บทที่1
http://pantip.com/topic/33223537
ตอนเย็นหลังจากวุฒิและใบเฟิร์นกลับถึงบ้านทำธุระอาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพพร้อมกับที่ “ฟาง”
ลูกชายคนเล็กกลับมาจากโรงเรียน เยาว์เตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็นของวันไว้พร้อม ทุกคนพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหาร
ครอบครัวขนาดเล็กที่ดูเหมือนจะมั่นคงดำเนินอย่างเรื่อยมา ทุกครั้งที่สมาชิกพร้อมหน้าร่วมวงทานอาหารมื้อเย็น
จะมีเรื่องสรรพเพเหระให้ได้คุยกันโดยเฉพาะเรื่องของลูกๆ
“วันนี้แม่ทำไข่เจียวหมูสับสูตรชาววังสุดฝีมือเลยนะ น้องฟางจะได้โตเร็วๆ เข้าใจมั้ยลูก”
“ฮะคุณแม่ วันนี้เพื่อนที่โรงเรียนเยอะมาก เราเล่นซ่อนหากันในห้องเรียน”
เด็กน้อยมักจะคุยฟุ้งว่าตัวเองมีเพื่อนมากให้ผู้ปกครองฟังเป็นประจำ
“แล้วอาหารอย่างอื่นมีอะไรบ้างคุณ” วุฒิถามเยาว์
“ก็มี ต้มจืดมะระเห็ดหอม ยำปลาทู แล้วก็ทอดปลาเนื้ออ่อนน่ะ อาหารที่คุณชอบทั้งนั้นเลยนะ”
“ อืมกินบ่อยจนหน้าจะเป็นปลาทูอยู่แล้ว” วุฒิเล่นมุขเชยๆ ทุกคนในวงหัวเราะโครม
“สัปดาห์หน้าที่โรงเรียนใบเฟิร์นจะจัดประกวดร้องเพลงในวันเด็กน่ะคุณ
เฟิร์นได้ร้องเพลงด้วยนะ ไหนลูกลองเล่าให้คุณแม่ฟังซิ” หัวหน้าครอบครัวเอ่ย
“ใช่ค่ะ คุณแม่สัปดาห์หน้าคุณครูชวนหนูประกวดร้องเพลงภาษาอังกฤษ แล้วคุณพ่อเลือกเพลงที่จะให้หนูฝึกร้องแล้วด้วย”
“เพลงอะไรคะที่คุณเลือกให้หนูเฟิร์นฝึกร้อง”
“ ชื่ออะไรนะคะคุณพ่อ วิวโกอะไรนะคะ” ใบเฟิร์นยังจำชื่อเพลงไม่ได้
“ เพลงมายฮาร์ทวิวโกออน ของมาราย แครี่น่ะคุณ” เฟิร์นตั้งใจให้ทุกคนได้ยิน
เยาว์ถอนหายใจ ส่วนฟางกำลังหม่ำไข่เจียวหมูสับอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ประสาต่อการสนทนา
“ มายฮาร์ทวิวโกออน อืมใช่ค่ะคุณแม่”
“อ๋อ เพลงนั้นเองเพลงที่คุณชอบมากด้วยสิ “ เยาว์กระแนะกระแหนวุฒิด้วยความน้อยใจ
เธอย้อนความทรงจำในหัวคิดถึงเรื่องในอดีต แล้วตักยำปลาทูใส่จานให้ฟางคำโต
ใบเฟิร์นไม่พูดอะไรต่อทานอาหารต่อไปอย่างมีความสุข
“จะเอาอะไรอีกล่ะคุณ ไม่มีอะไรน่า คุณคิดมากอีกแล้วนะ เรื่องนั้นมันผ่านมาตั้งนานแล้ว
ผมให้ลูกร้องเพลงนี้เพราะเห็นว่าเป็นเพลงดัง ผมคิดว่าครูที่โรงเรียนลูกเขาต้องชอบ ก็แค่นั้นเอง!”
