[CR] [ รีวิวประสบการณ์ ] 9 เดือนนิดๆกับชีวิตใน Melbourne

สวัสดีค่า นี่เป็นกระทู้แรกที่มาเขียนรีวิวประสบการณ์ต่างๆตั้งแต่มาใช้ชีวิตในเมลเบิร์นนะคะ
ผิดพลาดประการณ์ใด ขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วยจ้า อมยิ้ม16

.
.



ทำไมต้อง Melbourne ?
เป็นหนึ่งในหลายล้านคำถามของทุกคนที่ถามเรา เออออ นั่นสิ ทำไมวะ
อันที่จริงสองสามปีที่แล้วเคยมาเที่ยวที่นี่แล้วประทับใจแต่หารู้ไม่ มา ' เที่ยว ' กับ มา ' อยู่ ' ต่างกันลิบลับ

ตัดสินใจยากมั้ย ?
อันที่จริงไม่ยากเลย วางแพลนจะมาอยู่แล้ว แต่ช่วงที่มากระทันหันมากมาย
เหมือนชีวิตช่วงนั้นๆ งง ไม่ได้แพลนอะไรมาก ทำเรื่องแค่เดือนเดียวก็มาอยู่ที่นี่เลย
อันที่จริงแอบโชคดีเรื่องที่พักด้วยเพราะมีพี่พักอยู่นี่อยู่แล้ว การหาบ้านเลยตัดไป




เมลเบิร์น . ระยะแรก
โอ้ยยย ! เมลเบิร์นช่วงแรกหรอ ชิ๊วชิวววว สองสามวันแรกชิวมาก เหมือนได้มาเจอที่ใหม่ ประสบการณ์ใหม่
ในใจนี่บั่บบบบ เห้ยย ฮัลโหลฝรั่งงงงง ! ( แต่เดินไปเดินมาเอเชียเริ่มเยอะ เอ๊ะ ยังไง )
ช่วงที่มาสองสามอาทติย์แรกเราเหมือนโดนรับน้อง จำได้ว่าตอนที่มาถึงเมลเบิร์นวันแรกมีความพยายามในการจะดู Youtube  ในมือถือ
ตอนนั้นไม่มีโต๊ะ เลยเอามือถือวางขอบหน้าต่าง จ่ะ ! อ่านไม่ผิดจ่ะว่า ' ขอบหน้าต่าง ' ( เห๋ยยย ตอนนั้นคิดไรอยู่ว่ะ ! )
พอวางไปไม่ถึงสามวิ แรงโน้มถ่วงโลกทำปฎิกริยากับโทรศัพท์ทันที บู้มมมม ! จากชั้น 7 สู่ชั้นหนึ่งด้วยเวลาไม่ถึง 5 วินาที . .
อื้มมมม . welcome to melbourne ฉริงๆ Y^Y จากนั้นเลยพยายามไปเก็บซากโทรศัพท์มา และคือระบบความปลอดภัยตึกก็ดี๊ดี
คีย์การ์ดขึ้นได้แค่ชั้นของตัวเอง เลยต้องรอให้มีคนกดชั้น 1 ซึ่งใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 45 นาทีกว่าจะได้ซากโทรศัพท์คืน
ค่าเสียหายครั้งนี้จึงนำพา 700$ ของเราไปอย่างชิวๆ . อ่ะะ ! ถือว่าฟาดเคาะห์นะแก ( คิดในใจ )
หลังจากนั้นเราก็พยายามเรียนรู้เส้นทางต่างๆ การใช้บัตรรถ การซื้อของ และการใช้เครื่องซักผ้า
อ่ะ ! การใช้เครื่องซักผ้านึกว่าง่ายเหมือนกัน
ใช่ ! จริงๆก็ง่ายนะ แต่นี่บั่บด้วยการซักอันมือโปรของเรา เราดันดึงที่เปิดฝาเครื่องซักผ้าหลุด Y^Y
อื้ม 145$ ปลิวไปอีกแล้วจ่ะะ ฮัลโหลลลล~
และนี่คือเมลเบิร์นสองสามอาทิตย์แรกของเรา ฟาดเคราะห์ และ ฟาดเงินเราไปเยอะมาก .​ . กระซิกๆ




