หมอกเมืองมาร ตอนที่ ๔
http://pantip.com/topic/32809052
ตอนที่ ๕
ความจริงและคำโกหก
ฐานสิทธิ์เดินไปดูศพสมยศพร้อมกับสิงขรหลังกลับไปแจ้งเรื่องนี้ให้พวกบ้านใหญ่ทุกคนได้ทราบ ศพของชายสูงวัยอยู่ริมถนนที่มุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้านวังหมอก เขาสวมเสื้อกันหนาวสีน้ำเงินซีด เท้าซ้ายยังสวมรองเท้าแตะ ส่วนอีกข้างนั้นตกอยู่ใกล้ๆ ตัวรถ หลังยืนดูศพได้พักหนึ่ง ฐานสิทธิ์ก็เดินวกกลับมายังตัวรถ กระจกด้านซ้ายแตกละเอียด ภายในมีก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นตกอยู่ที่เบาะนั่ง เมื่อตำรวจมาถึง กลุ่มพวกชาวบ้านจึงถูกกันออกห่างจากจุดเกิดเหตุ
สมยศถูกฆ่ารัดคอจนขาดใจตาย ในระหว่างที่กำลังเดินทางกลับเข้าสู่วังหมอก สันนิษฐานว่าเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นในตอนกลางคืน ฆาตกรอาจซุ่มดักรอเขาอยู่ข้างทาง พอรถของสมยศแล่นมาถึงจึงฟาดก้อนหินใส่ที่กระจกด้านซ้าย เมื่อเขาหยุดรถ มันจึงลากเขาลงไปข้างทาง พงหญ้ารกทึบปรากฏเป็นร่องรอยถูกเหยียบย่ำ ยืนยันได้ว่าสมยศพยายามต่อสู้กับคนร้ายอย่างสุดกำลัง แต่ก็พลาดท่า... หลักฐานที่มันใช้รัดคอเขาหาไม่พบ หากแต่กลับพบจดหมายเล็กๆ ที่สอดอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขาแทน จดหมาย...ที่จ่าหน้าซองถึงพิมพ์อัปสร
“ไม่รู้ว่าสมยศไปพบใครที่ในเมือง เขาคงกลับมาที่วังหมอกเพื่อส่งจดหมายให้กับพิมพ์อัปสร” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยบอกกับพวกกลุ่มผู้ชายในหมู่บ้านที่เข้ามาล้อมวงสนทนาหลังตำรวจเดินทางไปยังบ้านใหญ่
“แล้วจดหมายนั่นอยู่ที่ไหนครับ ตำรวจได้นำกลับไปรึเปล่า?” แสงสูรย์ถามขึ้นด้วยความสงสัย ฐานสิทธิ์ที่อยู่ในวงสนทนานั้นด้วยก้มหน้าครุ่นคิด
“เห็นว่าไปที่บ้านใหญ่ แต่ไม่รู้จะมอบให้หรือจะเปิดอ่านเลยก็ไม่รู้ มันคงไม่เกี่ยวกับที่ไอ้สมยศมันตายก็ได้ แต่บ้านเราก็ไม่มีขโมยขโจรมานานนักหนาแล้วนะ หรือจะเป็นศัตรูเก่ามัน...” คำพูดของผู้ใหญ่บ้านเป็นเพียงข้อสันนิษฐานหนึ่งเท่านั้น แน่นอนว่าฐานสิทธิ์ไม่ปักใจเชื่อ คนที่ฆ่าสมยศต้องมีจุดประสงค์บางอย่าง... เขายังจำภาพในตอนย่ำรุ่งของวันนี้ได้ดี สมยศเดินทางมาพบเขาพร้อมกับเตือนว่าให้ระมัดระวังตัว การตายของสมยศ ต้องเกี่ยวข้องกับการมาของเขาเป็นแน่
“ผมขอตัวก่อนนะครับ...” ฐานสิทธิ์ลุกจากเก้าอี้ หน้าบ้านผู้ใหญ่บ้าน ก่อนรีบจ้ำอ้าวเดินกลับมาบ้านพัก ไม่นานนักเขาก็มาถึง พอมองไปที่บ้านใหญ่ก็เห็นรถตำรวจจอดอยู่ เขาไม่รอช้าที่จะเดินไปที่นั่น...
