ที่จริงแล้ว เนื้อความจาก กระทู้ ......... สมาธิขั้นมรรคผล(ในพระพุทธศาสนา) กับ ฌานสมาบัติ(แบบอัญญเดียรถีย์)
และ กรณี สุกขวิปัสสก (
http://pantip.com/topic/32523743) ก็มิได้มีความสลับซับซ้อนอะไรเลย
เพราะผมก็เพียงแต่ อธิบายความ ประกอบการแสดงหลักฐานตามความเป็นจริงว่า อริยบุคคลโดยส่วนใหญ่
ในพระพุทธศาสนา เป็นผู้มิได้มีฌานสมาบัติใดๆ ทั้งสิ้น ดังเช่น กรณีของ สุกขวิปัสสก ซึ่งเป็นกรณีของ พระอรหันต์
ผู้ไม่ได้ฌานสมาบัติใดๆ ตามหลักฐานจากพระไตรปิฎก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า .......
สมณะบุณฑริก กระทำให้แจ้ง (๑) เจโตวิมุติ (๒) ปัญญาวิมุติ
แต่ (๓) หาได้ถูกต้อง วิโมกข์ ๘ ด้วยนามกายไม่ !
ที่จริงแล้ว พระบาลีพุทธพจน์ ข้อนี้ ก็ชัดเจนว่า มีพระอรหันต์จำพวกหนึ่ง ซึ่งมิได้มีฌานสมาบัติ
แต่ปัญหาที่เกิด ก็คือ มีชาวพุทธบางพวก พยายามจะ "ฝืน" โต้แย้งว่า เจโตวิมุติ ต้องหมายถึง ได้ฌานสมาบัติ
การโต้แย้งแบบข้างๆ คูๆ อย่างนี้ สมควรเรียกว่า หลับหูหลับตาพูด เพราะถ้า เจโตวิมุติ ต้องหมายถึง ได้ฌานสมาบัติ จริง
นั่นก็หมายความว่า พระพุทธเจ้า ตรัสขัดกันเอง น่ะสิ (เพราะ วิโมกข์ ๘ หมายถึง รูปฌาน อรูปฌาน และ นิโรธสมาบัติ)
หรือมิใช่ ?
**************************************************************************
ในเมื่อ อริยบุคคล ผู้ไม่ได้ฌานสมาบัติใดๆ เลย เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง หรือหากจะกล่าวให้ตรงกับข้อเท็จจริงมากที่สุด
ก็สมควรกล่าวว่า อริยบุคคล โดยส่วนใหญ่ในพระพุทธศาสนา มักเป็นผู้ที่ไม่ได้ฌานสมาบัติขั้นใดๆ เลย
ประเด็นปัญหา ที่จำต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ก็คือ การที่ชาวพุทธงมงายบางพวก
พยายามจะกล่าวยืนยันว่า อนาคามีบุคคล จะต้องไปเกิดในพรหมโลก ซึ่งผมแย้งว่า ไม่จริง
ที่กล่าวว่า ไม่จริง ก็ด้วยเหตุที่ ..............
(๑) อนาคามีสามารถบรรลุอรหัตผลในชาตินี้ ไม่จำเป็นต้องไปบรรลุในชาติหน้า
การกล่าวอย่างเจาะจงว่า อนาคามี ต้องไปเกิดในพรหมโลกเท่านั้น หรือ ทั้งหมด จึงไม่จริง
อีกทั้ง ความเชื่อดังกล่าว ยังเท่ากับการกล่าวว่า จะไม่สามารถบรรลุอรหัตผลได้ในชาตินี้ ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง
(๒) มิใช่ว่า อนาคามี จะเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติทุกคน แต่ปัญหา ก็คือ ผู้ไปเกิดในพรหมโลกได้ จักต้องเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติ เท่านั้น
แต่ อนาคามี โดยส่วนใหญ่ เป็นผู้ไม่ได้ฌานสมาบัติ แล้วจะไปเกิดในพรหมโลก ได้อย่างไร ?