วุฒิตะโกนลั่น ทุกคนตกใจกับเสียงตะโกนลั่นวงของวุฒิ บรรยากาศเริ่มตรึงเครียด
ต่างคนต่างทานอาหารกันไปด้วยความตื่นกลัวในตัววุฒิ เยาว์หน้าเสีย
ใจคอไม่ค่อยดีเพราะปกติสามีของเธอเป็นคนใจเย็นมีเหตุผล
ไม่ค่อยบ่อยนักที่เขาจะอารมณ์เสีย แต่ทำไมวันนี้เขาดูเปลี่ยนไป
ตกดึกในค่ำคืน ในขณะที่ทุกคนในบ้านนอนหลับกันหมด มีเพียงวุฒิคนเดียวที่ยังลืมตาโพลง
เรื่องแววกำลังจะแต่งงานยังค้างคาอยู่ในหัว เขาน้ำตาซึมพลางนึกถึงเรื่องที่ตัวเองอารมณ์เสียเมื่อตอนเย็น
ยิ่งทำให้อารมณ์เขาไม่เป็นสุข เขาอึดอัดในใจจนนึกอยากตะโกนให้ดังสุด แต่ทำไม่ได้
นอนไม่หลับทั้งที่หัวถึงหมอนมาจนค่อนสว่างเขาคิดถึงอดีตอยู่ในหัวตลอดเวลา
“สวัสดีครับ น้องใหม่คนนี้น่ารักจัง” วุฒิสะกิดเพื่อนซี้แล้วชี้ไปยัง เฟรชชี่หน้าใส
ใบหน้าเรียวจมูกรับกับใบหน้าอย่างลงตัว ผิวพรรณขาว เนียน สะอาดสะอ้านบ่งบอกถึงความมีชาติตระกูล
“อ๋อ น้องคนนี้ชื่อน้องแวว เด็กคณะเราเองแหละ ได้ข่าวว่าชมรมเชียร์ลีดเดอร์กำลังตามตื้อเข้าชมรมแน่ะ
แล้วทำไมเหรอ เอ็งสนใจรึไง” เพื่อนซี้ชักสงสัยวุฒิ
“อืม ก็ใช่นะสิ เข้าไปคุยกับน้องเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ”
“ เฮ้ยเอ็งอย่าฝันสูงหน่อยเลยน่า น้องเขาเริ่ดขนาดนั้นคงไม่สนใจคนอย่างเราๆหรอกน่า”
“เออน่า อย่างน้อยให้เขาเห็นหน้าก็ยังดีป่ะ”
วุฒิกระชากแขนเพื่อนเดินเข้าหาน้องใหม่ที่กำลังนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นชงโค
ที่อยู่ข้างสนามฟุตบอลห่างออกไปประมาณสิบเมตร
“สวัสดีครับ พี่ชื่อวุฒิครับ ส่วนพี่คนนี้ชื่อปอน ว่าแต่น้องคนสวยชื่ออะไรเหรอ
เราสองคนเป็นรุ่นพี่ที่คณะน้องนะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ว่าแต่น้องชื่ออะไรครับ
อ่อพี่รู้แล้วน้องแววใช่มั้ยครับ”
วุฒิสุภาพวางท่าพ่อไก่แจ้เบ่งไหล่ผายเหมือนเวลาที่มันเกี้ยวพาราสีไก่ตัวเมียที่มันคาดหมายตรงหน้า
เขายังประทับใจในเหตุการณ์วันนั้น วุฒิโอบกอดไปที่เยาว์ที่นอนหลับสนิทโดยไม่รู้ว่าวุฒิยังไม่หลับ
เขานอนกอดเธออยู่อย่างนั้น น้ำในตาไหลอาบสองแก้มเขาร้องไห้
แล้วซบลงที่หน้าอกอุ่นของภรรยา เขากลั้นเสียงเอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกมาแม้แต่เล็กน้อยแล้วผลอยหลับไปจนถึงเช้า
ยังคงมีคนอีกมากมายที่พยายามค้นหาความหมายของคำว่ารัก
แท้จริงแล้วความรักคืออะไร ในเมื่อบางคนใช้เวลาไม่นานเพื่อหาคำตอบ
แต่บางคนกลับใช้เวลาตลอดชีวิตเพื่อหาความหมายนี้เช่นเดียวกับวุฒิชายลูกสองคนแล้ว
แต่ยังคงค้นหาความหมายของสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกวูบไหวทุกครั้งที่เขาคิดถึงแวว
ความรักของวุฒิอาจจะหมายถึงหรือเป็นเพียงแค่ความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง
แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นความทรงจำที่ทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
สุดท้ายแล้วเขาต้องเผชิญกับอะไรจนกว่าเขาจะเข้าใจมันได้กระจ่าง
ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นวุฒิเห็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่เยาว์วางไว้บนโต๊ะหินอ่อนวางอยู่
