ความเดิมตอนที่ (1/2)
อิ่มจากอาหารลาวมื้อเที่ยงแล้ว คนขับก็ขับไปส่งที่ร้านค้าปลอดภาษี แวะซื้อไวน์ไปฝากผู้ใหญ่ (อีกและ) แล้วขับไปส่งหน้าด่าน ลงจากรถก็เดินผ่านด่านตรวจของไทย เอาเอกสารที่เหลืออยู่ยื่นให้ เสร็จแล้วกลับขึ้นรถ ขับออกจากหน้าด่านอย่างมีความสุขที่ได้บรรลุเป้าหมายทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ได้คาดคิดไว้
ภาค 2 ต่อนะครับ
ตอนที่ 8..ด่านมิตรภาพน้ำเหือง ไทย-ลาว (2/2)
ออกจากท่าลี่ ดูเข็มไมล์อยู่ที่ 1,335 กิโลเมตร ขับกลับออกเส้นทางเดิมที่วิ่งไปจังหวัดเลย ออกไปได้ซักพักใหญ่ ๆ แค่ควายออกลูกตัวแรก (ควายสาวออกลูกครั้งแรก นานหน่อย (ไม่รู้ไปรู้เรื่องความออกลูกมาได้ยังไง เหมือนตัวเองเคยเป็นอย่างงั้นแหละ)) มีป้ายบอกทางไปห้วยกระทิงทางซ้ายมือ ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไป ขับขึ้นเนินไปนิดเดียว เห็นจุดชมวิวห้วยกระทิง จอดรถเพื่อลงไปถ่ายรูป เชิญชมภาพครับ :
หลังจากนั้น ขับมาอีกไม่ไกลจนถึงด้านล่างของร่องเขา บริเวณนี้ ทางขวามือ มีร้านอาหารเรือนแพเรียงรายอยู่มากมายหลายชื่อ ก็โยนหัวก้อย เลือกมาชื่อนึง ขับเข้าไป หาที่จอดรถ เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย (เพราะในแพไม่มีห้องน้ำ ถ้าปวดห้องน้ำ ต้องยกธงในแพหรือโทรศัพท์เรียกให้เรือหางยาวมารับเข้าฝั่ง) แล้วสั่งอาหารที่ต้องการ แบกสำภาระที่จะใช้ขึ้นแพ จากนั้น ก็ออกแพกันโดยเขาจะเอาเรือหางยาวผูกติดกับแพ แล้วลากแพไปที่กลางห้วย ปลดแพ ปล่อยทุ่น แล้วก็กลับไปรออาหารที่เราสั่ง เมื่อปรุงเสร็จก็จะมาส่ง ช่วงนี้ ต่างคนต่างจับจองพื้นที่คนละมุม ดื่มด่ำกับบรรยายกาศ “การถูกลอยแพ” เปล่าหรอก จริง ๆ แล้ว ก้มหน้าก้มตาเล่นเน็ตกันเหมือนเคย และแล้วอารมณ์ศิลปินก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ “เรือนแพ...สุขจริง อิงกระแสธารา....” ชรินทร์ นันทนาคร เข้าสิงเชียว “ตุ๊บ” เสียงหมอนขว้างมาโดนซี่โครงเส้นที่สามจากมุมนึงของแพ “หยุ๊ด..หยุด หยุดร้อง นี่ถ้าเสียงเหมือนชรินทร์ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เสียงเหมือน..(เซ็นเซอร์)..ออกลูก (สงสัยจะตัวที่สี่) กลับไปร้องที่ตลิ่งไป เสียบรรยากาศหมด” ไม่มีอารมณ์ศิลปินเลย พับผ่าสิ! เออ...ไม่อยากต่อความยาว เดี๋ยวแม่ใช้ให้ล้างแพให้สะอาดทั้งหลังแล้วจะยุ่ง ก็หันหลังไปมองดูทิวทัศน์ ครางงิ๋ง ๆ เบา ๆ พอให้ตัวเองได้ยิน (เอ! ชักสับสนตัวเองว่า ตกลงเป็นคนหรือเป็น..(เซ็นเซอร์)..หรือเป็น..(เซ็นเซอร์)..กันแน่ ถึงครางงิ๋ง ๆ) เชิญชมภาพครับ :