เกี่ยวกับปัญหาข้อนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันในชั้นพุทธพจน์ อีกทั้ง อรรถกถาจารย์ ก็มิได้กล่าวเอาไว้
แต่กลับมีคำอธิบายอยู่ในชั้นฎีกา โดยท่านปยุตโต อ้างว่า ปรากฏหลักฐานคำอธิบายอยู่ใน คัมภีร์ อภิธัมมัตถวิภาวินี
โดยท่านพระสุมังคลาจารย์แห่งลังกา อ้างว่า อนาคามีผู้ไม่ได้ฌานเหล่านั้น เมื่อเวลาจะตาย ย่อมยังสมาบัติให้เกิดขึ้นได้เอง !
เกี่ยวกับเรื่องนี้ และ คำอธิบายแบบนี้ หากแม้ว่าใครเต็มใจที่จะเชื่อ ก็จงเชื่อไปเถิด
แต่สำหรับผม ผมกล่าวได้เพียงว่า ......... เหลวไหล เลอะเทอะ เชื่อไม่ลงจริงๆ !
แต่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ กลับอยู่ที่แนวคิดของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ ที่ว่า ถึงอย่างไรๆ
ชาวพุทธในฝ่ายนี้ ก็ยังมีความเข้าใจตรงกันว่า ผู้ที่จะไปเกิดในพรหมโลกได้ จักต้องเป็นผู้ที่ได้ฌานสมาบัติเท่านั้น !
ชัดเจนนะครับ
**************************************************************************
แน่นอนว่า ผมในฐานะที่เป็นชาวพุทธเถรวาท แม้จะไม่ค่อยลงรอยกับ ลัทธิลังกาวงศ์ สักเท่าใดนัก
แต่ก็ มีความเข้าใจ และข้อสรุป ที่ตรงกันว่า พรหมโลก เป็นภพภูมิโดยเฉพาะสำหรับผู้ได้ฌานสมาบัติ เท่านั้น
ประเด็นที่ผมไม่เห็นด้วยกับ ท่านพระสุมังคลาจารย์แห่งลังกา ก็คือ ในกรณีที่ อนาคามีเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติอยู่แล้ว
ย่อมมีความเป็นไปได้ ที่จะไปเกิดในพรหมโลก เรื่องนี้ ผมก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ส่วนกรณี อนาคามีผู้ไม่ได้ฌานสมาบัติ
ผมกลับเห็นว่า ปลายทางของท่านผู้นั้น ก็คือ การบรรลุอรหัตผล ในโลกนี้ แม้จะหมายถึงในขณะจิตสุดท้าย ก็ตาม
เหตุผล ก็เพราะ การวินิจฉัยว่า อนาคามีผู้ไม่ได้ฌานสมาบัติ จะเป็นผู้ที่เหนียวแน่นอยู่กับ รูปราคะ อรูปราคะ
จนแม้แต่ในขณะจิตสุดท้าย เป็นสิ่งที่ไม่สมด้วยเหตุผล เพราะธรรมชาติของอริยบุคคล ผู้ไม่มีฌานสมาบัติ
ย่อมไม่ฝักใฝ่ สนใจในเรื่องเหล่านี้ เลยแม้แต่น้อย เพราะมันไม่มีนัยสำคัญใดๆ ต่อการปฏิบัติธรรมของท่าน !
ในเมื่อผมแสดงความคิดเห็นเอาไว้อย่างนี้ มันก็เป็นเพียงแค่ อัตตโนมัติ ของผมเท่านั้นเอง
ซึ่งผมเอง ก็มิได้บีบบังคับใจใครๆ ว่าต้องมาเชื่อตามเสียหน่อย แต่หากว่า อยากจะคัดค้าน
คุณก็เพียงแค่ แสดงหลักฐานยืนยันความเห็นของตนให้ได้อย่างชัดแจ้ง ก็พอ
จริงไหมครับ ?
