Dark Tales of London: เหตุอื้อฉาวที่ถนนคลีฟแลนด์ -- บทนำ

“There is no such thing as a moral or an immoral book. Books are well written, or badly written. That is all.”

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า หนังสือที่มีศีลธรรมหรือไร้ศีลธรรม มีแต่หนังสือที่เขียนดีหรือเขียนเลว ก็เท่านั้น

Oscar Wilde (The Picture of Dorian Gray, 1890)


-------------------------------------------




บทนำ

ลอนดอน, ปลายเดือนมิถุนายน 1889



นับแต่ย้ายมาอยู่ลอนดอน ข้าพเจ้าเข้าโรงละครเพื่อแสวงหาความรื่นเริงบันเทิงใจนับครั้งได้ ได้ดูละครร้องบ้าง ละครพูดสมัยใหม่นาน ๆ ครั้ง แต่ที่บ่อยกว่าเพื่อนสักหน่อย เห็นจะเป็นละครเชคสเปียร์ แต่ที่บ่อยกว่าละคร คือ การไปฟังดนตรี ไม่ว่าจะเป็นการแสดงเดี่ยวหรือเป็นวงขนาดใหญ่ การแสดงดนตรีหรือมหรสพที่ข้าพเจ้าเห็นว่าตื่นตาตื่นใจและแปลกหูแปลกตาที่สุดที่เคยชม เห็นจะเป็นการแสดงของนักดนตรีชาวสยามที่รอยัลอัลเบิร์ตฮอลล์ เมื่อปี 1885 (1) แม้เพลงของชาวสยามไม่ค่อยต้องรสนิยมของข้าพเจ้าสักเท่าใด แต่การได้พบคนจากต่างแดน ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ได้เห็นเครื่องดนตรี วิธีการเล่น ฟังสำเนียงเพลง และสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ คือ สิ่งซึ่งนำความสำราญใจและสดชื่นมาสู่ชีวิตเรียบง่ายและค่อนไปทางน่าเบื่อของข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง


“ถ้าในตอนนั้น ผมไม่ได้พักฟื้นอยู่ที่เซอร์รีย์ละก็ จะไม่มีวันพลาดอย่างเด็ดขาดเลยทีเดียว” สหายต่างวัยของข้าพเจ้าออกปากด้วยความเสียดาย เมื่อข้าพเจ้าเล่าถึงการแสดงดนตรีจากราชสำนักสยามให้ฟัง ระหว่างพูดคุยกันหลังจบการแสดงอุปรากรเรื่องทริสตานและอิโซลด์จากงานประพันธ์ของริชาร์ด วากเนอร์ นักประพันธ์เพลงชาวเยอรมัน


เราไม่ได้มาด้วยกัน เพราะข้าพเจ้ามากับเบนเน็ตต์ ดาลบี้ จิตรกรและเพื่อนร่วมบ้านเช่าของข้าพเจ้า ส่วนเขามากับ มร. อัลเฟรด คอร์ทนีย์ ผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสารคอร์นฮิลล์ เพื่อนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยโรงเรียนกินนอนซึ่งอาศัยอยู่ในแฟลตเดียวกัน หากได้พบกันโดยบังเอิญเมื่อออกมาจากโรงมหรสพแล้ว  หลังข้าพเจ้าแนะนำให้ต่างฝ่ายได้รู้จักกัน มร. คอร์ทนีย์และเบนเน็ตต์ได้ถามไถ่เรื่องการงานของกันและกัน จากนั้นการสนทนาของทั้งสองก็ได้กลายเป็นการเจรจาเรื่องงานอย่างจริงจัง เราจึงตกลงกันว่าจะแยกกันกลับ ในขณะที่ฝ่ายแรกไปสนทนากันต่อที่สโมสร ข้าพเจ้าและเขาแยกมาหาอะไรดื่มและพูดคุยกันที่ร้านอาหารสักแห่งก่อนแยกย้ายกันกลับบ้านของตน


นพ. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ เป็นศัลยแพทย์ตำรวจประจำดิวิชั่นเอช เขตไวท์ชาเพล ข้าพเจ้าพบและร่วมงานกับเขาเป็นครั้งแรก เมื่อปลายเดือนธันวาคม ปี 1888 ในคดีแรกของข้าพเจ้าในฐานะสารวัตรสังกัดแผนกสืบสวนอาชญากรรม ตำรวจนครบาลกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามสก็อตแลนด์ยาร์ด