เครดิตภาพจากกล้องปัจจับ 6+ ของแม่บ้านครับ:
ถึงตรงนี้ก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อย แพพวกนี้มีทั้งเล็กและใหญ่ แล้วแต่ว่าลูกค้าที่มามีจำนวนคนมากน้อยแค่ไหน อย่างของพวกเรา มาแค่ 4 คน ก็ใช้แพเล็ก ราคา 250 บาทต่อชั่วโมง แต่ช่วงที่เข้ามาบ่ายมากแล้ว เขาเลยไม่คิดเป็นชั่วโมงและลูกค้าไม่มาก ก็เลยให้อยู่ได้ตลอด สักพัก อาหารที่สั่งก็มาส่ง ก็สั่งอาหารพื้น ๆ ส้มตำ คอหมู แต่ขอบอก แซ่บโคตร ๆ
นั่งได้ไม่นาน ปวดปัสสาวะน่าดู ก็เล่นดื่มน้ำดับเผ็ดกันหมดไปหลายขวด เหลียวดูนาฬิกาอีกครั้ง ตายละ! นี่ 5 โมงเย็นแล้ว (นี่ขนาดนั่งกันไม่นานนะเนี่ย) มีความสุขกับการ “ถูกลอยแพ” จนเพลิน (นี่ถ้าอยู่กรุงเทพฯ แล้ว “ถูกลอยแพ” จากที่ทำงาน คงมีความสุขต่างกันเน๊อะ) โปรแกรมที่จะไปแก่งคุดคู้ กับดูพระอาทิตย์ตกที่ภูทอก ที่เชียงคานสงสัยอดแน่ ก็เลยยอมชักธงขาว ยอมแพ้ สักครู่ เรือยาวก็มารับกลับไปฝั่ง คิดตัง ทั้งหมด 650 บาทเอง (โคตรถูกเลยแหละ กับบรรยากาศ “ถูกลอยแพ”) จำไว้เลย ที่นี่จะเป็นแห่งแรกที่คิดถึงหากคราวหน้า “ถูกลอยแพ“ จริง ๆ จากที่บ้าน...หึ
ขับรถออกจากห้วยกระทิง ไปปากทางเลี้ยวซ้ายตรงไปจังหวัดเลย ขับไปเรื่อย ๆ หลับตาลงก็รู้ว่าถึงเขตเมืองเลยแล้ว เพราะว่า........”รถติด” ถูกต้องแล้วคร๊าบบบบ (ชี้นิ้ว เลียนท่าแบบปัญญาด้วยนะ) ฮั่นแน่! แสดงว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่ติดตามอ่าน “เล่าเรื่องการเดินทางฯ” มาโดยตลอด ก็ขอขอบคุณ ทนอ่านอีกนิดนะครับ ใกล้จบแล้ว ก็ผ่านตัวเมืองไปอย่างอารมณ์บูดนิด ๆ เพราะว่า ช่วงถนนสาย 201 ผ่านตัวเมืองเลยวิ่งไปเชียงคาน เป็นถนนเส้นตรง แต่มีแยกไฟแดงอยู่หลายแยก จำไม่ได้ว่าเท่าไร แต่รู้สึกว่าเยอะเกินจริง ๆ และติดนาน นึกถึงเวลาที่ผู้คนหลั่งไหลกันเดินทางไปเชียงคานช่วงเทศกาล รถราน่าจะติดกันแบบสาหัสสากัลย์ ก็ไม่รู้ว่าทำไมหน่วยงานราชการ หรือผู้ว่าฯ ไม่มาแก้ไขปัญหา งานง่าย ๆ ถ้าลดทางแยกไม่ได้ก็สร้างอุโมงค์ลอด หรือสร้างสะพานข้ามทางแยก หรือสร้างยูเทิร์นเกือกม้าให้กลับรถหลังออกจากถนนรอง เพราะพ้นจากช่วงนี้ไปแล้ว ถนนเส้น 201 นี้กว้างขวาง 4-6 เลนซ้ายขวา วิ่งสบายมาก สามารถไปรโมทการท่องเที่ยงเชียงคานให้คึกคักได้ทุกฤดูกาล พร้อมทั้ง ถ้าเพิ่มการสร้างด่านไทย-ลาวแถวเชียงคาน (เน้นนะครับ แถวเชียงคาน) ให้สามารถข้ามไปเที่ยวฝั่งลาวได้สะดวก รับรองการท่องเที่ยวที่เชียงคานจะบูมมากกว่านี้ ขออภัย เพ้อพกมากไปหน่อย แค่รู้สึกเสียดายและเสียของที่เรามีสถานที่ท่องเที่ยวดี ๆ แต่ไม่แมกซิไม้ส์ (maximize) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก็เท่านั้นเอง