ที่บ้านใหญ่บัดนี้สมาชิกทุกคนมานั่งประชุมกันอย่างพร้อมหน้า ตำรวจเล่าเรื่องของสมยศให้กับท่านเหมันต์ฟังคร่าวๆ ก่อนเชิญตัวพิมพ์อัปสรไปสอบสวนที่สถานีตำรวจ ด้วยที่สมยศเป็นเพื่อนเก่าของบิดาเธอ และในตัวเขาพบจดหมายซึ่งจ่าหน้าซองถึงเธอ ระหว่างที่หญิงสาวกำลังจะเดินออกจากบ้านใหญ่ ฐานสิทธิ์ก็มาถึง
“ขอความกรุณาไปเป็นเพื่อนดิฉันหน่อยจะได้มั้ยคะ...” ฐานสิทธิ์จ้องมองหญิงสาวที่สง่างามดุจนางพญา แต่บัดนี้สีหน้ากลับเหมือนนกน้อยที่ติดตาข่ายนายพรานด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะตอบรับไปอย่างยินดี
แล้วพอถึงสถานีตำรวจ จดหมายฉบับนั้นก็ถูกเปิดออก ฐานสิทธิ์จึงได้เห็นน้ำตาของพิมพ์อัปสรเป็นครั้งแรก
เมฆาตายแล้ว... เพียงสี่คำที่เขียนบนกระดาษในซองจดหมายนั้น ได้บดขยี้หัวใจของหญิงสาวไม่มีชิ้นดี มือน้อยที่ถือกระดาษสั่นระริก ฐานสิทธิ์ได้แต่นั่งนิ่งตัวชาวาบอย่างทำอะไรไม่ถูก
“เมฆานี่ใช่ลูกลุงแสงสูรย์รึเปล่าครับ ที่หายตัวไปเมื่อสองสามเดือนก่อน” ตำรวจผู้เป็นคนสอบปากคำเอ่ยถาม พิมพ์อัปสรพยายามระงับอาการสะอื้น ฐานสิทธิ์ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก
“ว่าแต่...ทราบรึยังครับว่าลุงสมยศแกมาพบใครที่ในเมือง” ฐานสิทธิ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย ก่อนที่ตำรวจหนุ่มจะยิ้มมุมปาก
“เอาไว้เป็นหน้าที่ของเราดีกว่าครับ วันนี้รบกวนคุณสองคนเพียงเท่านี้ เดี๋ยวผมจะให้คนไปส่งที่หมู่บ้านนะ”
“แล้วทางนี้จะจัดตำรวจไปตรวจตราที่หมู่บ้านมั้ยครับ เผื่อว่าฆาตกรนั่นมันอาจย้อนกลับมาทำร้ายคนอื่น”
“คุณพูดเหมือนกับรู้ว่าฆาตกรคือใคร และมีแรงจูงอะไรในการเกิดเหตุครั้งนี้” ฐานสิทธิ์ปิดปากเงียบหลังถูกถามกลับ พิมพ์อัปสรถอนหายใจยาวจนได้ยินเสียง ก่อนลุกพรวดขึ้นไหว้ลาตำรวจหนุ่ม
แล้วพอเดินตามหลังหญิงสาวออกมา ก็เห็นรถยนต์อีกคันของสถานีตำรวจเข้ามาจอดที่โรงรถ พร้อมกับร่างของสุริยาที่ถูกคุมตัวไว้ด้านหลังกระบะ
พิมพ์อัปสรหยุดยืนที่บันไดขั้นสุดท้ายของอาคารสถานี สองตากลมโตของเธอเพ่งมองไปยังร่างชายหนุ่มที่เดินตรงมาโดยมีตำรวจสองนายกุมตัวอยู่ ทั้งร่างของเธอร้อนรุมดุจถูกไฟเผา สาสน์แห่งความตายที่สมยศส่งมาให้จะต้องเกี่ยวพันกับสุริยาอย่างไม่ต้องสงสัย... เขาอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้แน่... พิมพ์อัปสรคิดเช่นนั้น
“มันเกิดอะไรขึ้นครับคุณแสงสูรย์ ทำไมตำรวจถึงจับตัวคุณสุริยามาแบบนี้” ฐานสิทธิ์เข้าไปจับแขนแสงสูรย์ที่เดินตามหลังลูกชายไว้ อีกฝ่ายหันมามองด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง ก่อนปรายตาไปหาพิมพ์อัปสรแวบนึง