Home sick  .
พอผ่านช่วงสองสามอาทิตย์หฤหรรษไปได้ก็เริ่มเข้าสู่โหมดปรับตัว จริงๆเรามาก่อนเปิดเรียนสองอาทิตย์ ชีวิตว่างมาก
ออกไปเดินเล่น ดูนู่นดูนี่บ้าง แต่สุดท้ายก็กลับมานอนขดอยู่ในห้องเพราะอากาศหนาวๆและยังปรับตัวไม่ได้กับราคาตั๋วหนัง 20$
จากบรรยากาศรอบตัวที่อึมครึม บวกกับความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวมากมาย ประกอบด้วยความคิดถึงครอบครัว เพื่อน และหมาที่บ้าน ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าเราเป็น ' โฮมซิค ' . ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะก่อนมานี่เราคิดว่าเราไม่มีทางจะเป็นโฮมซิคแน่ๆเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนร่าเริง จิตใจกร้านโลก และปรับตัวเก่ง
โอ้ววแม่เจ้า ! มาเจอจริงๆมันไม่ใช่เลยจ้า กลายเป็นเด็กสาวอ่อนต่อโลกนอนร้องไห้โทรหายายทุกวันซะงั้น อมยิ้ม08





School time .
การมาโรงเรียนครั้งแรกกระอักกระอ่วนเสมอ การหาเพื่อนใหม่ในวัยยี่สิบต้นๆช่างน่าอึดอัดจริงๆ
เราลงเรียนภาษาในสถาบันแห่งหนึ่งที่ Dockland พอเรามาถึงทางโรงเรียนก็จัดให้เราสอบวัดระดับและให้ตารางเรียนเรามา
การเริ่มเรียนจริงๆจึงเริ่มขึ้นหลังจากนี้ . บ่ายวันต่อมา ระหว่างนั่งรถไปโรงเรียนก็แอบตื่นเต้นในใจเล็กๆว่า เอ๊ะ มันจะเป็นยังไงน้า
เราจะมีเพื่อนชาติอะไรบ้าง ญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลี เอ๊ะ !  จะมียุโรปบ้างมั้ย ในหัวนี่มโนไปหลายสิ่งอัน ตัดภาพฉับเข้ามาในห้องเรียน
เราแนะนำตัวว่าเราเป็นคนไทย เฉกเช่นเพื่อนร่วมสัญชาติอีกนับสิบคน ฮัลโหลแกกกกกกก Y^Y ยุโรปไม่มีเลยหรอเนี่ย ฮือๆ
( แต่จริงๆช่วงนั้นคนไทยเยอะเพราะว่าเป็นช่วงที่เมืองไทยปิดเทอมตามอาเซียน ประชากรคนไทยเลยหนาแน่นเป็นพิเศษ )
คนไทยที่โรงเรียนเราน่ารักมุ้งมิ้งกันทุกคน บางคนเป็นอาจารย์บ้าง บางคนจบวิศวะบ้าง บางคนจบจิตวิทยาบ้าง หลากหลายมาก
เพื่อนต่างสัญชาติส่วนใหญ่ก็เป็นเวียดนาม โคลัมเบีย จีน ใต้หวัน เนปาล บาหลี และอื่นๆอีกยิบย่อยกันไป .
ซึ่งการเรียนในโรงเรียนส่วนใหญ่ก็จะสอน ฟัง พูด อ่าน เขียน มีพรีเซ้นท์และสอบทุกอาทิตย์ ลแะมีการบ้านทุกวัน ( โหดมั่กๆ )
คนที่มาใหม่ๆไม่ต้องกลัวฟังหรือพูดไม่รู้เรื่องเพราะทุกคนก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน 555555 อ่าว กรรม ไม่ใช่ เพราะทุกคนมาที่นี่เพื่อนเรียนรู้
ฉะนั้นไม่ต้องกลัวเลยว่า เห่ย ! จะมาอยู่มาใช้ชีวิตมาเรียนยังไงวะ ภาษาอังกฤษง่อยเปลี้ยมาก ไม่ต้องกลัวเลย เพราะสุดท้ายสถานการณ์
มันจะบังคับให้ทุกคนปลุกสัญชาติญาณการสื่อสารเพื่อเอาตัวรอดในชีวิตประจำวันขึ้นมาเอง !! ( โหหหห อลังการจุงเบยยย )
แต่กิจกรรมที่ทุกคนชื่นชอบคงไม่พ้นการออกไปทัศนศึกษาในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไปบาร์บีคิว ไปเล่นคริกเก็ต หรือ ไปเล่นไอซ์สเก็ต
โดยรวมแล้วชีวิตที่โรงเรียนสนุกสนานเฮฮามาก จะเริ่มมานอยก็เมื่อตอนเพื่อนทยอยกล้บกันทีละคนสองคน โรงเรียนดูเงียบเหงาไปเยอะ . .




งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข
การมาอยู่ที่นี่จะให้ดีต้องทำงาน ! การทำงานที่นี่ไม่ง่ายไม่ยาก ถ้าไม่เลือกงานก็สบายมาก
เรามาครั้งแรกตั้งใจกับตัวเองว่าจะไม่ทำงานร้านอาหาร หนึ่งเพราะมันหนัก และ ที่บ้านไม่อยากให้ทำ ( โหยยย คุณหนูมั่ก )
ตัดภาพกลับมา อ่าว ยิ้ม ดิฉันเดินรับออเดอร์อยู่หน้าร้านจ้า แหมมมม่ ชีวิตที่นี่เลือกไม่ได้มากนี่เนอะ Y^Y
อันที่จริงก่อนจะมาทำร้านอาหารเราพยายมหางานร้านนวดแต่ด้วยเพศสภาพไม่เอื้ออำนวยเลยไม่มีร้านไหนรับเลย
( เห๋ย แกรรร ฉันเป็นทอมนะไม่ได้เป็นเอเลี่ยน ) บางร้านที่เราไปสมัครถามว่าเราแต่งหญิงได้มั้ย เราบอก ไม่ได้ค่ะพี่
ถามอีกว่า แต่งหน้าละ เราก็ตอบไม่ได้ค่ะพี่ งั้นใส่วิกละ ไอ่เราคิดในใจ นี่พี่ยังจะถามหนูอีกหรอคะ ฮือๆ สรุปงานนวดก็ตัดไป
เลยต้องมาทำร้านอาหารงกๆ การทำงานร้านอาหารมีหลายตำแหน่งมาก มีเป็นคนผัด ส่งเดลิเวอรรี่ คิทเช่นแฮนด์ และพนักงานเสิร์ฟ
ซึ่งจริงๆพนักงานเสิร์ฟไม่ง่ายอย่างที่คิด เราทำงานเสิร์ฟอยู่สองร้าน ซึ่งแต่ละร้านมีความแตกต่างกันตามแต่ละคอนเซ็ปร้าน
ร้านแรกที่ทำคล้ายร้านอาหารตามสั่งหน่อยๆ จะมีอาหารจำพวกราดข้าว และไม่เสิร์ฟเป็นคอร์ส ( คือไม่ต้องรอทานอองเทร่เสร็จ )
ร้านแรกเลยทำงานง่ายคล้ายๆที่ไทย แต่ในส่วนของลูกค้า ลูกค้าร้านนี่จะค่อนข้าไปทางเด็กวัยรุ่นคนจีน และ อินเดีย
ซึ่งระบบระเบียบในการกินนั้นเท่ากับศูนย์ฉริงๆ เพราะร้านที่ทำมีอาหารขึ้นชื่อเป็นไก่ทอด เศษไก่และกระดูกนั้นจึงวางเรี่ยราดไปทั่วโต๊ะ
