สังขละบุรี เมืองที่ได้ยินใครต้องหลายคนพูดถึง ว่าต้องลองไป แล้วจะรู้ และเข้าใจถึงเสน่ห์ของที่นี่
ซึ่งตอนเเรกก็รู้สึกว่า มันไม่น่าจะมีอะไรให้เที่ยว แต่คำตอบที่ได้หลังจากได้สัมผัสกลับไม่ใช่แบบนั้นเลย
สถานที่แรกหลังจากที่เราขับรถออกจากรุงเทพมาหลายร้อยกิโล ซึ่งเป็นเหมือนสถานที่เริ่มต้นของการมาเที่ยวสังขละบุรี
คือจุดชิมวิวป้อปปี่ ซึ่งเลยจากอุทยานแห่งชาติเขาแหลมมาเล็กน้อย
การเข้าชมที่นี่ มีค่าธรรมเนียมเหมือนอุทยานอื่นๆ ทั่วไป ค่าเข้าชม 40 บาท / คน
ค่านำรถยนตร์เข้าอีกคันละ 50 บาท เงินเล็กน้อยแค่นี้ แต่เเลกกับบรรยากาศที่เราจะได้เจอ แล้วจะบอกว่าคุ้มจริงๆ
ธรรมชาติ และบรรยากาศรอบตัว ทำให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของการขับรถมา เมื่อกี้นี้เลย
หลังจากดื่มด่ำกับ จุดชมวิวป้อมปี่ เราจะยิงยาวขับรถเข้าเมืองสังขละบุรี เพื่อมองหาที่พักกันต่อไป
แต่เรามีที่พักในใจอยู่แล้วเเหละ เพราะที่พักของเรา ไม่ได้รับจอง ต้อง Walk - In อย่างเดียว
ลงจากรถมาเจอที่พัก แต่หันขวามาเจอของหวาน
พักกินไอติมกันก่อนจะเข้าไปเก็บของเช็คอินดีกว่า
เราเลือกพักกันที่ ชื่นใจเกสเฮ้าส์ ที่พักเล็ก ๆ ง่าย ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองสังขละบุรี
มีกาเเฟ และ ของที่ระลึกขาย พร้อมไวไฟ สำหรับอัพรูป กันรัว ๆ ให้คนเมืองอิจฉาเล่น ๆ อิอิ
เช็คอินจองห้องพักให้เรียบร้อย ก็เดินลงมาจากด้านบนอีกนิด
ก็จะเจอกับ โฉมหน้าที่หลับนอนของเราในค่ำคืนนี้ในราคา 450 บาท นอนได้ 2 คน
หากอยากจะนอนเพิ่มก็ได้ ไม่มีหมอน ผ้าห่มให้ และ ไม่คิดตังค์
แต่ช่วยค่าน้ำไฟ แล้วแต่จะให้เท่าไหร่ก็ได้
เก็บกระเป๋าพักกินข้าวให้หายเหนื่อยสักเเปบ เราจะไปเที่ยวกันต่อ สถานที่ต่อไปที่เราจะไปเที่ยว
ก็คือ วัดวังก์วิเวการาม หรือ วัดหลวงพ่ออุตตมะ ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวสังขละบุรี
สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเรียบร้อย ก็มุ่งหน้ากันต่อไปที่ วัดวังก์วิเวการามหลังเก่า
หรือที่ เรารู้จักกันในชื่อ วัดใต้น้ำ / วัดจมน้ำ โดยที่เราต้องมาขึ้นเรือบริเวณสะพานมอญ จะมีชาวบ้านคอยถามเราอยู่
ว่าจะไปเที่ยวไหม เหมาเรือไป 300 บาท ราคานี้ คุ้มค่ากับสิ่งที่เราจะได้พบเเน่นอน
สำหรับคนที่จะมาเที่ยววัดใต้น้ำ ให้เช็คช่วงเวลาให้ดี เพราะจะมีทั้งช่วงที่น้ำท่วมโบสถ์
เราไม่สามารถลงไปเดินได้แบบนี้ จะทำได้แค่นั่งอยู่บนเรือเท่านั้นนะ
ลงจากเรือมาก็จะได้เจอกับภาพนี้ โดยเรือจะให้เวลาเราลงไปเดินเล่น 45 นาที
พร้อมกับจะมีเด็กๆ วิ่งมาขายดอกไม้พร้อมทำหน้าที่ไกด์ เล่าถึงประวัติของที่นี่
และยังแนะนำวิธีการไหว้ ขอพร ให้กับเราด้วย
ครบ 45 นาที ถึงเวลากลับ เริ่มจะเย็น ๆ แล้ว กลับเข้าที่พักพร้อมกับวิวสองข้างทางแบบนี้
และก็มาถึงจุดที่เราขึ้นเรือเมื่อสักครู่ จ่ายตังค์ค่าเรือกันให้เรียบร้อย
พรุ่งนี้เราจะไปตักบาตรที่สะพานมอญกันตอนเช้า
ปรากฏว่าตื่นไม่ไหว ก็เลยไม่ได้ตักบาตร เปลี่ยนเเผน มาเดินเล่นที่สะพานเเทนแล้วกัน
สถานที่สุดท้ายก่อนจะกลับกรุงเทพ ก็คือ เจดีย์พุทธคยา ที่ตอนนี้กำลังซ่อมเเซมอยู่
ไปยืนอ่านประวัติมาเขาบอกว่า บนยอดเจดีย์ ทองหนัก 400 บาท เเหน่ะ
จบทริปของสังขละบุรี ขาลากันไปด้วยภาพนี้แล้วกัน