ทีนี้ ปรากฏว่า ล็อกอิน คันโตนาซี เขาพยายามจะโต้แย้งว่า แม้ผู้ไม่ได้ฌาน ก็สามารถไปเกิดในพรหมโลกได้เช่นกัน
แต่เมื่อถามหาหลักฐานยืนยัน ความเชื่อดังกล่าวของเขา กลับไม่ปรากฏว่า สามารถแสดงหลักฐานใดๆ ได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
โดยล่าสุด นายคนนี้ ได้ยกหลักฐานจากพระไตรปิฎก เพื่อยืนยันว่า ผู้ไม่ได้ฌาน ก็สามารถไปเกิดในพรหมโลกได้
กล่าวโดยสรุป ก็คือ เขาอ้างว่า แค่เพียงปฏิบัติตามหลัก พรหมวิหาร ๔ ก็สามารถไปเกิดในพรหมโลกได้โดยไม่ต้องมีฌาน !
ทั้งนี้ นาย คันโตนาซี ยังได้กล่าวสำทับอีกด้วยว่า เมื่อเห็นหลักฐานนั้นแล้ว ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ยังจะ แถกแถ อะไรได้อีก
ซึ่งผม ล็อกอิน จ้าวนครเมฆขาว ผู้ซึ่งเมื่อได้เห็นหลักฐานดังกล่าวนั้นแล้ว ก็ขออนุญาต แถกแถ ดังต่อไปนี้ว่า .......
ด้วยความบังเอิญเป็นอย่างยิ่ง ที่ผมเป็นผู้มีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี กับพระบาลีพุทธพจน์เรื่อง พรหมวิหาร ที่เขายกขึ้นอ้าง
ก็ต้องขออนุญาตกล่าวตามตรงว่า ชั่วชีวิตของผม นับแต่อดีตจวบจนถึงทุกวันนี้ ผมได้มีโอกาสรู้จักกับ กรรมฐานเพียงแค่ ๕ กอง เท่านั้น
ทั้งนี้ ผมได้ละทิ้งโดยสิ้นเชิงแล้ว ๒ กอง (ขอไม่เอ่ยถึง) ที่ยังเกี่ยวข้องกันอยู่จึงมีแค่ ๓ กอง กองหนึ่งเป็นกสิน ใช้ปฏิบัติเล่นๆ ในยามว่าง
เวลาที่ไม่มีอะไรจะทำ ส่วนอีก ๒ กอง ปฏิบัติจริงจัง กองหนึ่งคือ อานาปานสติ ใช้สำหรับแก้กรรมฐานเก่าที่มีปัญหา ส่วนอีกกองหนึ่ง
ใช้สำหรับแก้อุปนิสัยส่วนตัว คือ อัปปมัญญา และด้วยเหตุนี้ ผมจึงกล่าวว่า มีความคุ้นเคยเป็นอันดี กับหลักฐานที่ คันโตนาซียกขึ้นอ้าง
สำหรับท่านที่ยังไม่ทราบ ก็ขออนุญาตอธิบายโดยสังเขปว่า อัปปมัญญา ที่ผมกล่าวถึงนี้ ก็คือ พรหมวิหาร ๔ นั่นแหละ
โดยในพระไตรปิฎก มักเรียกกรรมฐานกองนี้ เป็น ๒ ชื่อ คือ พรหมวิหาร หรือ อัปปมัญญา โดย วิสุทธิมรรค ระบุว่า
กรรมฐานกองนี้ สามารถไล่ระดับความสำเร็จ ไปได้ตั้งแต่ อุปจาระ ไปจนถึง จตุตฌาน!
ทั้งหมดนี้ หมายความว่าอย่างไร ?