ปวดหัวต่อหารเก็บกวาดมาก  แต่ก็ต้องทำเพราะเงิน . ร้านที่สองเป็นร้าน Restaurant ขึ้นชื่อ ลูกค้ามีแต่ฝรั่ง คนเอเชียน้อยมากถึงมากที่สุด
ร้านนี้ทำงานเหนื่อยแต่สนุก เหมือนวิ่งเล่นอยู่ในร้าน เพราะต้องคอยเก็บจานและดูว่าลูกค้าทานอองเทร่เสร็จหรือยัง
หลายครั้งที่ลูกค้าพาน้องน้อยมาด้วย แหมมมม่ พี่ก็ฟรีแอนด์ฟรีกับลูกมาก ปล่อยให้น้องน้อยคลานเป็นเนอร์เซอร์รี่เลยจ้า
วันไหนเด็กเยอะก็จะยุ่งมากหน่อยเพราะเด็กเวลาทานจะเลอะเทอะมาก ต้องคอยเปลี่ยนผ้าปูโต๊ะทุกครั้ง ซึ่งเสียเวลามากเวลาร้านยุ่งๆ
ซึ่งหลังๆมาเราไปสมัครส่งเดลิเวอรี่ สนุกสนานมาก งานก็ไม่มีอะไรก็แค่ส่งข้าว แต่ต้องระวังเรื่องกฏจราจรที่นี่เพราะเข้มงวดมาก
แต่อุปสรรคเวลาส่งเดก็คือความมืด และคือตอนกลางคืนบ้านฝรั่งมันเงียบมาก และฝรั่งชอบเป็นโรคไม่เปิดไฟหน้าบ้าน นี่ก็คือกลัวมาก
หลอนซอมบี้ขึ้นสมอง กลัวแบบ ยิ้ม เปิดบ้านมากลายเป็นซอมบี้ หรือในบ้านมีฆาตกรต่อเนื่องทำไง ( ซึ่งจริงๆมันไม่มีปะวะแกกกก ! )
แต่งานที่เราทำยังไม่หมดเท่านี้ นานๆทีเราจะมีได้ไปทำงานแพคของ แพคกล่อง พับจดหมายบ้าง ซึ่งรายได้ดี งานชิว เม้าท์มอยไปทำไป
จนมาปัจจุบันเราออกงานเสิร์ฟทั้งสองร้าน เหลือแต่ส่งเดลิเวอร์รี่ แล้วออกมาสกรีนเสื้อขาย ประกอบกับออกแบบนั่นนี่ ขายได้บ้างไม่ได้บ้างปะปนกันไป . .
แต่ต้องอดทน ต้องประหยัด อยู่ที่นี่เลือกมากไม่ได้ มีอะไรให้ทำก็ต้องทำ หนักบ้าง เหนื่อยบ้าง สนุกบ้าง ร้องไห้บ้าง ปนๆกันไป .  