“เรื่องเข้าใจผิดน่ะ คุณกับพิมพ์อัปสรรีบกลับวังหมอกไปเถอะ” พูดจบแสงสูรย์ก็เตรียมเดินขึ้นโรงพักแต่ถูกหญิงสาวพูดดักคอไว้เสียก่อน
“เมื่อคืนสุริยาหายไปไหนมาคะ...” คำถามของพิมพ์อัปสรทำให้แสงสูรย์ชะงักงัน เขาจ้องหน้าว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยแววตาจนตรอก พิมพ์อัปสรเดินเข้าไปใกล้ เชิดหน้าถามด้วยสีหน้าคาดคั้นจริงจัง
“ตอนที่พวกเราออกตามหาคุณฐานสิทธิ์ สุริยาไม่ได้ตามคุณลุงมาด้วย พิมพ์ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” แสงสูรย์เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนปั้นหน้ายิ้มเจื่อนๆ ให้กับเธอ
“เจ้ายามันไปหาเพื่อนที่หมู่บ้านอื่นน่ะ ตำรวจเขาสงสัยก็เลยเชิญมาสอบปากคำนิดหน่อย หนูพิมพ์คงไม่คิดว่าคู่หมั้นตัวเองเป็นฆาตกรฆ่าคนหรอกใช่มั้ย...” อีกฝ่ายย้อนถาม ส่งสายตายอกย้อนท้าทาย หากแต่เบื้องลึกกลับซ่อนความเจ็บปวดและทุกข์ตรมไว้อย่างแสนสาหัส
พิมพ์อัปสรไม่เอ่ยอะไรอีกต่อจากนั้น เธอตัดบทโดยการยกมือไหว้ลาแสงสูรย์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนหันมาหาฐานสิทธิ์และเดินนำชายหนุ่มออกจากอาคารสถานี
หมอกเมืองมาร ตอนที่ ๕
ความจริงและคำโกหก
ฐานสิทธิ์เดินไปดูศพสมยศพร้อมกับสิงขรหลังกลับไปแจ้งเรื่องนี้ให้พวกบ้านใหญ่ทุกคนได้ทราบ ศพของชายสูงวัยอยู่ริมถนนที่มุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้านวังหมอก เขาสวมเสื้อกันหนาวสีน้ำเงินซีด เท้าซ้ายยังสวมรองเท้าแตะ ส่วนอีกข้างนั้นตกอยู่ใกล้ๆ ตัวรถ หลังยืนดูศพได้พักหนึ่ง ฐานสิทธิ์ก็เดินวกกลับมายังตัวรถ กระจกด้านซ้ายแตกละเอียด ภายในมีก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นตกอยู่ที่เบาะนั่ง เมื่อตำรวจมาถึง กลุ่มพวกชาวบ้านจึงถูกกันออกห่างจากจุดเกิดเหตุ
สมยศถูกฆ่ารัดคอจนขาดใจตาย ในระหว่างที่กำลังเดินทางกลับเข้าสู่วังหมอก สันนิษฐานว่าเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นในตอนกลางคืน ฆาตกรอาจซุ่มดักรอเขาอยู่ข้างทาง พอรถของสมยศแล่นมาถึงจึงฟาดก้อนหินใส่ที่กระจกด้านซ้าย เมื่อเขาหยุดรถ มันจึงลากเขาลงไปข้างทาง พงหญ้ารกทึบปรากฏเป็นร่องรอยถูกเหยียบย่ำ ยืนยันได้ว่าสมยศพยายามต่อสู้กับคนร้ายอย่างสุดกำลัง แต่ก็พลาดท่า... หลักฐานที่มันใช้รัดคอเขาหาไม่พบ หากแต่กลับพบจดหมายเล็กๆ ที่สอดอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขาแทน จดหมาย...ที่จ่าหน้าซองถึงพิมพ์อัปสร