สั ง ข ล ะ บุ รี . . . . ต้ อ ง มี ค รั้ ง ต่ อ ไ ป
สังขละบุรี เมืองที่ได้ยินใครต้องหลายคนพูดถึง ว่าต้องลองไป แล้วจะรู้ และเข้าใจถึงเสน่ห์ของที่นี่
ซึ่งตอนเเรกก็รู้สึกว่า มันไม่น่าจะมีอะไรให้เที่ยว แต่คำตอบที่ได้หลังจากได้สัมผัสกลับไม่ใช่แบบนั้นเลย
สถานที่แรกหลังจากที่เราขับรถออกจากรุงเทพมาหลายร้อยกิโล ซึ่งเป็นเหมือนสถานที่เริ่มต้นของการมาเที่ยวสังขละบุรี
คือจุดชิมวิวป้อปปี่ ซึ่งเลยจากอุทยานแห่งชาติเขาแหลมมาเล็กน้อย
การเข้าชมที่นี่ มีค่าธรรมเนียมเหมือนอุทยานอื่นๆ ทั่วไป ค่าเข้าชม 40 บาท / คน
ค่านำรถยนตร์เข้าอีกคันละ 50 บาท เงินเล็กน้อยแค่นี้ แต่เเลกกับบรรยากาศที่เราจะได้เจอ แล้วจะบอกว่าคุ้มจริงๆ
ธรรมชาติ และบรรยากาศรอบตัว ทำให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของการขับรถมา เมื่อกี้นี้เลย
หลังจากดื่มด่ำกับ จุดชมวิวป้อมปี่ เราจะยิงยาวขับรถเข้าเมืองสังขละบุรี เพื่อมองหาที่พักกันต่อไป
แต่เรามีที่พักในใจอยู่แล้วเเหละ เพราะที่พักของเรา ไม่ได้รับจอง ต้อง Walk - In อย่างเดียว
ลงจากรถมาเจอที่พัก แต่หันขวามาเจอของหวาน
พักกินไอติมกันก่อนจะเข้าไปเก็บของเช็คอินดีกว่า
เราเลือกพักกันที่ ชื่นใจเกสเฮ้าส์ ที่พักเล็ก ๆ ง่าย ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองสังขละบุรี
มีกาเเฟ และ ของที่ระลึกขาย พร้อมไวไฟ สำหรับอัพรูป กันรัว ๆ ให้คนเมืองอิจฉาเล่น ๆ อิอิ
เช็คอินจองห้องพักให้เรียบร้อย ก็เดินลงมาจากด้านบนอีกนิด
ก็จะเจอกับ โฉมหน้าที่หลับนอนของเราในค่ำคืนนี้ในราคา 450 บาท นอนได้ 2 คน
หากอยากจะนอนเพิ่มก็ได้ ไม่มีหมอน ผ้าห่มให้ และ ไม่คิดตังค์
แต่ช่วยค่าน้ำไฟ แล้วแต่จะให้เท่าไหร่ก็ได้
เก็บกระเป๋าพักกินข้าวให้หายเหนื่อยสักเเปบ เราจะไปเที่ยวกันต่อ สถานที่ต่อไปที่เราจะไปเที่ยว
ก็คือ วัดวังก์วิเวการาม หรือ วัดหลวงพ่ออุตตมะ ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวสังขละบุรี
สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเรียบร้อย ก็มุ่งหน้ากันต่อไปที่ วัดวังก์วิเวการามหลังเก่า
หรือที่ เรารู้จักกันในชื่อ วัดใต้น้ำ / วัดจมน้ำ โดยที่เราต้องมาขึ้นเรือบริเวณสะพานมอญ จะมีชาวบ้านคอยถามเราอยู่
ว่าจะไปเที่ยวไหม เหมาเรือไป 300 บาท ราคานี้ คุ้มค่ากับสิ่งที่เราจะได้พบเเน่นอน
สำหรับคนที่จะมาเที่ยววัดใต้น้ำ ให้เช็คช่วงเวลาให้ดี เพราะจะมีทั้งช่วงที่น้ำท่วมโบสถ์
เราไม่สามารถลงไปเดินได้แบบนี้ จะทำได้แค่นั่งอยู่บนเรือเท่านั้นนะ
ลงจากเรือมาก็จะได้เจอกับภาพนี้ โดยเรือจะให้เวลาเราลงไปเดินเล่น 45 นาที
พร้อมกับจะมีเด็กๆ วิ่งมาขายดอกไม้พร้อมทำหน้าที่ไกด์ เล่าถึงประวัติของที่นี่
และยังแนะนำวิธีการไหว้ ขอพร ให้กับเราด้วย
ครบ 45 นาที ถึงเวลากลับ เริ่มจะเย็น ๆ แล้ว กลับเข้าที่พักพร้อมกับวิวสองข้างทางแบบนี้
และก็มาถึงจุดที่เราขึ้นเรือเมื่อสักครู่ จ่ายตังค์ค่าเรือกันให้เรียบร้อย
พรุ่งนี้เราจะไปตักบาตรที่สะพานมอญกันตอนเช้า
ปรากฏว่าตื่นไม่ไหว ก็เลยไม่ได้ตักบาตร เปลี่ยนเเผน มาเดินเล่นที่สะพานเเทนแล้วกัน
สถานที่สุดท้ายก่อนจะกลับกรุงเทพ ก็คือ เจดีย์พุทธคยา ที่ตอนนี้กำลังซ่อมเเซมอยู่
ไปยืนอ่านประวัติมาเขาบอกว่า บนยอดเจดีย์ ทองหนัก 400 บาท เเหน่ะ
จบทริปของสังขละบุรี ขาลากันไปด้วยภาพนี้แล้วกัน