เห็นรูปเล่มและหน้าปกสวยถูกใจ มีชื่อนักเขียน ฟ้าคำแพง กำกับ
ทำให้เขาสนใจทันทีที่ได้อ่านชื่อนักเขียน จึงลองหยิบหนังสือขึ้นอ่าน
สมาธิของวุฒิถูกดึงดูดเข้าไปในนั้น เมื่ออ่านเรื่องสั้นที่อยู่ในนั้น เขาค่อยๆบรรจงอ่านอย่างมีความสุข
เมื่อจบภาคการศึกษาในปีแรกที่อัศดาเข้าเรียน อัศตัดสินใจได้
“ผมมายื่นใบลาออกครับ” ในห้องธุรการคณะ เขาเขียนใบลาออกจากสถาบันด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีบางอย่างในใจ เขายังไม่ลืม
การเรียนในสถาบันการศึกษาชื่อดังในกรุงเทพที่อัศดาสอบเข้าเอนทรานซ์ติด เป็นสิ่งที่ทำให้เขายังคิดถึงอยู่เสมอ
บรรยากาศชีวิตน้องใหม่ที่มาจากบ้านนอกอย่างเขา ยังมีเรื่องราวอย่างหนึ่งที่ยังเป็นอุทาหรณ์
ที่เขาอาจจะต้องใช้เวลาที่ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่จะลืมเลือน
“น้องถาปัตย์มาทางนี้เลย เพื่อนเข้ากลุ่มรอทางนี้”
เขาได้ยินเสียงรุ่นพี่สาวสวยที่กำลังกวักมือเรียกน้องใหม่ของคณะไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคณะเดียวกัน
“สวัสดีครับพี่ ผมเด็กถาปัตย์ครับ”อัศดา ยกมือไหว้รุ่นพี่สาวสวย
“น้องถาปัตย์เหรอจ้ะ น้องชื่ออะไรเหรอ เดินไปหาเพื่อนในกลุ่มทางโน้นเลยจ้ะ
นั่นแน่ะรวมกลุ่มกันทางโน้น”รุ่นพี่ชี้มือบอกน้องใหม่ แล้วอัศดาก็เดินไปเข้ากลุ่มรวมกับเพื่อนใหม่
“เฮ้ยชื่ออะไรวะ กูชื่อชิ้ง”เพื่อนใหม่ที่นั่งอยู่ในกลุ่มอยู่ก่อนแล้วกล่าวแนะนำตัวเองแก่อัศ
“เราชื่อ อัศ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“มาจากต่างจังหวัดเหรอ เออยินดีที่ได้รู้จัก ทำไมเลือกถาปัตย์วะ
ส่วนกูเลือกเพราะเป็นสถาปนิกแล้วมันเท่ห์ รวยด้วย ”ชิ้งรู้ทันทีที่อัศดาพูดสำเนียงแปร่งๆ
“เราเลือกเพราะคิดว่าเรียนจบคณะนี้แล้วจะช่วยพัฒนาบ้านเกิดเราได้น่ะ”
อัศดาเล่าถึงอุดมการณ์ การสนทนาของเพื่อนใหม่ทั้งสองทำความรู้จักกันในวันแรกที่รู้จักกัน
อัศดาว่าที่สถาปนิกใหม่จำต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ที่เขารู้จัก
เขาไม่เคยอดหลับอดนอนมาก่อน หลายครั้งที่อาจารย์ให้การบ้านเป็นงานออกแบบในหลายวิชาพร้อมกัน
ทำให้เขาเริ่มรู้สึกเหนื่อย เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าชีวิตนักศึกษาสถาปัตย์จะต้องทำงานส่งอาจารย์เยอะขนาดนี้
เมื่อกลับไปทบทวนความคิดอีกครั้ง เขานึกถึงคืนวันนั้น
อาหารภัตตาคารราคาแพงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้บรรดานักศึกษาปีหนึ่งกลุ่มหนึ่งนั่งรอกันด้วยความหิว
ในค่ำคืนแห่งความสุข อัศดาและเพื่อนทุกคนลงมือทานอาหารกันด้วยความเอร็ดอร่อย
“เคยกินป่าววะอัศ อาหารแบบนี้” ชิ้งถามเพื่อนใหม่จากต่างจังหวัด
“ไม่เคยว่ะ มีอะไรบ้างวะเนี่ยต้องใช้ตะเกียบกินเหรอ ไม่ค่อยถนัด”
“เออ ไก่อบที่มีไฟลุกท่วมตัวอยู่นี่เขาเรียกว่าไก่อบภูเขาไฟ ส่วนเป็ดย่างหวานๆนี่เขาเรียกว่าเป็ดปักกิ่ง
แล้วจานนี้เขาเรียกปลาจาระเม็ดนึ่งมะนาว และผัดคะน้าน้ำมันหอย นั่นข้าวผัดปูกูสั่งมาช่วยกันกิน”
ชิ้งแนะในเมนูอาหารโอชะ พลางใช้ตะเกียบหยิบไก่อบเป็นชิ้นอย่างชำนาญ
“อ๋อ ไม่เคยกินเลย อร่อยดีนะ”
“อ่ะ รู้จักไว้อัศ ต่อไปจะได้มากินบ่อยๆละ”
