http://pantip.com/topic/31779004
อันนี้แทกเฟสแรก นะคะ
คือ จริงๆอยากมาเล่าต่อมาก รู้สึกว่าจะหายไปประมาณครึ่งปีเห็นจะได้
เพราะหลังจากเล่าเฟสแรกไป งานก็เข้าดิฉันทันทีค่ะ เลยไม่มีเวลามาอัพเดทชีวิตนักเรียนเชฟให้คุณๆฟัง
นี่ปิดซัมเมอร์มาสักระยะ จนจะเปิดเทอมฟอลอีกครั้ง ถึงได้ถือฤกษ์งามยามดี วันสืบ นาคะเสถียร มาอัพเดทเรื่องราวอีกครั้ง
จากคราวที่แล้วมาเล่าเรื่องเครื่องแบบกับกฎระเบียบทั่วไปของการเป็นนักเรียนเชฟและห้องเรียนแรกกับเชฟลูมี่ไปแล้ว
วันนี้เป็นคราวของ Tool Kit กระเป๋ามีด น้ำหนักกว่าห้ากิโลกรัมบนบ่า และหนังสือฟอมูล่าเล่มใหญ่กว่าหลักเศรษฐศาสตร์จุลภาค
อันว่ากระเป๋ามีดนั้น มีความสำคัญกับชาวเรายิ่งยวด เพราะมันประกอบไปด้วย มีดสามเล่ม (ต้องลับทุกสัปดาห์ อย่าให้เชฟใหญ่เห็นว่ามีดแกไม่คมเชียวนะ
คนคอขาดจะกลายเป็นแกเอง) สเปตูล่าปาดเค้ก ที่ตัดพิซซ่า มีดขูดเปลือกเลม่อน ชุดหัวบีบเค้กสามชุด ยาดิยาดิยา และที่ขาดไม่ได้คือเทอร์มอมิเตอร์ ที่ต้องเสียบข้างแขนเสื้อตลอดเวลา เพราะเชฟเชื่อในอุณหภูมิมากกว่าตาเปล่า
มันหนักมากกกกกกก
ต้องแบกไปกลับทุกวัน จนไหล่เอนกันไปข้าง
พอเข้าห้อง สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เอาอุปกรณ์ที่ต้องใช้ออกมาวางใส่ถาดจัดไว้ข้างโต๊ะ (เราต้องเชคตารางเรียนว่าวันนี้โปรดัคชั่นต้องทำอะไรบ้างแล้วก็ต้องดูว่ามันมีอะไรที่ต้องใช้ พอเข้าห้องจะได้เตรียมได้ทันที มันเป็นการฝึกนิสัยที่ดีที่ทำให้เราพร้อมอยู่เสมอ แล้วก็สามารถจัดการกับเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ)
เตรียมซานนิเทชั่นบัคเกตกับผ้าขี้ริ้วไว้เช็ดโต๊ะ ทีนี้ก็พร้อมฟังเชฟบรีฟงาน
อย่างที่บอกว่างานเบเกอรี่มันต้องเป็นทีมเวิร์ค โชคดีที่เหล่าฝรั่งเด็กน้อยนางรับข้าเข้ากลุ่ม และสอนข้าอย่างใจเย็นในเรื่องภาษาและการใช้อุปกรณ์
เชฟจะบรีฟงานคร่าวๆแล้วเริ่มต้นทำเดโม่
เดโม่ของเชฟคือการทำให้ดูตั้งแต่ชั่งตวงวัด ไปจนกระทั่งเอาออกจากเตาและตัดเสริฟ
ระหว่างนั้นเราก็จะดู และฟัง และถ่ายวีดีโอ หรือถ่ายรูป เพื่อเอาไปทำสรุปประจำวันส่งเชฟต่อไป