จากแยกตัวเมืองเลยตรงมาเชียงคาน ระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร ถนนกว้าง วิ่งดีมากครับ กว้างจนกระทั่ง หมาที่วิ่งจากอีกฝั่งถนน วิ่งสุดชีวิต ก็ยังไม่พ้นรถอีกฟากนึง คือ ขับ ๆ มาด้วยความระมัดระวังอยู่แล้ว จู่ ๆ ข้างหน้าประมาณ 50 เมตร เห็นหมาวิ่งข้ามถนนมาจากริมทางด้านขวา วิ่งข้ามพ้นจากทางที่รถสวนมา 2 เลน ก็เลยถอนคันเร่งลดความเร็วลงเพื่อให้มันผ่านรถไปได้ แต่ก็ร้องได้คำเดียวว่า “หมา หมา หมา” ทุกคนในรถตื่นขึ้นมาดู ไม่ทันครับ แค่เสี้ยววินาทีแห่งชีวิตจริง ๆ มีรถกระบะอีกคันที่วิ่งอยู่ทางด้านซ้าย แซงขึ้นมาพอดี ก็โครมครับ แล้วรถกระบะก็วิ่งเลยไป จบข่าว
ถึงเชียงคานก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว ก็ขับตรงไปที่โรงแรมที่ได้จองไว้ ชื่อโรงแรมพูลสวัสดิ์ อยู่กลางซอย 9 ที่จองที่นี่เพราะเห็นโฆษณาว่าเป็นโรงแรมไม้แห่งแรกของเชียงคาน น่าจะขลังดี และที่สำคัญที่สุด มีที่จอดรถให้ด้วย (นี่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตัดสินใจ เพราะถ้าโรงแรมแย่กว่านี้ แต่มีที่ให้จอดรถก็จะเลือกโรงแรมที่มีที่จอดรถเช่นกัน) พอไปถึงก็ check in ล้างหน้าล้างตา แล้วก็ลงไปเดินถนนคนเดิน เชิญชมภาพครับ :
ตัวโรงแรมที่พัก:

มีมุมน้ำดื่ม น้ำชากาแฟ ฟรี บริการตนเองครับ:

ทางเดินขึ้นชั้นสอง:

ห้องพัก:

มีเด็ก ๆ เล่นดนตรีอยู่ข้างถนน รับบริจาคทุนการศึกษา:
เครดิตจากกล้อง 650D เลนส์ 50 มม. ละลายฉากหลังกระจุยเลยครับ:
ปาท่องโก๋ร้านอร่อย:
นี่ไง เจอแล้ว ตัวที่ถูกเซ็นเซอร์ (หมายถึงหัวที่ใส่นะครับ ไม่เกี่ยวกับตัวคนใส่):
ไม่รู้ทำไม ใคร ๆ ก็ชอบมานั่งถ่ายรูปตรงนี้กันจัง คิวยาวเชียว มีอะไรดีหรือครับ:
กลับมาจากถนนคนเดิน ต่างคนต่างรู้หน้าที่ เข้าห้องพัก นอนหลับฝันดี
ครั้งหน้ามีชื่อเรื่องว่า การเดินทางวันที่ 9..เชียงคาน สวนหินผางาม
เรื่องคร่าว ๆ ก็คือ ตอนเช้าตักบาตรข้าวเหนียวหน้าโรงแรม แล้วขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูทอก ชมแก่งคุดคู๊ ออกเดินทางไปสวนหินผางาม (คุนหมิงเมืองเลย) ภูป่าเปาะ (ฟูจิเมืองเลย) ภูกระดึง และสุดทางของวันที่จังหวัดชัยภูมิ
