ตอนแรกก็กะว่าอยากได้รถBig Bikeสักคันแต่พอได้มาแล้ว คุณต้องไม่เชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตผม(4 ปี กับ CBR250r)

หลายๆคนคงจะได้ฝันว่าอยากจะมี Big Bike สักคันไว้ขี่หล่อๆ หรือขี่เที่ยว ผมเองก็เป็นคนนึงที่มีฝันเดียวกับเพื่อนทุกคนครับ ที่ผ่านมาก็เคยได้ลองรถเพื่อนบ้าง ซ้อนเพื่อนบ้าง แต่ก็ไม่เคยได้มีโอกาศจับจองเป็นเจ้าของ ผ่านมาหลายปีพอเริ่มทำงาน จังหวะโอกาศมาถึง ผมก็ได้เจ้า CBR250r  หรือเจ้า Hermesมาครอบครองครับ
ที่มาของชื่อ Hermes จะอ่านออกเสียงว่า เฮอร์มิส หรือ แอร์เมสก็ได้
ถามว่าทำไมใช้ชื่อนี้ เฮอร์มิสเป็นเทพเจ้าแห่งการเดินทางของกรีกครับ นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์เป็นปีกนกเช่นเดียวกับโลโก้ของค่าย Honda แถมผมยังมีความชอบในกระเป๋าแบนด์แอร์เมสด้วยเป็นการส่วนตัว



ตอนที่ซื้อเจ้า Hermes เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2554 ผมทำงานอยู่ที่หัวหินครับ ไปออกรถที่ปราณบุรี นั่นเป็นจุดกำเนิดที่ผมกับเจ้ารถคันแรกได้ร่วมทางกัน ทุกวันเสาร์อาทิตย์ผมจะตื่นเช้าและขี่เจ้า Hermes ไปเส้นเขาเต่า-ปราณบุรี เพื่อฝึกทักษะการขับขี่โดยฉพาะการจัดระเบียบร่ายกายในการเข้าโค้งครับ พอเริ่มมั่นใจแล้วว่าเราได้ฟื้นฟูทักษะจนปีกกล้าขาแข็ง ผมก็เริ่มอยากไปเที่ยวครับ เพราะที่ผ่านมาก่อนที่จะได้ซื้อรถ ผมทำงาน 6 วัน และเรียนป.โทอีก1วัน จนไม่มีเวลาให้กับชีวิตเลย โดยเริ่มเก็บจากที่เที่ยวรอบๆก่อนตั้งแต่ สวนผึ้ง กาญจนบุรี แก่งกระจาน ปราณบุรี ยาวไปจนถึงบางสะพานน้อย อย่าถามนะครับว่าไปมาแล้วกี่ครั้ง นับไม่ถ้วนเลย มีที่ๆยังไม่ได้ไปคือเขากระโจม ราชบุรีครับ สักวันจะหา Enduro เบาๆสักคันแล้วไปพิชิดเขากระโจมให้ได้









ขี่ไปขี่มาก็อยากไปไกลๆบ้าง เลยคุยกับเพื่อนอีกคนว่าอยากไปเกาะช้าง ทริปนี้เป็นทริปยาวทริปแรกในชีวิตครับ โดยผมขี่รถไปนอนกรุงเทพ ก่อน แล้วมุ่งหน้าสู่เกาะช้างกับแฟน และเพื่อนอีก2คนที่ขับ Mazda 3 แต่งเต็มพร้อมจูนกล่องครับ ในทริปนั้นอุปกรณ์ safety ต่างก็ยังมีไม่ครบ ซึ่งผมไม่แนะนำเลยสำหรับคนที่อยากขี่รถเที่ยว ควรแต่งตัวให้มิดชิดนะครับ
จากทริปนั้นได้บทเรียนมาว่า ถุงมือผ้าถูกๆลื่นๆ ทำให้มือชาในการขี่ทางไกล เลยเริ่มให้ความสำคัญกับคุณภาพของเครื่องแต่งกายมากขึ้นครับ