“ไม่รู้ว่าสมยศไปพบใครที่ในเมือง เขาคงกลับมาที่วังหมอกเพื่อส่งจดหมายให้กับพิมพ์อัปสร” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยบอกกับพวกกลุ่มผู้ชายในหมู่บ้านที่เข้ามาล้อมวงสนทนาหลังตำรวจเดินทางไปยังบ้านใหญ่
“แล้วจดหมายนั่นอยู่ที่ไหนครับ ตำรวจได้นำกลับไปรึเปล่า?” แสงสูรย์ถามขึ้นด้วยความสงสัย ฐานสิทธิ์ที่อยู่ในวงสนทนานั้นด้วยก้มหน้าครุ่นคิด
“เห็นว่าไปที่บ้านใหญ่ แต่ไม่รู้จะมอบให้หรือจะเปิดอ่านเลยก็ไม่รู้ มันคงไม่เกี่ยวกับที่ไอ้สมยศมันตายก็ได้ แต่บ้านเราก็ไม่มีขโมยขโจรมานานนักหนาแล้วนะ หรือจะเป็นศัตรูเก่ามัน...” คำพูดของผู้ใหญ่บ้านเป็นเพียงข้อสันนิษฐานหนึ่งเท่านั้น แน่นอนว่าฐานสิทธิ์ไม่ปักใจเชื่อ คนที่ฆ่าสมยศต้องมีจุดประสงค์บางอย่าง... เขายังจำภาพในตอนย่ำรุ่งของวันนี้ได้ดี สมยศเดินทางมาพบเขาพร้อมกับเตือนว่าให้ระมัดระวังตัว การตายของสมยศ ต้องเกี่ยวข้องกับการมาของเขาเป็นแน่
“ผมขอตัวก่อนนะครับ...” ฐานสิทธิ์ลุกจากเก้าอี้ หน้าบ้านผู้ใหญ่บ้าน ก่อนรีบจ้ำอ้าวเดินกลับมาบ้านพัก ไม่นานนักเขาก็มาถึง พอมองไปที่บ้านใหญ่ก็เห็นรถตำรวจจอดอยู่ เขาไม่รอช้าที่จะเดินไปที่นั่น...
ที่บ้านใหญ่บัดนี้สมาชิกทุกคนมานั่งประชุมกันอย่างพร้อมหน้า ตำรวจเล่าเรื่องของสมยศให้กับท่านเหมันต์ฟังคร่าวๆ ก่อนเชิญตัวพิมพ์อัปสรไปสอบสวนที่สถานีตำรวจ ด้วยที่สมยศเป็นเพื่อนเก่าของบิดาเธอ และในตัวเขาพบจดหมายซึ่งจ่าหน้าซองถึงเธอ ระหว่างที่หญิงสาวกำลังจะเดินออกจากบ้านใหญ่ ฐานสิทธิ์ก็มาถึง
“ขอความกรุณาไปเป็นเพื่อนดิฉันหน่อยจะได้มั้ยคะ...” ฐานสิทธิ์จ้องมองหญิงสาวที่สง่างามดุจนางพญา แต่บัดนี้สีหน้ากลับเหมือนนกน้อยที่ติดตาข่ายนายพรานด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะตอบรับไปอย่างยินดี
แล้วพอถึงสถานีตำรวจ จดหมายฉบับนั้นก็ถูกเปิดออก ฐานสิทธิ์จึงได้เห็นน้ำตาของพิมพ์อัปสรเป็นครั้งแรก
เมฆาตายแล้ว... เพียงสี่คำที่เขียนบนกระดาษในซองจดหมายนั้น ได้บดขยี้หัวใจของหญิงสาวไม่มีชิ้นดี มือน้อยที่ถือกระดาษสั่นระริก ฐานสิทธิ์ได้แต่นั่งนิ่งตัวชาวาบอย่างทำอะไรไม่ถูก
“เมฆานี่ใช่ลูกลุงแสงสูรย์รึเปล่าครับ ที่หายตัวไปเมื่อสองสามเดือนก่อน” ตำรวจผู้เป็นคนสอบปากคำเอ่ยถาม พิมพ์อัปสรพยายามระงับอาการสะอื้น ฐานสิทธิ์ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก
“ว่าแต่...ทราบรึยังครับว่าลุงสมยศแกมาพบใครที่ในเมือง” ฐานสิทธิ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย ก่อนที่ตำรวจหนุ่มจะยิ้มมุมปาก