เห๋ยแก ชั้นมาแล้ว อย่ากดดัน ด่าทอต่อว่าเราสิ ให้เราได้ไปกินข้าวบ้างอาบน้ำบ้างทำงานบ้างเนอะ
มาแกรรรรรรร มาต่อกันเถอะ เถอะ เถอะ !

กิน ช้อป ชีวิตป๊อปๆ around melbourne
เนื่องจากการทำงานอย่างหนักหน่วงในแต่ละวัน สิ่งที่จะเพิ่มพลังชีวิตเราได้คือการกิน
อาหารการกินในเมลเบิร์นก็อุดมสมบูรณ์มาก มีตั้งแต่อาหารไทย จีน อินโด มาเล เกาหลี กรีก จนไปถึง อาหาร  Junk Food
( เช่น Kfc , Mcdonald ซึ่งขอบอกเลยว่า ไม่อร่อยเลยโว้ยยยย ไก่เหนียว เหี่ยวเหมือนทิ้งไว้ตั้งแต่สมัยเมโสโปเตเมีย )
แต่เมลเบิร์นกลับไม่มีอาหารเป็นของชาติตัวเอง มีมากสุดคงเป็นเนื้อจิงโจ้ ซึ่งนี่ก็ยังไม่เคยลองนะ
อาหารในเมลเบิร์นมีตั้งแต่ราคา 5 เหรียญขึ้นไป ( ใครอยู่ที่นี่คงรู้ดีว่าการเขย่าแอพ Hungry jack มันช่างลุ้นแค่ไหนนน ! )
เอาเป็นว่ามาอยู่ที่นี่ไม่ต้องกลัวอดตาย เพราะเรามี China Bar ที่เปิด 24 ชม.นะแก วันไหนอารมณ์จนและหิวดึก
ก็เดินด๊อกแด๊กไปตามถนน Swanton เข้าไปสั่งข้าวมันไก่กิน เกร๋ๆ ~ หรืออยากจะป๊อปและชิคขึ้นมาหน่อย
นี่เลยจ้า เดินมาทางถนน Lonsdale ตัด Russell จะมีร้านอาหารกรีกอยู่ตรงหัวมุม ป๊อปมากก คือคนเยอะ ฝรั่งหนาแน่น
เวลาฝรั่งเมาๆมาก็จะมาทานที่นี่เยอะแยะ หรือวันไหนอยากจะหมูกระทะก็เดินไปแถว Rmit จ่ะ มีร้านหมูแปดสีอันลือลั่นนน
หรือจะมีอารมณ์คิดถึงไก่ห้าดาวก็เดินเข้าร้าน Nando's เลยจ้าาา เอาเป็นว่ามาอยู่ที่นี่มีของให้เลือกทานลากหลาย ไม่อดตายแน่นอน !



นอกจากของกินที่มีอยู่ทุกซอกตรอกถนนแล้ว ร้านช้อปปิ้งก็มีให้เลือกเยอะแยะ !
ไม่ว่าจะเป็นของแบรนด์เนม , ร้าน Duty free , Cotton on , H&M , Typo และอื่นๆอีกสารพัด
เชื่อได้ว่าคนที่ชอบช้อปปิ้งก็น่าจะชอบเมลเบิร์นนะ ส่วนตัวนี่ชอบไปเดิน Typo มากๆ Typo คือชื่อร้านเครื่องเขียนชื่อดังของที่นี่
มีทุกสิ่งอันที่จำเป็นและไม่จำเป็นรวบรวมไว้อยู่ บ้างก็หน้าตาสำเพ็งบ้าง ไม่สำเพ็งบ้าง
แต่ส่วนใหญ่ของในนั้นละลายเงินในกระเป๋าเราเยอะเชียว อาจเป็นเพราะเราเป็นทอมมุ้งมิ้ง
( ความน่ารักของเครื่องเขียนเลยทำให้ใจเราหวั่นไหวอะแกรรรร ) คราวนี้มาถึงเรื่องเสื้อผ้าบ้าง
จริงๆเสื้อผ้าไม่ค่อยเป็นปัญหาสำหรับเรามาก เพราะถ้าทำงานก็ใส่เสื้อดำซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าวันไหนเราอยากซื้อเสื้อผ้าขึ้นมาจริงๆ
เราก็จะตรงดิ่งไปที่ . . Target ! เห๋ย แก อย่าทำหน้าเหย๋เกดิ ว่าไม่ได้นะ ของเค้าเริ่ดนะแก ( Target นี่คล้ายๆ คาร์ฟูร์ โลตัส บ้านเรา )
ด้วยความที่เรามีเงินไม่มาก การช้อปเสื้อผ้าเด็กคือหนึ่งกิจกรรมที่เราโปรดปราน ด้วยความแคระแกรนกระทัดรัดของเราชาวเอเชียหัวดำ
ทำให้เราใส่เสื้อผ้าเด็กที่นี่ได้อย่างพอดี เวลาเราซื้อเราก็จะซื้อของเด็กวัย Teenage ประมาณ 8 -14 ปี
อื้อหือออ ว่าไม่ได้นะเด็กที่นี่ตัวใหญ่เบ้อเริ่ม ไซส์ 14 คือไซส์ที่พอดีตัวที่สุดของเรา ใครมานี่อยากประหยัดก็ลองได้นะจ๊ะะะ !
ชื่อสินค้า:   Melbourne
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่