นัท เพื่อนที่นั่งรวมอยู่บนโต๊ะอาหารพูดกับอัศดา ทุกคน ต่างกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนไม่เคยกินข้าวมาก่อนในชีวิต
หลังจากรับประทานอาหารกันจนอิ่มแปร้ ชิ้งที่เป็นสารถีเจ้าของรถเก๋งคันเก่ง
ก็พาเพื่อนทุกคนตระเวนชมบรรยากาศยามราตรีของเมืองกรุง อัศดารู้สึกว่าอยากกลับแล้ว
“ชิ้ง กลับกันเถอะเราว่า ตอนนี้ดึกมากแล้วนะ”อัศดารู้สึกว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว
“เออน่า เดี๋ยวพาไปดูที่นี่ก่อนเดี๋ยวค่อยกลับ”
ชิ้งพูด ในขณะที่เพื่อนคนอื่นกำลังหยอกล้อเล่นกันสนุกสนานอยู่ในรถ
รถแล่นบนถนนกลางเมืองกรุง ไฟฟ้าสว่างทั่วไปหมดทั้งเมือง
ตึกอาคารสูง รูปทรงแปลกตาเรียงราย บ้างมีไฟสีสันสดใสเปิดตามร้านรวงข้างทางให้เห็นเป็นระยะ
บรรยากาศยามค่ำคืนเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจแก่นักศึกษาบ้านนอกที่เพิ่งเคยนั่งรถเก๋งท่องเที่ยวอย่างอัศ
“นี่เป็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่เคยเห็นในทีวีไง จำได้มั้ยอัศ”
แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้เพื่อนใหม่ปีหนึ่งของสถาบันรู้จัก
“โห นี่เหรอวะที่ที่เขามาชุมนุมประท้วงทางการเมืองบ่อยๆ เราเพิ่งเคยมาถ่ายรูปครั้งแรกเลยนะเนี่ย
สวยว่ะ พวกเราทุกคนยืนตรงนี้เรียงแถวให้เห็นหน้าพวกเราทุกคนได้มั้ย ชิ้งนายไปกดกล้องให้หน่อย เราอยากได้รูปหมู่”
อัศดา วานให้ชิ้งช่วยเป็นตากล้อง
“ได้สิ พวกยืนเรียงแถวตรงนี้นะ เดี๋ยวกูจะไปยืนถ่ายตรงข้ามถนนฝั่งโน้น”
ชิ้ง วิ่งข้ามถนนเพื่อไปยืนเป็นช่างภาพที่ฟุตบาต
ภาพเขายืนถ่ายรูปหมู่หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน เขายังจำได้
รถแล่นต่อมายังเสาชิงช้า ชิ้งจอดรถที่เขาขับพาเพื่อนเที่ยวจอดไว้ข้างทาง
ทุกคนลงจากรถเพื่อไปยืนตั้งท่าถ่ายรูป อัศยืนถ่ายรูปในขณะที่ชิ้งเป็นตากล้องกิตติมศักดิ์
“แชะ”เสียงลั่นชัตเตอร์ของชิ้ง ในขณะที่เพื่อนทุกคนกำลังเป็นนายแบบถ่ายรูปหมู่
มีเพียงชิ้งคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ประสาจะเข้าเฟรมเหมือนคนอื่น
“เฮ้ย นัทไปเป็นตากล้องให้เราถ่ายรูปคู่กับชิ้งหน่อยสิ”อัศอยากมีรูปคู่กับชิ้ง
“ไม่เป็นไรว่ะ กูมาบ่อย พวกถ่ายกันไปเถอะ ขอกูเป็นตากล้องอย่างเดียว”ชิ้งกล่าว
ในตอนเช้า อัศดานอนหลับในห้องของนัทและชิ้ง เป็นเวลาสิบโมงเช้า
ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยจากการออกท่องราตรีกับเพื่อนเมื่อคืน ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกดังติ๊ดๆๆๆ
เขารีบตื่นขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อมองไปที่หน้าปัดนาฬิกา
“เฮ้ย สิบโมงแล้วเหรอ”เขาอุทาน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขามีส่งงาน
เพื่อนในห้องทุกคนกำลังหลับกันสนิท ชิ้งเดินเข้ามาในห้อง หลังจากเพิ่งไปเข้าห้องน้ำรวมของอพาร์ตเมนต์
“อะไรวะ มีอะไรเหรออัศ” ชิ้งพูดตอนที่เห็นอัศที่กุลีกำลังกุจอออกจากห้อง
“กูมีส่งงานน่ะสิ ทำไมไม่ปลุกกูวะไอ้ชิ้ง”เขาพูดทิ้งท้ายก่อนออกจากห้องของเพื่อน
แล้วรีบวิ่งเข้าห้องของตัวเองเพื่อไปแต่งชุดนักศึกษา และเตรียมงานที่จะไปส่งอาจารย์ที่สถาบัน