แม้จะมีอายุเพียงต้นสามสิบ หากเขากลับมีประสบการณ์ชีวิตมากมายเกินกว่าใครคาดคิด ด้วยเขาเคยถูกส่งไปประจำการที่อียิปต์และซูดานในฐานะศัลยแพทย์ทหาร เคยได้รับบาดเจ็บระหว่างการสู้รบและบาดแผลเหล่านั้นก็ยังติดตัวของเขามาจนบัดนี้ และเมื่อลาออกจากราชการ  เขาได้กลายเป็นหนึ่งในบรรดาศัลยแพทย์ตำรวจที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตรวจและชันสูตรศพอย่างหาตัวจับยากของลอนดอนในเวลาไม่นานนัก


ถึงจะมีความชำนาญและเป็นที่ชื่นชมในบรรดาศัลยแพทย์ตำรวจด้วยกัน แต่นพ. ฟอล์กเนอร์กลับมีกิตติศัพท์เรื่องความไม่สังคมโลก เย็นชาต่อคนรอบข้าง และทำงานอย่างไม่เห็นแก่หน้าใครเสียจนตำรวจทั้งหลายครั่นคร้าม ไหนจะความละเอียดลออในการชันสูตรจนเหมือนหมกมุ่นอยู่แต่กับศพยิ่งทำให้ไม่น่าเข้าใกล้เป็นทวีคูณ คงมีแต่มิตรสหาย ไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าใจและคบหาสมาคมกับเขาอย่างสนิทใจ ซึ่งข้าพเจ้าถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีจำนวนน้อยนิดเพียงหยิบมือเหล่านั้น และนั่นก็ทำให้ใครหลายคนประหลาดใจว่า คนที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง วัย อุปนิสัย การศึกษา หน้าที่การงาน และสังคมเช่นเราทั้งสองสนิทสนมกันถึงเพียงนี้ได้อย่างไร


นพ. ฟอล์กเนอร์ มีอายุอ่อนกว่าข้าพเจ้าสิบปีเต็ม และมีโครงร่างต่างจากข้าพเจ้าอย่างชัดเจน แม้จะสูงไล่เลี่ยกัน แต่รูปร่างของเขาค่อนไปทางสูงโปร่งและประเปรียวมากกว่าข้าพเจ้าซึ่งสูงใหญ่และมีไหล่กว้าง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังมีใบหน้าที่คมคายชวนมอง หรือหากพูดให้ถูกต้องยิ่งกว่า คือ ใบหน้าของเขาเป็นใบหน้าของบุรุษที่งามอย่างยิ่ง เพราะถอดเค้าจากมิสซิส ฟอล์กเนอร์ ผู้เป็นมารดาซึ่งข้าพเจ้าเคยเห็นจากภาพวาดที่ติดในห้องนั่งเล่นของเขาว่าเป็นสุภาพสตรีที่งามลึกซึ้งละมุนละไมที่สุดคนหนึ่งมาแทบทุกประการ เว้นเสียแต่ดวงตาสีเขียวคมกล้าที่ได้รับมาจากเซ็ปติมัส ฟอล์กเนอร์ ทนายความฝีปากเอก ผู้เป็นบิดา อย่างไรก็ดี เมื่อได้รู้จักเนื้อแท้กันแล้ว ข้าพเจ้าพบว่า เขามีธาตุทรหดและแกร่งกล้ายิ่งกว่ารูปลักษณ์และบุคลิกอย่างนักวิชาการที่ใครต่อใครเห็นมากนัก


แม้จะเกิดที่เซอร์รีย์ แต่ก็ยังถือได้ว่าเขาเป็นชาวลอนดอนเต็มตัว เขาจบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนกินนอนที่มีชื่อเสียง ได้รับการศึกษาขั้นสูงระดับมหาวิทยาลัย เป็นสมาชิกของราชวิทยาลัยศัลยแพทย์ และเคยเป็นศัลยแพทย์ทหารในกองทัพ ถือว่าเป็นประวัติการทำงานชั้นเลิศซึ่งส่งเขาให้ก้าวขึ้นไปอยู่ในสังคมของชนชั้นนำได้อย่างไม่ยากเย็น ผิดกับประวัติแสนธรรมดาสามัญของข้าพเจ้าซึ่งเกิดในเมืองเล็ก ๆ ริมทะเลทางตอนเหนือของยอร์กเชียร์ เป็นบุตรชายคนโตและผู้ชายคนเดียวในบรรดาพี่น้องสามคน แม้บิดาจะเป็นเสมียนประจำสำนักงานผู้ชันสูตรศพซึ่งมีฐานะปานกลาง แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีโชคเรื่องการศึกษาพอควร เมื่อลุงซึ่งมีฐานะดีแต่ไม่มีบุตรรับจะส่งเสียให้ข้าพเจ้าเรียนในโรงเรียนไวยากรณ์ศึกษาที่ดีที่สุดในยอร์กกระทั่งจบมัธยมปลาย และได้เริ่มฝึกงานเป็นเสมียนในสำนักงานบัญชีของลุง ก่อนเข้าทำงานเป็นเสมียนงานทะเบียนประจำที่ว่าการเมืองวิทบี้ ได้แต่งงานกับแมรี่ แลงก์เดล ลูกสาวเจ้าของร้านหนังสือที่นั่น ก่อนที่ข้าพเจ้าจะสมัครเป็นตำรวจและประจำการที่เมืองสกาเบอระ จนกระทั่งย้ายมาเป็นตำรวจสืบสวนในลอนดอน หลังจากภรรยาเสียชีวิต