หลังจากทริปแรกก็ต้องมีทริปที่ 2 ทีนี้ผมได้เริ่มมีกลุ่มมีก้อนแล้วครับ จริงๆเป็นคนที่ไม่ชอบเข้าแก๊งค์ใหญ่ๆ เพราะไม่ใช่สไตล์ ชอบมีกันกลุ่มเล็กๆ ที่รู้ใจ ไปเที่ยวกันไม่เรื่องมาก คล่องตัว จอดไหน กินไหน ไม่ต้องคอยเกรงใจกันว่าใครจะว่ายังไง ทริปที่ 2 นี้เราไปทางเหนือกันบ้างครับ โดยไปกัน 3 วัน 2 คืน คืนแรกเราไปนอนกันที่ ภูทับเบิกครับ และไปต่อคืนที่ 2 ที่ เชียงคาน ทริปนี้นับได้ว่าเป็นทริปมอเตอร์ไซด์เต็มๆทริปแรกของผมก็ได้ครับ เพราะไปกันแต่มอเตอร์ไซด์ล้วนๆ ทริปนี้ทำให้ผมได้ย้ำกับตัวเองว่า สิ่งที่ผมชอบคือ การขี่มอเตอร์ไซด์ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ไม่ใช่การเป็น Biker หล่อๆเท่ๆที่หลายๆคนพูดถึง อาจเป็นเพราะผมไม่ได้เล่นรถมาตั้งแต่เด็กก็ได้ครับ ตอนเด็กๆได้แต่ตระเวณแข่ง mountain bike cross country ซึ่งก็ทำให้ได้ทักษะต่างๆติดตัวมาที่สามารถเอามาปรับใช้กับการขี่มอเตอร์ไซด์ได้หลายอย่าง  เอาเป็นว่า ผมเริ่มเสพติดการท่องเที่ยวด้วยมอเตอร์ไซด์เข้าแล้วล่ะ













หลังจากทริปภูทับเบิก – เชียงคาน ผมก็มีทริปเล็กๆรอบๆหัวหินอีกมากมายครับ ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก ความสุขกลับมาก มีเวลาให้กับตัวเยอะเยอะขึ้น แต่ชีวิตก็เปลี่ยนอีกครั้งเมื่อผมตัดสินใจย้ายกลับมาทำงานที่กรุงเทพ หลังจากอยู่ที่หัวหินมา4ปีเต็มๆ การกลับมาทำงานในกทม.ทำให้เวลาผมหายไปเยอะครับ แต่ก็ยอมเพราะแลกกับค่าตอบแทนที่มากกว่าเดิมเกือบเท่าตัว งานหนัก เงินเยอะ เวลาหาย เรื่องปกติครับ แต่ผมก็ไม่วายที่จะหาเวลาว่างให้กับตัวเอง ก็คนมันอยากเที่ยวนี่นา หาเวลาได้ก็ปรับแต่งรถให้เหมาะกับการขี่เที่ยวมากขึ้นโดยเจาะแผงคอแฮนด์เพื่อใส่แฮนด์บาร์ลดอาการปวดหลังจากการขี่รถยาวๆ พอรถพร้อมแล้วหาเวลาได้แล้ว จะรออะไรล่ะ ก็ไ ปสิครับ ทริปนี้เราไปเหนือเหมือนเดิมครับ โดยครั้งนี้เราไม่ไปเหนือแบบธรรมดา เราไปอ้อมภาคเหนือกัน 5 วัน 5 คืน รอบภาคเหนือ บอกตรงๆวันทริปนี้โหดมากผมเลิกงาน 6.30 กว่าจะเปลี่ยนชุ ดมัดของขึ้นทายรถก็ได้ฤกษ์ออกจากที่ทำงานประมาณ 1 ทุ่ม ขี่ไปเจอเพื่อนอีก2คนที่มาจากหัวหินที่บางปะหัน อยุธยา ประมาณ 4 ทุ่มครับ พอเจอกันก็กินข้าวกินน้ำ แล้วก็ออกเดินทางกันตอน 5 ทุ่ม โดยมุ่งหน้าสู่จ.ตากครับ คืนแรกนี้เราไปนอนกันที่ปั้มน้ำมัน อ.บ้านตากตอนตี 4 ครึ่ง  นอนไป2 ชม.ก็ตื่นมาล้างหน้าล้างตาแล้วขี่ต่อครับ ทริปนี้โหดมาก ขี่ไปก็มองหาปั้มไป เพราะเพื่อนขี่ crf ถังน้ำมันเล็กกว่า cbr พอสมควรครับ
บางคนมันจะบอกว่าชอบไปเล่นโค้งที่ภาคเหนือ ผมว่าความรู้สึกที่ได้มันไม่ได้เป็นการเล่นโค้งอย่างเดียว มันเหมือนการฝึกเขียนคัดลายมือซ้ำแล้วซ้ำอีกกับโค้งที่เราเจอตามเส้นทางต่างๆ ทริปนี้มีความสุขมากครับ ได้ไปหลายๆที่ที่อยากไป ไม่ว่าจะเป็นดอยแม่อูคอ ภูกระดึง ปางอุ๋ง ปาย แม่สาย ดอยภูคา แต่ก็จะต้องกลับไปเก็บที่ดอยเสมอดาว จ.น่านอีกที่ขี่ไม่ถึงเนื่องจากจะมืดซะก่อน เอาเป็นว่า เป็นทริป 2800 โลที่ยากจะลืมเลยล่ะครับ



