ในห้องสมุดของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันแห่งหนึ่ง
ขณะนี้เป็นเวลาสิบโมงเช้า อัศเห็นอาจารย์นั่งอยู่ที่โต๊ะ อ่านหนังสือรอใครบางคน
“สวัสดีครับอาจารย์ ขอโทษด้วยครับผมมาสาย”
“อะไรกันนี่มันสิบโมงแล้ว ทำไมเพิ่งมา”
“อาจารย์ครับ ผมทำงานได้แค่นี้ครับ อนุโลมให้ผมผ่านได้มั้ยครับ
ผมขอโทษจริงๆที่มาสาย ต่อไปผมจะปรับปรุงตัวให้เป็นคนตรงต่อเวลาครับอาจารย์ สงสารผมเถอะนะครับ”
“ไม่ได้ผมให้คุณผ่านไม่ได้ คุณมาสายตั้งชั่วโมง เลยเวลาส่งงานมามากแล้ว”
“หมายความว่าผมต้องเรียนซ้ำชั้นเหรอครับ อาจารย์”
“ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้ คุณไม่มีความรับผิดชอบ” อาจารย์ประจำรายวิชายกมือรับไหว้เด็กบ้านนอกที่ขอลากลับ
อัศดากลับจากสถาบันมาถึงอพาร์ตเมนต์แล้วร่ำไห้ต่อหน้าเพื่อนทุกคน
“กูต้องเรียนซ้ำชั้นว่ะ” เพื่อนทุกคนใบหน้าเรียบเฉย
ฝันคืนทิศ บทที่ 2
ตอนเย็นหลังจากวุฒิและใบเฟิร์นกลับถึงบ้านทำธุระอาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพพร้อมกับที่ “ฟาง”
ลูกชายคนเล็กกลับมาจากโรงเรียน เยาว์เตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็นของวันไว้พร้อม ทุกคนพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหาร
ครอบครัวขนาดเล็กที่ดูเหมือนจะมั่นคงดำเนินอย่างเรื่อยมา ทุกครั้งที่สมาชิกพร้อมหน้าร่วมวงทานอาหารมื้อเย็น
จะมีเรื่องสรรพเพเหระให้ได้คุยกันโดยเฉพาะเรื่องของลูกๆ
“วันนี้แม่ทำไข่เจียวหมูสับสูตรชาววังสุดฝีมือเลยนะ น้องฟางจะได้โตเร็วๆ เข้าใจมั้ยลูก”
“ฮะคุณแม่ วันนี้เพื่อนที่โรงเรียนเยอะมาก เราเล่นซ่อนหากันในห้องเรียน”
เด็กน้อยมักจะคุยฟุ้งว่าตัวเองมีเพื่อนมากให้ผู้ปกครองฟังเป็นประจำ
“แล้วอาหารอย่างอื่นมีอะไรบ้างคุณ” วุฒิถามเยาว์
“ก็มี ต้มจืดมะระเห็ดหอม ยำปลาทู แล้วก็ทอดปลาเนื้ออ่อนน่ะ อาหารที่คุณชอบทั้งนั้นเลยนะ”
“ อืมกินบ่อยจนหน้าจะเป็นปลาทูอยู่แล้ว” วุฒิเล่นมุขเชยๆ ทุกคนในวงหัวเราะโครม
“สัปดาห์หน้าที่โรงเรียนใบเฟิร์นจะจัดประกวดร้องเพลงในวันเด็กน่ะคุณ
เฟิร์นได้ร้องเพลงด้วยนะ ไหนลูกลองเล่าให้คุณแม่ฟังซิ” หัวหน้าครอบครัวเอ่ย
“ใช่ค่ะ คุณแม่สัปดาห์หน้าคุณครูชวนหนูประกวดร้องเพลงภาษาอังกฤษ แล้วคุณพ่อเลือกเพลงที่จะให้หนูฝึกร้องแล้วด้วย”
“เพลงอะไรคะที่คุณเลือกให้หนูเฟิร์นฝึกร้อง”
“ ชื่ออะไรนะคะคุณพ่อ วิวโกอะไรนะคะ” ใบเฟิร์นยังจำชื่อเพลงไม่ได้
“ เพลงมายฮาร์ทวิวโกออน ของมาราย แครี่น่ะคุณ” เฟิร์นตั้งใจให้ทุกคนได้ยิน
เยาว์ถอนหายใจ ส่วนฟางกำลังหม่ำไข่เจียวหมูสับอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ประสาต่อการสนทนา
“ มายฮาร์ทวิวโกออน อืมใช่ค่ะคุณแม่”
“อ๋อ เพลงนั้นเองเพลงที่คุณชอบมากด้วยสิ “ เยาว์กระแนะกระแหนวุฒิด้วยความน้อยใจ
เธอย้อนความทรงจำในหัวคิดถึงเรื่องในอดีต แล้วตักยำปลาทูใส่จานให้ฟางคำโต
ใบเฟิร์นไม่พูดอะไรต่อทานอาหารต่อไปอย่างมีความสุข
“จะเอาอะไรอีกล่ะคุณ ไม่มีอะไรน่า คุณคิดมากอีกแล้วนะ เรื่องนั้นมันผ่านมาตั้งนานแล้ว
ผมให้ลูกร้องเพลงนี้เพราะเห็นว่าเป็นเพลงดัง ผมคิดว่าครูที่โรงเรียนลูกเขาต้องชอบ ก็แค่นั้นเอง!”