หากถามผม ผมเห็นว่า หลักฐานที่คันโตนาซี ยกขึ้นอ้างนั้น แท้ที่จริง กลับเป็นหลักฐานที่ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า
เฉพาะผู้ที่ได้ฌานสมาบัติเท่านั้น จึงจะไปเกิดในพรหมโลก เพราะคำว่า พรหมวิหาร จากหลักฐานดังกล่าว
หมายถึง กรรมฐานกองหนึ่ง ซึ่งผลของมันคือ ฌานสมาบัติ นั่นเอง
ทั้งหมดนี้ ผมเพียงแต่กล่าวอธิบายด้วย ภูมิรู้เฉพาะตนเท่านั้น ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้อย่างถึงที่สุด
โดยถ้าหาก คันโตนาซี ไม่พึงใจในการ แถกแถ ของผม ก็ย่อมสามารถ ทักท้วง หรือ โต้แย้ง ได้อย่างเต็มที่ นะครับ
เพราะอาจมีความเป็นไปได้เช่นกัน ที่ คันโตนาซี อาจมีความรู้ความเข้าใจอะไรๆ ที่เกินไปกว่า ภูมิรู้ของผม(จ้าวนครเมฆขาว)
ดังที่มักปรากฏอยู่บ่อยครั้งว่า คนๆ นี้มักเสนอหน้า อวดภูมิรู้ในฝ่ายปฏิบัติ อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งหากมองโลกในแง่ดี ให้มากขึ้นอีกสักนิด
เราย่อมไม่ควรประเมินในทางต่ำว่า บุคคลผู้นี้ ก็เพียงแต่จำขี้ปากคนอื่นมาพูด แต่ควรเปิดใจรับฟัง อย่างถึงที่สุดว่า
อาจมีความเป็นไปได้ที่ พรหมวิหาร ๔ ตามหลักฐานที่ปรากฏนี้ จะไม่ได้หมายถึง กองสมถะ ก็เป็นได้
ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นย่อมเท่ากับว่า ความเห็นของผมที่เข้าใจมาโดยตลอดว่า
ผู้ไปเกิดในพรหมโลก จะต้องเป็นผู้ได้ฌานสมาบัตินั้น ย่อมไม่เป็นความจริง !
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่นักปฏิบัติธรรมชั้นเซียนอย่าง คันโตนาซี ผู้ซึ่งชอบเสนอหน้า
แสดงความคิดเห็น อวดภูมิปฏิบัติ(สั่วๆ)ของตนในกระทู้ต่างๆ อยู่เป็นนิจ จักต้องออกมาแสดงข้อเท็จจริงให้ปรากฏ
หาใช่ "นิ่งเงียบ" และ "หายหน้า" ไปจากกระทู้เสียดื้อๆ โดยปราศจากคำอธิบายใดๆ ซึ่งการกระทำดังกล่าว
อาจนำมาซึ่งความเข้าใจผิดว่า แท้ที่จริงแล้ว คันโตนาซี ก็เป็นเพียงแค่ นักปฏิบัติธรรมกำมะลอ ที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่า
อัปปมัญญา หรือ พรหมวิหาร ๔ นี้เป็นสมถะกองหนึ่ง ส่วนที่ได้เคยเสนอหน้าโพสต์ข้อความตามกระทู้ต่างๆนั้น
มันก็เป็นแค่เพียงการ "จำขี้ปากผู้อื่นมาพูด" เพื่อโอ้อวด ยกตน แบบบุรุษเปล่า ....... กลวงๆ ........ เท่านั้นเอง !
หรือมิใช่ ?