หลังจากนั้นก็ได้เวลาไปเปิดประสบการณ์กับที่เที่ยวสุดฮิตของเหล่า Biker พระนคร อย่างนครนายก – เขาใหญ่ – วังน้ำเขียวครับ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมชอบไปกันจัง แล้วก็ถึงบางอ้อว่า อากาศบนเขาใหญ่นั้นช่างแสนบริสุทธิ์ และเย็นกว่าในเมืองเยอะแยะมากมาย เหมาะแก่การหนีเมืองไปเติมความสดชื่นสำหรับชาวกรุงเป็นที่สุด และเส้นทางไปวังน้ำเขียวก็มีถนดีๆ โค้งกว้างๆให้เล่นมากมายครับ 3 ปีที่กลับมาอยู่กรุงเทพก็คงไม่ต้องบอกกันว่า ผมไปเขาใหญ่-วังน้ำเขียวมาแล้วกี่ครั้ง เพราะน่าจะเกิน 15 ครั้งแน่ๆครับ สำหรับคนที่ยังไม่เคยไปเขาใหญ่ หรือยังมีทักษะการขับขี่ที่ยังไม่แข็งแกร่ง ผมจะบอกว่า เขาใหญ่ ไม่ใช่ที่ที่เหมาะสำหรับการเล่นโค้งเลย เพราะนอกจากถนนจะแคบจะไม่มีไหล่ทาง ต้นไม้บังในโค้ง หรือพื้นชื้นๆเป็นบางช่วงแล้ว จุดที่พื้นแห้งบางช่วงที่มีแสงแดดรำไรรอดพุ่มไม้ลงมานั้นก็ยังมีกิ่งไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้น ถ้าคุณกำลังส่งกำลังรถและแบนโค้งขึ้นเขาอยู่แล้วไปเหยียบเข้า มีกลิ้งได้ง่ายๆเลยครับ เพราะฉะนั้นเวลาไปก็ขี่กินลมชมวิวกันนะครับ อย่าใจร้อน






อีกที่นึงที่ผมชอบไปมากทุกๆหน้าฝนก็คือ ปิล๊อก กาญจนบุรี พื้นที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นสภาพภูมิอากาศพิเศษ ชาวบ้านที่นี่จะเจอแดด ปีละ 3-4 เดือนเท่านั้น เพราะนอกจากนั้นก็จะมีหมอกและเมฆฝนสลับกันตลอด ช่วงที่ผมชอบไปมากที่สุดคือหน้าฝนครับ เพราะฝนจะตกจนเปียกชุ่มอยู่ตลอดเมื่อฝนหยุดหมอกก็จะวิ่งผ่านหน้าเราเป็นสายและมีหมอกได้ไม่ถึงครึ่งชม.ก็จะเจอฝนปรอยลงมาอีกสลับกันแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน ชาวบ้านที่นี่ต้องมีเครื่องอบผ้ากันทุกครัวเรือนคับ ว่างๆอย่าลืมแวะไปนะครับ








เดี๋ยวมาต่อครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่