วุฒิตะโกนลั่น ทุกคนตกใจกับเสียงตะโกนลั่นวงของวุฒิ บรรยากาศเริ่มตรึงเครียด
ต่างคนต่างทานอาหารกันไปด้วยความตื่นกลัวในตัววุฒิ เยาว์หน้าเสีย
ใจคอไม่ค่อยดีเพราะปกติสามีของเธอเป็นคนใจเย็นมีเหตุผล
ไม่ค่อยบ่อยนักที่เขาจะอารมณ์เสีย แต่ทำไมวันนี้เขาดูเปลี่ยนไป
ตกดึกในค่ำคืน ในขณะที่ทุกคนในบ้านนอนหลับกันหมด มีเพียงวุฒิคนเดียวที่ยังลืมตาโพลง
เรื่องแววกำลังจะแต่งงานยังค้างคาอยู่ในหัว เขาน้ำตาซึมพลางนึกถึงเรื่องที่ตัวเองอารมณ์เสียเมื่อตอนเย็น
ยิ่งทำให้อารมณ์เขาไม่เป็นสุข เขาอึดอัดในใจจนนึกอยากตะโกนให้ดังสุด แต่ทำไม่ได้
นอนไม่หลับทั้งที่หัวถึงหมอนมาจนค่อนสว่างเขาคิดถึงอดีตอยู่ในหัวตลอดเวลา
“สวัสดีครับ น้องใหม่คนนี้น่ารักจัง” วุฒิสะกิดเพื่อนซี้แล้วชี้ไปยัง เฟรชชี่หน้าใส
ใบหน้าเรียวจมูกรับกับใบหน้าอย่างลงตัว ผิวพรรณขาว เนียน สะอาดสะอ้านบ่งบอกถึงความมีชาติตระกูล
“อ๋อ น้องคนนี้ชื่อน้องแวว เด็กคณะเราเองแหละ ได้ข่าวว่าชมรมเชียร์ลีดเดอร์กำลังตามตื้อเข้าชมรมแน่ะ
แล้วทำไมเหรอ เอ็งสนใจรึไง” เพื่อนซี้ชักสงสัยวุฒิ
“อืม ก็ใช่นะสิ เข้าไปคุยกับน้องเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ”
“ เฮ้ยเอ็งอย่าฝันสูงหน่อยเลยน่า น้องเขาเริ่ดขนาดนั้นคงไม่สนใจคนอย่างเราๆหรอกน่า”
“เออน่า อย่างน้อยให้เขาเห็นหน้าก็ยังดีป่ะ”
วุฒิกระชากแขนเพื่อนเดินเข้าหาน้องใหม่ที่กำลังนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นชงโค
ที่อยู่ข้างสนามฟุตบอลห่างออกไปประมาณสิบเมตร
“สวัสดีครับ พี่ชื่อวุฒิครับ ส่วนพี่คนนี้ชื่อปอน ว่าแต่น้องคนสวยชื่ออะไรเหรอ
เราสองคนเป็นรุ่นพี่ที่คณะน้องนะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ว่าแต่น้องชื่ออะไรครับ
อ่อพี่รู้แล้วน้องแววใช่มั้ยครับ”
วุฒิสุภาพวางท่าพ่อไก่แจ้เบ่งไหล่ผายเหมือนเวลาที่มันเกี้ยวพาราสีไก่ตัวเมียที่มันคาดหมายตรงหน้า
เขายังประทับใจในเหตุการณ์วันนั้น วุฒิโอบกอดไปที่เยาว์ที่นอนหลับสนิทโดยไม่รู้ว่าวุฒิยังไม่หลับ
เขานอนกอดเธออยู่อย่างนั้น น้ำในตาไหลอาบสองแก้มเขาร้องไห้
แล้วซบลงที่หน้าอกอุ่นของภรรยา เขากลั้นเสียงเอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกมาแม้แต่เล็กน้อยแล้วผลอยหลับไปจนถึงเช้า
ยังคงมีคนอีกมากมายที่พยายามค้นหาความหมายของคำว่ารัก
แท้จริงแล้วความรักคืออะไร ในเมื่อบางคนใช้เวลาไม่นานเพื่อหาคำตอบ
แต่บางคนกลับใช้เวลาตลอดชีวิตเพื่อหาความหมายนี้เช่นเดียวกับวุฒิชายลูกสองคนแล้ว
แต่ยังคงค้นหาความหมายของสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกวูบไหวทุกครั้งที่เขาคิดถึงแวว
ความรักของวุฒิอาจจะหมายถึงหรือเป็นเพียงแค่ความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง
แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นความทรงจำที่ทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
สุดท้ายแล้วเขาต้องเผชิญกับอะไรจนกว่าเขาจะเข้าใจมันได้กระจ่าง
ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นวุฒิเห็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่เยาว์วางไว้บนโต๊ะหินอ่อนวางอยู่
เห็นรูปเล่มและหน้าปกสวยถูกใจ มีชื่อนักเขียน ฟ้าคำแพง กำกับ
ทำให้เขาสนใจทันทีที่ได้อ่านชื่อนักเขียน จึงลองหยิบหนังสือขึ้นอ่าน
สมาธิของวุฒิถูกดึงดูดเข้าไปในนั้น เมื่ออ่านเรื่องสั้นที่อยู่ในนั้น เขาค่อยๆบรรจงอ่านอย่างมีความสุข