ในเมื่อ คันโตนาซี สงสัยว่า ผมจะแถกแถอะไรได้อีก ผมก็ได้ แถกแถ มาพอสมควรแก่เหตุแล้วนะครับ
ดังนั้น ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นักปฏิบัติธรรมชั้นเซียนอย่าง คันโตนาซี คงจะไม่ "แอบ" หรือ "แกล้งตาย"
หนีหน้าไปเสียดื้อๆ เหมือนดังที่ได้กระทำมาในกาลก่อน นะครับ
สวัสดี
พรหมโลก ภพภูมิเฉพาะสำหรับผู้ได้ฌานสมาบัติ
และ กรณี สุกขวิปัสสก (http://pantip.com/topic/32523743) ก็มิได้มีความสลับซับซ้อนอะไรเลย
เพราะผมก็เพียงแต่ อธิบายความ ประกอบการแสดงหลักฐานตามความเป็นจริงว่า อริยบุคคลโดยส่วนใหญ่
ในพระพุทธศาสนา เป็นผู้มิได้มีฌานสมาบัติใดๆ ทั้งสิ้น ดังเช่น กรณีของ สุกขวิปัสสก ซึ่งเป็นกรณีของ พระอรหันต์
ผู้ไม่ได้ฌานสมาบัติใดๆ ตามหลักฐานจากพระไตรปิฎก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า .......
สมณะบุณฑริก กระทำให้แจ้ง (๑) เจโตวิมุติ (๒) ปัญญาวิมุติ
แต่ (๓) หาได้ถูกต้อง วิโมกข์ ๘ ด้วยนามกายไม่ !
ที่จริงแล้ว พระบาลีพุทธพจน์ ข้อนี้ ก็ชัดเจนว่า มีพระอรหันต์จำพวกหนึ่ง ซึ่งมิได้มีฌานสมาบัติ
แต่ปัญหาที่เกิด ก็คือ มีชาวพุทธบางพวก พยายามจะ "ฝืน" โต้แย้งว่า เจโตวิมุติ ต้องหมายถึง ได้ฌานสมาบัติ
การโต้แย้งแบบข้างๆ คูๆ อย่างนี้ สมควรเรียกว่า หลับหูหลับตาพูด เพราะถ้า เจโตวิมุติ ต้องหมายถึง ได้ฌานสมาบัติ จริง
นั่นก็หมายความว่า พระพุทธเจ้า ตรัสขัดกันเอง น่ะสิ (เพราะ วิโมกข์ ๘ หมายถึง รูปฌาน อรูปฌาน และ นิโรธสมาบัติ)
หรือมิใช่ ?
**************************************************************************
ในเมื่อ อริยบุคคล ผู้ไม่ได้ฌานสมาบัติใดๆ เลย เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง หรือหากจะกล่าวให้ตรงกับข้อเท็จจริงมากที่สุด
ก็สมควรกล่าวว่า อริยบุคคล โดยส่วนใหญ่ในพระพุทธศาสนา มักเป็นผู้ที่ไม่ได้ฌานสมาบัติขั้นใดๆ เลย
ประเด็นปัญหา ที่จำต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ก็คือ การที่ชาวพุทธงมงายบางพวก
พยายามจะกล่าวยืนยันว่า อนาคามีบุคคล จะต้องไปเกิดในพรหมโลก ซึ่งผมแย้งว่า ไม่จริง
ที่กล่าวว่า ไม่จริง ก็ด้วยเหตุที่ ..............
(๑) อนาคามีสามารถบรรลุอรหัตผลในชาตินี้ ไม่จำเป็นต้องไปบรรลุในชาติหน้า
การกล่าวอย่างเจาะจงว่า อนาคามี ต้องไปเกิดในพรหมโลกเท่านั้น หรือ ทั้งหมด จึงไม่จริง
อีกทั้ง ความเชื่อดังกล่าว ยังเท่ากับการกล่าวว่า จะไม่สามารถบรรลุอรหัตผลได้ในชาตินี้ ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง
(๒) มิใช่ว่า อนาคามี จะเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติทุกคน แต่ปัญหา ก็คือ ผู้ไปเกิดในพรหมโลกได้ จักต้องเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติ เท่านั้น
แต่ อนาคามี โดยส่วนใหญ่ เป็นผู้ไม่ได้ฌานสมาบัติ แล้วจะไปเกิดในพรหมโลก ได้อย่างไร ?
