต่โดยรวมเราก็ควรจะดูมาไว้ก่อนว่าขึ้น-ลงตรงไหนแล้วอาจมาดูหน้างานอีกทีว่าป้ายตรงไหน) โดยทริปนี้เราเอากระเป๋ามาฝากที่ที่พักก่อนซึ่งที่พีกที่เลือกมาครั้งนี้คือ Khaosan Kyoto Guesthouse ค่ะซึ่งถือว่าดีทีเดียวค่ะ แถมยังมีภาษาไทยให้ด้วยนะ อิอิ
ห้องพักค่อนข้างแคบแต่ห้องน้ำสะอาดมากคะ เห็นคนบอกมีปัญหาต้องต่อแถวอาบน้ำ แต่เพราะทริปนี้ไปแบบชิวๆ คะตื่น 8 โมง กลับ 3-6 โมงแล้วแต่โอกาส อิอิ เลยไม่เคยต้องเจอสภาพการต่อแถวเลยค่ะ ซึ่งที่นี่มีบริการชา-กาแฟฟรี และมีเครื่องซักผ้า-อบผ้าให้บริการที่ชั้น 4 มีห้องนั่งเล่นให้ด้วย
หลังจากไปฝากกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราก็ไปเดินกลับไปขึ้นรถเมล์เพื่อไปเที่ยววัดน้ำใส โดยมีหลงเล็กๆ น้อยหาทิศเดินไปไม่ถูกเลยต้องพึ่งพา GPS คะ(ถือว่าตัดสินใจถูกที่ซื้อซิมไปด้วย อิอิ)
มาถึงแล้วก็คงจะพลาดไม่ได้กับมุมยอดฮิตอันนี้
แล้วก็น้ำสามสายที่เราจำไม่ได้แล้วว่าแต่ละสายมีความหมายยังไงแหะๆ เลยเอามันทั้งสามสายเลย
เดินเที่ยวกันจนพอใจแล้วเราก็นั่งรถเมล์กลับไปลงที่สถานีเกียวโตเพื่อนั่งรถไฟไป Fushimi inari โดยใช้ Icoca คะแค่แตะตอนเข้ากับตอนออกก็เรียบร้อยสะดวกสบายเป็นที่สุด(เสียแต่เราโดนเก็บตามราคาจริงๆ นั่นแหละคะ) ซึ่งพอออกจากสถานีรถไฟของ JR ก็จะเจอศาลเลยคะ
อันนี้คือสภาพก่อนขึ้นคะ สภาพยังดีอยู่ทุกอย่าง
หลังจากที่ขึ้นมาไกลพอสมควรสภาพก็กลายเป็นแบบนี้!!! สติสตังเริ่มไปและ - -
ผ้า ผ่อนเริ่มสลัดทิ้ง 555 อากาศเย็นนะไม่กี่องศาแต่ ณ ตอนนั้นมันร้อนแล้วเจ้าคะ
และแล้วเราก็ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดแล้วววววววววววววววว 555 แต่พอดีว่าพ่อ-แม่เราไม่ยอมขึ้นมาต่อแล้วเราเลยต้องเดินกลับลงไปทางเดิมแล้วค่อนเดินลงเขาอีกทางหนึ่งซึ่งความ_ิบหายก็ได้เกิดขึ้น!!!! เมื่อทางที่เราเดินลงมันไม่ใช่ทางที่ถูกต้องเรียกได้ว่าเดินไปไกลมาก แต่ยังเห็นว่ามีคนเดินนำหน้าเลยคิดว่าถูกทางกว่าจะรู้ตัวว่าผิดก็ตอนที่คู่ด้านหน้าเขาเดินขึ้นไปหยุดแล้วต้องเดินกลับลงมาเพราะทางข้างหน้าไม่ให้ไปต่อ!!! ทีนี้ก็เงิบสิครับ คู่ที่เดินนำก็เดินกลับหายไปส่วนครอบครัวเราก็เดินมาเจออีกคู่หนึ่งที่เดินตามมาเหมือนกัน สื่อสารภาษาใบ้กับพี่ชายเราเสร็จเขาก็ตกใจบอกว่าล้อเล่นน่า สุดท้ายก็เดินๆ ไปด้วยกันโดยไปตั้งหลักที่ถนนที่เดินผ่าน(โชคดีมากที่อย่างน้อยก็มีถนนมีบ้าน 555 หลังจากที่เดินในป่ามานาน) หลังจากนั้นก็เปิด GPS นำจ้ากลับไปสถานีปรากฎว่าเราเดินมาไกลมาก เหมือนหน้าเขากะหลังเขาเลยล่ะ พอเจอสถานีรถไปเขาก็ชี้ๆ ดีใจแต่หาคำไม่ได้เราเลย "บันไซ" 555 แล้วก็อ่านป้ายเดินไปสถานีเดิมเพื่อนั่งรถไฟกลับที่พักจ้า หลังจากนั้นก็ยังคงสามารถเดินออกมา shopping ได้อย่างน่าทึ้ง เอิ้กๆ
ปล.จบของวันแรกแล้วจ้าค่อนข้างยาวทีเดียวไม่รู้ว่ารอบละเอียดมากไปหรือเปล่า แนะนำกันได้นะคะ แล้วจะมาต่อของวันอื่นๆ นะคะ