เมื่อจบภาคการศึกษาในปีแรกที่อัศดาเข้าเรียน อัศตัดสินใจได้
“ผมมายื่นใบลาออกครับ” ในห้องธุรการคณะ เขาเขียนใบลาออกจากสถาบันด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีบางอย่างในใจ เขายังไม่ลืม
การเรียนในสถาบันการศึกษาชื่อดังในกรุงเทพที่อัศดาสอบเข้าเอนทรานซ์ติด เป็นสิ่งที่ทำให้เขายังคิดถึงอยู่เสมอ
บรรยากาศชีวิตน้องใหม่ที่มาจากบ้านนอกอย่างเขา ยังมีเรื่องราวอย่างหนึ่งที่ยังเป็นอุทาหรณ์
ที่เขาอาจจะต้องใช้เวลาที่ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่จะลืมเลือน
“น้องถาปัตย์มาทางนี้เลย เพื่อนเข้ากลุ่มรอทางนี้”
เขาได้ยินเสียงรุ่นพี่สาวสวยที่กำลังกวักมือเรียกน้องใหม่ของคณะไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคณะเดียวกัน
“สวัสดีครับพี่ ผมเด็กถาปัตย์ครับ”อัศดา ยกมือไหว้รุ่นพี่สาวสวย
“น้องถาปัตย์เหรอจ้ะ น้องชื่ออะไรเหรอ เดินไปหาเพื่อนในกลุ่มทางโน้นเลยจ้ะ
นั่นแน่ะรวมกลุ่มกันทางโน้น”รุ่นพี่ชี้มือบอกน้องใหม่ แล้วอัศดาก็เดินไปเข้ากลุ่มรวมกับเพื่อนใหม่
“เฮ้ยชื่ออะไรวะ กูชื่อชิ้ง”เพื่อนใหม่ที่นั่งอยู่ในกลุ่มอยู่ก่อนแล้วกล่าวแนะนำตัวเองแก่อัศ
“เราชื่อ อัศ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“มาจากต่างจังหวัดเหรอ เออยินดีที่ได้รู้จัก ทำไมเลือกถาปัตย์วะ
ส่วนกูเลือกเพราะเป็นสถาปนิกแล้วมันเท่ห์ รวยด้วย ”ชิ้งรู้ทันทีที่อัศดาพูดสำเนียงแปร่งๆ
“เราเลือกเพราะคิดว่าเรียนจบคณะนี้แล้วจะช่วยพัฒนาบ้านเกิดเราได้น่ะ”
อัศดาเล่าถึงอุดมการณ์ การสนทนาของเพื่อนใหม่ทั้งสองทำความรู้จักกันในวันแรกที่รู้จักกัน
อัศดาว่าที่สถาปนิกใหม่จำต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ที่เขารู้จัก
เขาไม่เคยอดหลับอดนอนมาก่อน หลายครั้งที่อาจารย์ให้การบ้านเป็นงานออกแบบในหลายวิชาพร้อมกัน
ทำให้เขาเริ่มรู้สึกเหนื่อย เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าชีวิตนักศึกษาสถาปัตย์จะต้องทำงานส่งอาจารย์เยอะขนาดนี้
เมื่อกลับไปทบทวนความคิดอีกครั้ง เขานึกถึงคืนวันนั้น
อาหารภัตตาคารราคาแพงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้บรรดานักศึกษาปีหนึ่งกลุ่มหนึ่งนั่งรอกันด้วยความหิว
ในค่ำคืนแห่งความสุข อัศดาและเพื่อนทุกคนลงมือทานอาหารกันด้วยความเอร็ดอร่อย
“เคยกินป่าววะอัศ อาหารแบบนี้” ชิ้งถามเพื่อนใหม่จากต่างจังหวัด
“ไม่เคยว่ะ มีอะไรบ้างวะเนี่ยต้องใช้ตะเกียบกินเหรอ ไม่ค่อยถนัด”
“เออ ไก่อบที่มีไฟลุกท่วมตัวอยู่นี่เขาเรียกว่าไก่อบภูเขาไฟ ส่วนเป็ดย่างหวานๆนี่เขาเรียกว่าเป็ดปักกิ่ง
แล้วจานนี้เขาเรียกปลาจาระเม็ดนึ่งมะนาว และผัดคะน้าน้ำมันหอย นั่นข้าวผัดปูกูสั่งมาช่วยกันกิน”
ชิ้งแนะในเมนูอาหารโอชะ พลางใช้ตะเกียบหยิบไก่อบเป็นชิ้นอย่างชำนาญ
“อ๋อ ไม่เคยกินเลย อร่อยดีนะ”
“อ่ะ รู้จักไว้อัศ ต่อไปจะได้มากินบ่อยๆละ”
นัท เพื่อนที่นั่งรวมอยู่บนโต๊ะอาหารพูดกับอัศดา ทุกคน ต่างกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนไม่เคยกินข้าวมาก่อนในชีวิต
หลังจากรับประทานอาหารกันจนอิ่มแปร้ ชิ้งที่เป็นสารถีเจ้าของรถเก๋งคันเก่ง
ก็พาเพื่อนทุกคนตระเวนชมบรรยากาศยามราตรีของเมืองกรุง อัศดารู้สึกว่าอยากกลับแล้ว
“ชิ้ง กลับกันเถอะเราว่า ตอนนี้ดึกมากแล้วนะ”อัศดารู้สึกว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว
“เออน่า เดี๋ยวพาไปดูที่นี่ก่อนเดี๋ยวค่อยกลับ”
ชิ้งพูด ในขณะที่เพื่อนคนอื่นกำลังหยอกล้อเล่นกันสนุกสนานอยู่ในรถ