ด้วยความที่มีใจรักด้านการกีฬาและด้วยหน้าที่การงานที่ต้องพบปะผู้คนมาตลอด ทำให้ข้าพเจ้าเป็นที่รู้จักและมีเพื่อนมาก แต่สำหรับ นพ. ฟอล์กเนอร์แล้ว แม้จะเพียบพร้อมด้วยรูปลักษณ์ ฐานะ และการศึกษา นิสัยและบุคลิกนิ่งเฉยเย็นชาของเขากลับเป็นเครื่องผลักไสคนอื่นให้ไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ทว่าข้าพเจ้าก็ถูกชะตากับเขาตั้งแต่นาทีแรกที่ได้พบ


เมื่อได้ร่วมงานกับเขามากขึ้น ข้าพเจ้าได้พบว่า เขามิได้เย่อหยิ่งหรือถือตัวเช่นคำคนอื่นว่า หากเป็นคนเงียบ ๆ ค่อนไปทางขี้อาย ชอบฟังมากกว่าพูด และมีความกระตือรือร้นในเรื่องแปลก ๆ ที่คนอื่นไม่สนใจเสียมากกว่า ยิ่งทำความรู้จักกันมากขึ้น ข้าพเจ้าก็พบว่า เราสามารถเข้ากันได้ดี มีความคิดที่เท่าทันกัน มีนิสัยใจคอที่ใกล้เคียงกัน ประกอบกับผ่านเรื่องอันตรายและสถานการณ์คับขันมาด้วยกันหลายครั้ง เราจึงมีความสนิทสนมกัน และกลายเป็นสหายที่รู้ใจกันในเวลาอันสั้น


เขาไม่เพียงแต่เป็นมิตรที่วิเศษยิ่งสำหรับข้าพเจ้า หากยังเป็นผู้นำความมีชีวิตชีวาที่สูญหายไปนานกลับมาสู่ชีวิตของข้าพเจ้าอย่างที่ไม่มีใครทำได้ เว้นเสียแต่แมรี่ ภรรยาที่จากไปของข้าพเจ้าเท่านั้น ซึ่งนั่นก็นานนักหนามาแล้ว


“สารวัตรเห็นว่าโอเปร่าเรื่องทริสตานและอิโซลด์ (2) ในคืนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” นพ. ฟอล์กเนอร์ถาม คล้องแขนของเขาเข้ากับแขนของข้าพเจ้าอย่างสนิทสนมระหว่างเดินลงบันได ขณะพากันหลบออกมาหามุมสงบสำหรับสนทนากันด้านนอกโรงละคร


“ไม่เลวเลย ทั้งฉาก ทั้งดนตรี และนักแสดง แต่การได้เห็นตัวละครที่เป็นชาวไอริชและคอร์นวอลล์ร้องเพลงภาษาเยอรมันก็ให้ความรู้สึกที่แปลกดี งานของวากเนอร์ออกจะดังกระหึ่มเกินไปสำหรับผม แม้กระทั่งกับเพลงที่คู่รักที่ลักลอบพบกันร้องด้วยกัน ถ้าให้เลือก ผมชอบฟังวงออร์เคสตราบรรเลงโดยไม่ต้องมีคนร้อง หรือละครพูดที่ไม่ต้องร้องเสียมากกว่า” ข้าพเจ้าว่า “ถ้าพูดถึงเนื้อเรื่อง เมื่อเทียบกับความรักของทริสตานและอิโซลด์ ผมออกจะเห็นใจและนับถือน้ำใจของกษัตริย์มาร์ก และประทับใจในความซื่อสัตย์และหวังดีของคูร์เวนาล คนรับใช้ของทริสตานที่คอยเตือนนายและเข้าสู้กับตัวร้ายจนตัวตายมากกว่า แต่อาจเป็นเพราะผมแก่เกินกว่าจะซาบซึ้งกับโศกนาฏกรรมความรักของหนุ่มสาวก็เป็นได้”


ความเห็นของข้าพเจ้าทำให้เขาหัวเราะ “คนส่วนมากดูละครเพื่อหลีกหนีความจริง แต่ดูเหมือนว่าสารวัตรจะมองหาความจริงในละคร”