[CR] เล่าเรื่องการเดินทาง 2,200 กิโลเมตร 3 แผ่นดิน ไทย-พม่า-ลาว ตอนที่ 8. เดินทางวันที่ 8..ด่านมิตรภาพน้ำเหือง ไทย-ลาว (2/2)
อิ่มจากอาหารลาวมื้อเที่ยงแล้ว คนขับก็ขับไปส่งที่ร้านค้าปลอดภาษี แวะซื้อไวน์ไปฝากผู้ใหญ่ (อีกและ) แล้วขับไปส่งหน้าด่าน ลงจากรถก็เดินผ่านด่านตรวจของไทย เอาเอกสารที่เหลืออยู่ยื่นให้ เสร็จแล้วกลับขึ้นรถ ขับออกจากหน้าด่านอย่างมีความสุขที่ได้บรรลุเป้าหมายทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ได้คาดคิดไว้
ภาค 2 ต่อนะครับ
ตอนที่ 8..ด่านมิตรภาพน้ำเหือง ไทย-ลาว (2/2)
ออกจากท่าลี่ ดูเข็มไมล์อยู่ที่ 1,335 กิโลเมตร ขับกลับออกเส้นทางเดิมที่วิ่งไปจังหวัดเลย ออกไปได้ซักพักใหญ่ ๆ แค่ควายออกลูกตัวแรก (ควายสาวออกลูกครั้งแรก นานหน่อย (ไม่รู้ไปรู้เรื่องความออกลูกมาได้ยังไง เหมือนตัวเองเคยเป็นอย่างงั้นแหละ)) มีป้ายบอกทางไปห้วยกระทิงทางซ้ายมือ ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไป ขับขึ้นเนินไปนิดเดียว เห็นจุดชมวิวห้วยกระทิง จอดรถเพื่อลงไปถ่ายรูป เชิญชมภาพครับ :
หลังจากนั้น ขับมาอีกไม่ไกลจนถึงด้านล่างของร่องเขา บริเวณนี้ ทางขวามือ มีร้านอาหารเรือนแพเรียงรายอยู่มากมายหลายชื่อ ก็โยนหัวก้อย เลือกมาชื่อนึง ขับเข้าไป หาที่จอดรถ เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย (เพราะในแพไม่มีห้องน้ำ ถ้าปวดห้องน้ำ ต้องยกธงในแพหรือโทรศัพท์เรียกให้เรือหางยาวมารับเข้าฝั่ง) แล้วสั่งอาหารที่ต้องการ แบกสำภาระที่จะใช้ขึ้นแพ จากนั้น ก็ออกแพกันโดยเขาจะเอาเรือหางยาวผูกติดกับแพ แล้วลากแพไปที่กลางห้วย ปลดแพ ปล่อยทุ่น แล้วก็กลับไปรออาหารที่เราสั่ง เมื่อปรุงเสร็จก็จะมาส่ง ช่วงนี้ ต่างคนต่างจับจองพื้นที่คนละมุม ดื่มด่ำกับบรรยายกาศ “การถูกลอยแพ” เปล่าหรอก จริง ๆ แล้ว ก้มหน้าก้มตาเล่นเน็ตกันเหมือนเคย และแล้วอารมณ์ศิลปินก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ “เรือนแพ...สุขจริง อิงกระแสธารา....” ชรินทร์ นันทนาคร เข้าสิงเชียว “ตุ๊บ” เสียงหมอนขว้างมาโดนซี่โครงเส้นที่สามจากมุมนึงของแพ “หยุ๊ด..หยุด หยุดร้อง นี่ถ้าเสียงเหมือนชรินทร์ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เสียงเหมือน..(เซ็นเซอร์)..ออกลูก (สงสัยจะตัวที่สี่) กลับไปร้องที่ตลิ่งไป เสียบรรยากาศหมด” ไม่มีอารมณ์ศิลปินเลย พับผ่าสิ! เออ...ไม่อยากต่อความยาว เดี๋ยวแม่ใช้ให้ล้างแพให้สะอาดทั้งหลังแล้วจะยุ่ง ก็หันหลังไปมองดูทิวทัศน์ ครางงิ๋ง ๆ เบา ๆ พอให้ตัวเองได้ยิน (เอ! ชักสับสนตัวเองว่า ตกลงเป็นคนหรือเป็น..(เซ็นเซอร์)..หรือเป็น..(เซ็นเซอร์)..กันแน่ ถึงครางงิ๋ง ๆ) เชิญชมภาพครับ :