รถแล่นบนถนนกลางเมืองกรุง ไฟฟ้าสว่างทั่วไปหมดทั้งเมือง
ตึกอาคารสูง รูปทรงแปลกตาเรียงราย บ้างมีไฟสีสันสดใสเปิดตามร้านรวงข้างทางให้เห็นเป็นระยะ
บรรยากาศยามค่ำคืนเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจแก่นักศึกษาบ้านนอกที่เพิ่งเคยนั่งรถเก๋งท่องเที่ยวอย่างอัศ
“นี่เป็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่เคยเห็นในทีวีไง จำได้มั้ยอัศ”
แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้เพื่อนใหม่ปีหนึ่งของสถาบันรู้จัก
“โห นี่เหรอวะที่ที่เขามาชุมนุมประท้วงทางการเมืองบ่อยๆ เราเพิ่งเคยมาถ่ายรูปครั้งแรกเลยนะเนี่ย
สวยว่ะ พวกเราทุกคนยืนตรงนี้เรียงแถวให้เห็นหน้าพวกเราทุกคนได้มั้ย ชิ้งนายไปกดกล้องให้หน่อย เราอยากได้รูปหมู่”
อัศดา วานให้ชิ้งช่วยเป็นตากล้อง
“ได้สิ พวกยืนเรียงแถวตรงนี้นะ เดี๋ยวกูจะไปยืนถ่ายตรงข้ามถนนฝั่งโน้น”
ชิ้ง วิ่งข้ามถนนเพื่อไปยืนเป็นช่างภาพที่ฟุตบาต
ภาพเขายืนถ่ายรูปหมู่หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน เขายังจำได้
รถแล่นต่อมายังเสาชิงช้า ชิ้งจอดรถที่เขาขับพาเพื่อนเที่ยวจอดไว้ข้างทาง
ทุกคนลงจากรถเพื่อไปยืนตั้งท่าถ่ายรูป อัศยืนถ่ายรูปในขณะที่ชิ้งเป็นตากล้องกิตติมศักดิ์
“แชะ”เสียงลั่นชัตเตอร์ของชิ้ง ในขณะที่เพื่อนทุกคนกำลังเป็นนายแบบถ่ายรูปหมู่
มีเพียงชิ้งคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ประสาจะเข้าเฟรมเหมือนคนอื่น
“เฮ้ย นัทไปเป็นตากล้องให้เราถ่ายรูปคู่กับชิ้งหน่อยสิ”อัศอยากมีรูปคู่กับชิ้ง
“ไม่เป็นไรว่ะ กูมาบ่อย พวกถ่ายกันไปเถอะ ขอกูเป็นตากล้องอย่างเดียว”ชิ้งกล่าว
ในตอนเช้า อัศดานอนหลับในห้องของนัทและชิ้ง เป็นเวลาสิบโมงเช้า
ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยจากการออกท่องราตรีกับเพื่อนเมื่อคืน ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกดังติ๊ดๆๆๆ
เขารีบตื่นขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อมองไปที่หน้าปัดนาฬิกา
“เฮ้ย สิบโมงแล้วเหรอ”เขาอุทาน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขามีส่งงาน
เพื่อนในห้องทุกคนกำลังหลับกันสนิท ชิ้งเดินเข้ามาในห้อง หลังจากเพิ่งไปเข้าห้องน้ำรวมของอพาร์ตเมนต์
“อะไรวะ มีอะไรเหรออัศ” ชิ้งพูดตอนที่เห็นอัศที่กุลีกำลังกุจอออกจากห้อง
“กูมีส่งงานน่ะสิ ทำไมไม่ปลุกกูวะไอ้ชิ้ง”เขาพูดทิ้งท้ายก่อนออกจากห้องของเพื่อน
แล้วรีบวิ่งเข้าห้องของตัวเองเพื่อไปแต่งชุดนักศึกษา และเตรียมงานที่จะไปส่งอาจารย์ที่สถาบัน
ในห้องสมุดของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันแห่งหนึ่ง
ขณะนี้เป็นเวลาสิบโมงเช้า อัศเห็นอาจารย์นั่งอยู่ที่โต๊ะ อ่านหนังสือรอใครบางคน
“สวัสดีครับอาจารย์ ขอโทษด้วยครับผมมาสาย”
“อะไรกันนี่มันสิบโมงแล้ว ทำไมเพิ่งมา”
“อาจารย์ครับ ผมทำงานได้แค่นี้ครับ อนุโลมให้ผมผ่านได้มั้ยครับ
ผมขอโทษจริงๆที่มาสาย ต่อไปผมจะปรับปรุงตัวให้เป็นคนตรงต่อเวลาครับอาจารย์ สงสารผมเถอะนะครับ”
“ไม่ได้ผมให้คุณผ่านไม่ได้ คุณมาสายตั้งชั่วโมง เลยเวลาส่งงานมามากแล้ว”
“หมายความว่าผมต้องเรียนซ้ำชั้นเหรอครับ อาจารย์”
“ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้ คุณไม่มีความรับผิดชอบ” อาจารย์ประจำรายวิชายกมือรับไหว้เด็กบ้านนอกที่ขอลากลับ
อัศดากลับจากสถาบันมาถึงอพาร์ตเมนต์แล้วร่ำไห้ต่อหน้าเพื่อนทุกคน
“กูต้องเรียนซ้ำชั้นว่ะ” เพื่อนทุกคนใบหน้าเรียบเฉย