ข้าพเจ้าหัวเราะไปกับคำสัพยอกของเขา “หรือไม่ก็แสวงหาสิ่งที่เป็นอุดมคติยิ่งกว่าความรักของหนุ่มสาวจากละคร เช่น การยอมเสียสละความรักเพื่อคนที่รัก หรือการยอมตายเพื่อมิตรภาพ”


“ถูกของสารวัตร แต่ผมก็หวังที่จะพบสองสิ่งนั้นในความเป็นจริงนอกโรงละครด้วย” นพ. ฟอล์กเนอร์ว่า ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่อง “ถึงวาทยากรผู้กำกับดนตรีคืนนี้จะวิเศษมาก และนักแสดงทุกคนไร้ที่ติ โดยเฉพาะบทบาทการแสดงและเสียงบาริโทนของคูร์เวนาล หากพลาดชมผมคงเสียดาย แต่ผมเกลียดการใส่ชุดราตรีหางยาวผูกหูกระต่ายขาวมาฟังดนตรีเสียจริง”


“ผมเหมือนกัน หากเบนเน็ตต์ไม่คะยั้นคะยอหนัก ผมคงไม่มา” ข้าพเจ้าว่า และมองไปรอบตัว “ดูเหมือนว่า ผู้มีชื่อเสียงแทบทุกวงการพร้อมใจกันมารวมตัวที่นี่เลยทีเดียว ผมรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางชอบกล”


“นักสืบมือดีจากแผนกสืบสวนอาชญากรรมแห่งสก็อตแลนด์ยาร์ด และศัลยแพทย์ตำรวจมือฉกาจแห่งไวท์ชาเพลไม่จัดเป็นผู้มีชื่อเสียงบนหน้าหนังสือพิมพ์ช่วงนี้หรอกหรือ”


เสียงหนึ่งที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาก่อน แต่นึกไม่ออกในทันทีดังมาจากทางด้านหลัง และเมื่อหันกลับไป ข้าพเจ้าถึงกับชะงัก


“สวัสดี สารวัตรเฟย์และมิสเตอร์ฟอล์กเนอร์” เซอร์เอ็ดเวิร์ด สแตนตัน มหาเศรษฐีเจ้าของกิจการเดินเรือข้ามทวีปค้อมศีรษะทักทาย แม้จะยิ้มระรื่น แต่ดวงตาคมเหมือนเหยี่ยวของเขาไม่ได้ช่วยให้ใบหน้านั้นเป็นมิตรขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย “ขออภัยที่เสียมารยาทกล่าวแทรก แต่ผมดีใจที่ได้พบ จนอดไม่ได้ที่จะรีบตามมาทัก เพราะเกรงว่าสารวัตรและคุณหมอจะเดินหายออกไปข้างนอกเสียก่อน หวังว่าคงไม่ได้รบกวนเวลาที่ต้องการใช้ด้วยกันตามลำพัง”


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านของเก่าบนถนนบัคเคิลสตรีทยังคงอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้า แม้ในวันนั้น เขาตั้งใจจะ ‘หยอกเล่น’ ไม่ได้ทำอันตรายแก่ใครก็ตาม แต่ข้าพเจ้าก็ไม่อยากไว้วางใจในตัวเขามากนัก หากในเวลานี้ ข้าพเจ้าเป็นห่วงความรู้สึกของสหายหนุ่มของข้าพเจ้ามากกว่า ด้วยมือของเขาเผลอกำท่อนแขนของข้าพเจ้าแน่นโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว


ถึงจะเป็นเช่นนั้น นพ. ฟอล์กเนอร์ก็มิได้แสดงอาการอันเป็นพิรุธ ค่อย ๆ คลายมือจากข้าพเจ้า ถอดถุงมือ และยื่นออกไปสัมผัสทักทายกับผู้มาใหม่ด้วยกิริยาเป็นปกติ “ไม่ได้รบกวนดอกครับ… ไม่ได้พบกันเสียนาน ไม่คิดว่าจะได้พบกันที่นี่”



---------------------------------------------------------------------------------

(1) อ้างอิงจากจดหมายเหตุของนายคร้าม นักดนตรีและช่างปั้น สังกัดกรมช่างสิบหมู่ ซึ่งเดินทางไปแสดงดนตรีในประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2427 ตรงกับ ค.ศ. 1885

(2) Tristan und Isolde (Tristan and Isolde) อุปรากร หรือ โอเปร่า ฝีมือการประพันธ์ของ Richard Wagner ชาวเยอรมัน (1813 – 1883) เป็นโศกนาฎกรรมความรักของเจ้าหญิงอิโซลด์แห่งไอร์แลนด์ และทริสตาน นัดดาของกษัตริย์มาร์กแห่งคอร์นวอลล์ ออกแสดงครั้งแรกที่มิวนิค ประเทศเยอรมนี เมื่อ ค.ศ. 1865




(มีต่อนะคะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่