“เอาไว้เป็นหน้าที่ของเราดีกว่าครับ วันนี้รบกวนคุณสองคนเพียงเท่านี้ เดี๋ยวผมจะให้คนไปส่งที่หมู่บ้านนะ”
“แล้วทางนี้จะจัดตำรวจไปตรวจตราที่หมู่บ้านมั้ยครับ เผื่อว่าฆาตกรนั่นมันอาจย้อนกลับมาทำร้ายคนอื่น”
“คุณพูดเหมือนกับรู้ว่าฆาตกรคือใคร และมีแรงจูงอะไรในการเกิดเหตุครั้งนี้” ฐานสิทธิ์ปิดปากเงียบหลังถูกถามกลับ พิมพ์อัปสรถอนหายใจยาวจนได้ยินเสียง ก่อนลุกพรวดขึ้นไหว้ลาตำรวจหนุ่ม
แล้วพอเดินตามหลังหญิงสาวออกมา ก็เห็นรถยนต์อีกคันของสถานีตำรวจเข้ามาจอดที่โรงรถ พร้อมกับร่างของสุริยาที่ถูกคุมตัวไว้ด้านหลังกระบะ
พิมพ์อัปสรหยุดยืนที่บันไดขั้นสุดท้ายของอาคารสถานี สองตากลมโตของเธอเพ่งมองไปยังร่างชายหนุ่มที่เดินตรงมาโดยมีตำรวจสองนายกุมตัวอยู่ ทั้งร่างของเธอร้อนรุมดุจถูกไฟเผา สาสน์แห่งความตายที่สมยศส่งมาให้จะต้องเกี่ยวพันกับสุริยาอย่างไม่ต้องสงสัย... เขาอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้แน่... พิมพ์อัปสรคิดเช่นนั้น
“มันเกิดอะไรขึ้นครับคุณแสงสูรย์ ทำไมตำรวจถึงจับตัวคุณสุริยามาแบบนี้” ฐานสิทธิ์เข้าไปจับแขนแสงสูรย์ที่เดินตามหลังลูกชายไว้ อีกฝ่ายหันมามองด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง ก่อนปรายตาไปหาพิมพ์อัปสรแวบนึง
“เรื่องเข้าใจผิดน่ะ คุณกับพิมพ์อัปสรรีบกลับวังหมอกไปเถอะ” พูดจบแสงสูรย์ก็เตรียมเดินขึ้นโรงพักแต่ถูกหญิงสาวพูดดักคอไว้เสียก่อน
“เมื่อคืนสุริยาหายไปไหนมาคะ...” คำถามของพิมพ์อัปสรทำให้แสงสูรย์ชะงักงัน เขาจ้องหน้าว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยแววตาจนตรอก พิมพ์อัปสรเดินเข้าไปใกล้ เชิดหน้าถามด้วยสีหน้าคาดคั้นจริงจัง
“ตอนที่พวกเราออกตามหาคุณฐานสิทธิ์ สุริยาไม่ได้ตามคุณลุงมาด้วย พิมพ์ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” แสงสูรย์เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนปั้นหน้ายิ้มเจื่อนๆ ให้กับเธอ
“เจ้ายามันไปหาเพื่อนที่หมู่บ้านอื่นน่ะ ตำรวจเขาสงสัยก็เลยเชิญมาสอบปากคำนิดหน่อย หนูพิมพ์คงไม่คิดว่าคู่หมั้นตัวเองเป็นฆาตกรฆ่าคนหรอกใช่มั้ย...” อีกฝ่ายย้อนถาม ส่งสายตายอกย้อนท้าทาย หากแต่เบื้องลึกกลับซ่อนความเจ็บปวดและทุกข์ตรมไว้อย่างแสนสาหัส
พิมพ์อัปสรไม่เอ่ยอะไรอีกต่อจากนั้น เธอตัดบทโดยการยกมือไหว้ลาแสงสูรย์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนหันมาหาฐานสิทธิ์และเดินนำชายหนุ่มออกจากอาคารสถานี