เครดิตภาพจากกล้องปัจจับ 6+ ของแม่บ้านครับ:
ถึงตรงนี้ก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อย แพพวกนี้มีทั้งเล็กและใหญ่ แล้วแต่ว่าลูกค้าที่มามีจำนวนคนมากน้อยแค่ไหน อย่างของพวกเรา มาแค่ 4 คน ก็ใช้แพเล็ก ราคา 250 บาทต่อชั่วโมง แต่ช่วงที่เข้ามาบ่ายมากแล้ว เขาเลยไม่คิดเป็นชั่วโมงและลูกค้าไม่มาก ก็เลยให้อยู่ได้ตลอด สักพัก อาหารที่สั่งก็มาส่ง ก็สั่งอาหารพื้น ๆ ส้มตำ คอหมู แต่ขอบอก แซ่บโคตร ๆ
นั่งได้ไม่นาน ปวดปัสสาวะน่าดู ก็เล่นดื่มน้ำดับเผ็ดกันหมดไปหลายขวด เหลียวดูนาฬิกาอีกครั้ง ตายละ! นี่ 5 โมงเย็นแล้ว (นี่ขนาดนั่งกันไม่นานนะเนี่ย) มีความสุขกับการ “ถูกลอยแพ” จนเพลิน (นี่ถ้าอยู่กรุงเทพฯ แล้ว “ถูกลอยแพ” จากที่ทำงาน คงมีความสุขต่างกันเน๊อะ) โปรแกรมที่จะไปแก่งคุดคู้ กับดูพระอาทิตย์ตกที่ภูทอก ที่เชียงคานสงสัยอดแน่ ก็เลยยอมชักธงขาว ยอมแพ้ สักครู่ เรือยาวก็มารับกลับไปฝั่ง คิดตัง ทั้งหมด 650 บาทเอง (โคตรถูกเลยแหละ กับบรรยากาศ “ถูกลอยแพ”) จำไว้เลย ที่นี่จะเป็นแห่งแรกที่คิดถึงหากคราวหน้า “ถูกลอยแพ“ จริง ๆ จากที่บ้าน...หึ
ขับรถออกจากห้วยกระทิง ไปปากทางเลี้ยวซ้ายตรงไปจังหวัดเลย ขับไปเรื่อย ๆ หลับตาลงก็รู้ว่าถึงเขตเมืองเลยแล้ว เพราะว่า........”รถติด” ถูกต้องแล้วคร๊าบบบบ (ชี้นิ้ว เลียนท่าแบบปัญญาด้วยนะ) ฮั่นแน่! แสดงว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่ติดตามอ่าน “เล่าเรื่องการเดินทางฯ” มาโดยตลอด ก็ขอขอบคุณ ทนอ่านอีกนิดนะครับ ใกล้จบแล้ว ก็ผ่านตัวเมืองไปอย่างอารมณ์บูดนิด ๆ เพราะว่า ช่วงถนนสาย 201 ผ่านตัวเมืองเลยวิ่งไปเชียงคาน เป็นถนนเส้นตรง แต่มีแยกไฟแดงอยู่หลายแยก จำไม่ได้ว่าเท่าไร แต่รู้สึกว่าเยอะเกินจริง ๆ และติดนาน นึกถึงเวลาที่ผู้คนหลั่งไหลกันเดินทางไปเชียงคานช่วงเทศกาล รถราน่าจะติดกันแบบสาหัสสากัลย์ ก็ไม่รู้ว่าทำไมหน่วยงานราชการ หรือผู้ว่าฯ ไม่มาแก้ไขปัญหา งานง่าย ๆ ถ้าลดทางแยกไม่ได้ก็สร้างอุโมงค์ลอด หรือสร้างสะพานข้ามทางแยก หรือสร้างยูเทิร์นเกือกม้าให้กลับรถหลังออกจากถนนรอง เพราะพ้นจากช่วงนี้ไปแล้ว ถนนเส้น 201 นี้กว้างขวาง 4-6 เลนซ้ายขวา วิ่งสบายมาก สามารถไปรโมทการท่องเที่ยงเชียงคานให้คึกคักได้ทุกฤดูกาล พร้อมทั้ง ถ้าเพิ่มการสร้างด่านไทย-ลาวแถวเชียงคาน (เน้นนะครับ แถวเชียงคาน) ให้สามารถข้ามไปเที่ยวฝั่งลาวได้สะดวก รับรองการท่องเที่ยวที่เชียงคานจะบูมมากกว่านี้ ขออภัย เพ้อพกมากไปหน่อย แค่รู้สึกเสียดายและเสียของที่เรามีสถานที่ท่องเที่ยวดี ๆ แต่ไม่แมกซิไม้ส์ (maximize) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก็เท่านั้นเอง