เกี่ยวกับปัญหาข้อนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันในชั้นพุทธพจน์ อีกทั้ง อรรถกถาจารย์ ก็มิได้กล่าวเอาไว้
แต่กลับมีคำอธิบายอยู่ในชั้นฎีกา โดยท่านปยุตโต อ้างว่า ปรากฏหลักฐานคำอธิบายอยู่ใน คัมภีร์ อภิธัมมัตถวิภาวินี
โดยท่านพระสุมังคลาจารย์แห่งลังกา อ้างว่า อนาคามีผู้ไม่ได้ฌานเหล่านั้น เมื่อเวลาจะตาย ย่อมยังสมาบัติให้เกิดขึ้นได้เอง !
เกี่ยวกับเรื่องนี้ และ คำอธิบายแบบนี้ หากแม้ว่าใครเต็มใจที่จะเชื่อ ก็จงเชื่อไปเถิด
แต่สำหรับผม ผมกล่าวได้เพียงว่า ......... เหลวไหล เลอะเทอะ เชื่อไม่ลงจริงๆ !
แต่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ กลับอยู่ที่แนวคิดของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ ที่ว่า ถึงอย่างไรๆ
ชาวพุทธในฝ่ายนี้ ก็ยังมีความเข้าใจตรงกันว่า ผู้ที่จะไปเกิดในพรหมโลกได้ จักต้องเป็นผู้ที่ได้ฌานสมาบัติเท่านั้น !
ชัดเจนนะครับ
**************************************************************************
แน่นอนว่า ผมในฐานะที่เป็นชาวพุทธเถรวาท แม้จะไม่ค่อยลงรอยกับ ลัทธิลังกาวงศ์ สักเท่าใดนัก
แต่ก็ มีความเข้าใจ และข้อสรุป ที่ตรงกันว่า พรหมโลก เป็นภพภูมิโดยเฉพาะสำหรับผู้ได้ฌานสมาบัติ เท่านั้น
ประเด็นที่ผมไม่เห็นด้วยกับ ท่านพระสุมังคลาจารย์แห่งลังกา ก็คือ ในกรณีที่ อนาคามีเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติอยู่แล้ว
ย่อมมีความเป็นไปได้ ที่จะไปเกิดในพรหมโลก เรื่องนี้ ผมก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ส่วนกรณี อนาคามีผู้ไม่ได้ฌานสมาบัติ
ผมกลับเห็นว่า ปลายทางของท่านผู้นั้น ก็คือ การบรรลุอรหัตผล ในโลกนี้ แม้จะหมายถึงในขณะจิตสุดท้าย ก็ตาม
เหตุผล ก็เพราะ การวินิจฉัยว่า อนาคามีผู้ไม่ได้ฌานสมาบัติ จะเป็นผู้ที่เหนียวแน่นอยู่กับ รูปราคะ อรูปราคะ
จนแม้แต่ในขณะจิตสุดท้าย เป็นสิ่งที่ไม่สมด้วยเหตุผล เพราะธรรมชาติของอริยบุคคล ผู้ไม่มีฌานสมาบัติ
ย่อมไม่ฝักใฝ่ สนใจในเรื่องเหล่านี้ เลยแม้แต่น้อย เพราะมันไม่มีนัยสำคัญใดๆ ต่อการปฏิบัติธรรมของท่าน !
ในเมื่อผมแสดงความคิดเห็นเอาไว้อย่างนี้ มันก็เป็นเพียงแค่ อัตตโนมัติ ของผมเท่านั้นเอง
ซึ่งผมเอง ก็มิได้บีบบังคับใจใครๆ ว่าต้องมาเชื่อตามเสียหน่อย แต่หากว่า อยากจะคัดค้าน
คุณก็เพียงแค่ แสดงหลักฐานยืนยันความเห็นของตนให้ได้อย่างชัดแจ้ง ก็พอ
จริงไหมครับ ?
ทีนี้ ปรากฏว่า ล็อกอิน คันโตนาซี เขาพยายามจะโต้แย้งว่า แม้ผู้ไม่ได้ฌาน ก็สามารถไปเกิดในพรหมโลกได้เช่นกัน
แต่เมื่อถามหาหลักฐานยืนยัน ความเชื่อดังกล่าวของเขา กลับไม่ปรากฏว่า สามารถแสดงหลักฐานใดๆ ได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
โดยล่าสุด นายคนนี้ ได้ยกหลักฐานจากพระไตรปิฎก เพื่อยืนยันว่า ผู้ไม่ได้ฌาน ก็สามารถไปเกิดในพรหมโลกได้
กล่าวโดยสรุป ก็คือ เขาอ้างว่า แค่เพียงปฏิบัติตามหลัก พรหมวิหาร ๔ ก็สามารถไปเกิดในพรหมโลกได้โดยไม่ต้องมีฌาน !
ทั้งนี้ นาย คันโตนาซี ยังได้กล่าวสำทับอีกด้วยว่า เมื่อเห็นหลักฐานนั้นแล้ว ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ยังจะ แถกแถ อะไรได้อีก
ซึ่งผม ล็อกอิน จ้าวนครเมฆขาว ผู้ซึ่งเมื่อได้เห็นหลักฐานดังกล่าวนั้นแล้ว ก็ขออนุญาต แถกแถ ดังต่อไปนี้ว่า .......
ด้วยความบังเอิญเป็นอย่างยิ่ง ที่ผมเป็นผู้มีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี กับพระบาลีพุทธพจน์เรื่อง พรหมวิหาร ที่เขายกขึ้นอ้าง
ก็ต้องขออนุญาตกล่าวตามตรงว่า ชั่วชีวิตของผม นับแต่อดีตจวบจนถึงทุกวันนี้ ผมได้มีโอกาสรู้จักกับ กรรมฐานเพียงแค่ ๕ กอง เท่านั้น
ทั้งนี้ ผมได้ละทิ้งโดยสิ้นเชิงแล้ว ๒ กอง (ขอไม่เอ่ยถึง) ที่ยังเกี่ยวข้องกันอยู่จึงมีแค่ ๓ กอง กองหนึ่งเป็นกสิน ใช้ปฏิบัติเล่นๆ ในยามว่าง
เวลาที่ไม่มีอะไรจะทำ ส่วนอีก ๒ กอง ปฏิบัติจริงจัง กองหนึ่งคือ อานาปานสติ ใช้สำหรับแก้กรรมฐานเก่าที่มีปัญหา ส่วนอีกกองหนึ่ง
ใช้สำหรับแก้อุปนิสัยส่วนตัว คือ อัปปมัญญา และด้วยเหตุนี้ ผมจึงกล่าวว่า มีความคุ้นเคยเป็นอันดี กับหลักฐานที่ คันโตนาซียกขึ้นอ้าง
สำหรับท่านที่ยังไม่ทราบ ก็ขออนุญาตอธิบายโดยสังเขปว่า อัปปมัญญา ที่ผมกล่าวถึงนี้ ก็คือ พรหมวิหาร ๔ นั่นแหละ
โดยในพระไตรปิฎก มักเรียกกรรมฐานกองนี้ เป็น ๒ ชื่อ คือ พรหมวิหาร หรือ อัปปมัญญา โดย วิสุทธิมรรค ระบุว่า
กรรมฐานกองนี้ สามารถไล่ระดับความสำเร็จ ไปได้ตั้งแต่ อุปจาระ ไปจนถึง จตุตฌาน!
ทั้งหมดนี้ หมายความว่าอย่างไร ?