จากแยกตัวเมืองเลยตรงมาเชียงคาน ระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร ถนนกว้าง วิ่งดีมากครับ กว้างจนกระทั่ง หมาที่วิ่งจากอีกฝั่งถนน วิ่งสุดชีวิต ก็ยังไม่พ้นรถอีกฟากนึง คือ ขับ ๆ มาด้วยความระมัดระวังอยู่แล้ว จู่ ๆ ข้างหน้าประมาณ 50 เมตร เห็นหมาวิ่งข้ามถนนมาจากริมทางด้านขวา วิ่งข้ามพ้นจากทางที่รถสวนมา 2 เลน ก็เลยถอนคันเร่งลดความเร็วลงเพื่อให้มันผ่านรถไปได้ แต่ก็ร้องได้คำเดียวว่า “หมา หมา หมา” ทุกคนในรถตื่นขึ้นมาดู ไม่ทันครับ แค่เสี้ยววินาทีแห่งชีวิตจริง ๆ มีรถกระบะอีกคันที่วิ่งอยู่ทางด้านซ้าย แซงขึ้นมาพอดี ก็โครมครับ แล้วรถกระบะก็วิ่งเลยไป จบข่าว
ถึงเชียงคานก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว ก็ขับตรงไปที่โรงแรมที่ได้จองไว้ ชื่อโรงแรมพูลสวัสดิ์ อยู่กลางซอย 9 ที่จองที่นี่เพราะเห็นโฆษณาว่าเป็นโรงแรมไม้แห่งแรกของเชียงคาน น่าจะขลังดี และที่สำคัญที่สุด มีที่จอดรถให้ด้วย (นี่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตัดสินใจ เพราะถ้าโรงแรมแย่กว่านี้ แต่มีที่ให้จอดรถก็จะเลือกโรงแรมที่มีที่จอดรถเช่นกัน) พอไปถึงก็ check in ล้างหน้าล้างตา แล้วก็ลงไปเดินถนนคนเดิน เชิญชมภาพครับ :
ตัวโรงแรมที่พัก:
มีมุมน้ำดื่ม น้ำชากาแฟ ฟรี บริการตนเองครับ:
ทางเดินขึ้นชั้นสอง:
ห้องพัก:
มีเด็ก ๆ เล่นดนตรีอยู่ข้างถนน รับบริจาคทุนการศึกษา:
เครดิตจากกล้อง 650D เลนส์ 50 มม. ละลายฉากหลังกระจุยเลยครับ:
ปาท่องโก๋ร้านอร่อย:
นี่ไง เจอแล้ว ตัวที่ถูกเซ็นเซอร์ (หมายถึงหัวที่ใส่นะครับ ไม่เกี่ยวกับตัวคนใส่):
ไม่รู้ทำไม ใคร ๆ ก็ชอบมานั่งถ่ายรูปตรงนี้กันจัง คิวยาวเชียว มีอะไรดีหรือครับ:
กลับมาจากถนนคนเดิน ต่างคนต่างรู้หน้าที่ เข้าห้องพัก นอนหลับฝันดี
ครั้งหน้ามีชื่อเรื่องว่า การเดินทางวันที่ 9..เชียงคาน สวนหินผางาม
เรื่องคร่าว ๆ ก็คือ ตอนเช้าตักบาตรข้าวเหนียวหน้าโรงแรม แล้วขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูทอก ชมแก่งคุดคู๊ ออกเดินทางไปสวนหินผางาม (คุนหมิงเมืองเลย) ภูป่าเปาะ (ฟูจิเมืองเลย) ภูกระดึง และสุดทางของวันที่จังหวัดชัยภูมิ