หากถามผม ผมเห็นว่า หลักฐานที่คันโตนาซี ยกขึ้นอ้างนั้น แท้ที่จริง กลับเป็นหลักฐานที่ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า
เฉพาะผู้ที่ได้ฌานสมาบัติเท่านั้น จึงจะไปเกิดในพรหมโลก เพราะคำว่า พรหมวิหาร จากหลักฐานดังกล่าว
หมายถึง กรรมฐานกองหนึ่ง ซึ่งผลของมันคือ ฌานสมาบัติ นั่นเอง
ทั้งหมดนี้ ผมเพียงแต่กล่าวอธิบายด้วย ภูมิรู้เฉพาะตนเท่านั้น ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้อย่างถึงที่สุด
โดยถ้าหาก คันโตนาซี ไม่พึงใจในการ แถกแถ ของผม ก็ย่อมสามารถ ทักท้วง หรือ โต้แย้ง ได้อย่างเต็มที่ นะครับ
เพราะอาจมีความเป็นไปได้เช่นกัน ที่ คันโตนาซี อาจมีความรู้ความเข้าใจอะไรๆ ที่เกินไปกว่า ภูมิรู้ของผม(จ้าวนครเมฆขาว)
ดังที่มักปรากฏอยู่บ่อยครั้งว่า คนๆ นี้มักเสนอหน้า อวดภูมิรู้ในฝ่ายปฏิบัติ อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งหากมองโลกในแง่ดี ให้มากขึ้นอีกสักนิด
เราย่อมไม่ควรประเมินในทางต่ำว่า บุคคลผู้นี้ ก็เพียงแต่จำขี้ปากคนอื่นมาพูด แต่ควรเปิดใจรับฟัง อย่างถึงที่สุดว่า
อาจมีความเป็นไปได้ที่ พรหมวิหาร ๔ ตามหลักฐานที่ปรากฏนี้ จะไม่ได้หมายถึง กองสมถะ ก็เป็นได้
ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นย่อมเท่ากับว่า ความเห็นของผมที่เข้าใจมาโดยตลอดว่า
ผู้ไปเกิดในพรหมโลก จะต้องเป็นผู้ได้ฌานสมาบัตินั้น ย่อมไม่เป็นความจริง !
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่นักปฏิบัติธรรมชั้นเซียนอย่าง คันโตนาซี ผู้ซึ่งชอบเสนอหน้า
แสดงความคิดเห็น อวดภูมิปฏิบัติ(สั่วๆ)ของตนในกระทู้ต่างๆ อยู่เป็นนิจ จักต้องออกมาแสดงข้อเท็จจริงให้ปรากฏ
หาใช่ "นิ่งเงียบ" และ "หายหน้า" ไปจากกระทู้เสียดื้อๆ โดยปราศจากคำอธิบายใดๆ ซึ่งการกระทำดังกล่าว
อาจนำมาซึ่งความเข้าใจผิดว่า แท้ที่จริงแล้ว คันโตนาซี ก็เป็นเพียงแค่ นักปฏิบัติธรรมกำมะลอ ที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่า
อัปปมัญญา หรือ พรหมวิหาร ๔ นี้เป็นสมถะกองหนึ่ง ส่วนที่ได้เคยเสนอหน้าโพสต์ข้อความตามกระทู้ต่างๆนั้น
มันก็เป็นแค่เพียงการ "จำขี้ปากผู้อื่นมาพูด" เพื่อโอ้อวด ยกตน แบบบุรุษเปล่า ....... กลวงๆ ........ เท่านั้นเอง !
หรือมิใช่ ?
ในเมื่อ คันโตนาซี สงสัยว่า ผมจะแถกแถอะไรได้อีก ผมก็ได้ แถกแถ มาพอสมควรแก่เหตุแล้วนะครับ
ดังนั้น ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นักปฏิบัติธรรมชั้นเซียนอย่าง คันโตนาซี คงจะไม่ "แอบ" หรือ "แกล้งตาย"
หนีหน้าไปเสียดื้อๆ เหมือนดังที่ได้กระทำมาในกาลก่อน นะครับ
สวัสดี