ข้าก็ต้องพยายามอย่างหนักในการฟัง เพราะนางพูดเร็วมาก สำเนียงค่อนไปทางยุโรปอีก ตายสิคะคราวนี้ ต้องเครียดอยู่สองสามวันกว่าจะจับจังหวะนางถูก
คลาสขนมปังถือว่าเป็นคลาสหินมหาโหดของเหล่าเราชาวเพสทรีเชฟ เพราะมันต้องดีลกับอุณหภูมิ และเวลา
ลองนึกถึงขนมปังฝรั่งเศส แท่งยาวๆ แล้วมีริ้วๆ เป็นลายพาด
นี่แกอย่าคิดเป็นสื่งง่ายนะจ๊ะ
การใช้มีดกรีดขนมปังนี่ยากบรม จนลูมี่ต้องมาจับมือข้ากรีด
คือ มันต้องนวดแล้วเก็บขอบให้เป็นแท่งดินสอ
แต่ของข้ามันเป็นท่อนซุงจ่ะ
โดนตีมือ แล้วก็จับมือคลึงจนมันเป็นรูปเป็นร่าง
นางบอกข้าในขณะที่จับมือข้านวดว่า
ชั้นสอนเธอให้ทำ แปดสิบครั้ง เธอก็ลืมแปดสิบครั้ง ใช่มั๊ยเชฟ
ข้าตอบนางว่า ขอครั้งที่แปดสิบเอ็ดนะคะ จะพยายามอีก แต่ไม่รับปากว่าจะไม่ลืม
นางก็ทำหน้าเอือมใส่ข้ารอบที่ล้าน
มันมีขนมปังอย่างหนึ่ง ที่ทำเพื่อเฉลิมฉลองของชาวยิว
เรียกว่า ฮัลล่า
เป็นขนมปังหวานที่ต้องนวดเป็นเส้นแล้วมาถักเปีย
ข้าพบว่ามันเป็นงานละเอียดที่ต้องใช้ลมปราณทั้งหมดที่มีเพื่อสานเปียหกเส้นให้เป็นท่อนที่เท่ากัน
เป็นครั้งแรกที่นางเดินผ่านข้าแล้วบอกว่า ดีแล้ว ทำต่อไป
น้ำตาข้าแทบไหล ด้วยความปลื้มปริ่มประหนึ่งได้เอมาครองแล้วก็ไม่ปาน
กลุ่มข้าก็เลยเอาศอกชนกันใหญ่เลย (มันแปะมือทำไฮไฟว์ไม่ได้เพราะมือเปื้อน เลยเอาศอกแปะกันแทน)
อแมนด้าบอกว่าทีมเวิร์คเราดีมาก
พออบเสร็จแล้วตัดมากิน ข้าก็เข้าใจคำว่าปลื้ม แบบลึกซึ้ง
นี่ทำเองนะ
อร่อยขึ้นมาล้านเท่า
แต่บอกตัวเองว่า ถ้าไม่มีร้าน ข้าจะไม่ทำขนมปังกินเองเด็ดขาด !!!!
กระทั่งว่าทำพิซซ่า เราต้องหมุนแล้วโยนขึ้นบนฟ้านะจ๊ะ เพราะแป้งกระทบลมและออกซิเจน จะทำให้รสชาติดีขี้น
เออ อันนี้จริง
พิซซ่าโฮมเมทมันถึงอร่อยกว่าพิซซ่าฮัท
แกว่าข้าโยนเป็นไง เฮอะ ไม่อยากจะพูด
หล่นไปสอง
มันไม่ง่ายพอๆกับตีแป้งโรตีนั่นแหละจ่ะ
จบเก้าวันกับเชฟลูมี่ขาโหดมาได้อย่างรากเลือด
นอกเรื่อง
คือโรงเรียนข้านอกจากจะเป็นโรงเรียนสอนทำอาหารที่ค่อนข้างดังในแถบนิวอิงแลนด์แล้ว
ยังเปิดปริญญาโททั่วไปอีก พวกเด็กนักเรียนนอกมีตังหน่อยก็จะมาเรียนเพราะมันเข้าง่าย(แต่มันกลับตัวกันไม่ทันเพราะออกยากแล้วก็โดนไทร์กันเยอะแยะ)
ที่นี้
มันก็จะเต็มไปด้วยพวกจีนและเกาหลี แขกอีกนิดหน่อย
ฝรั่งส่วนใหญ่จะเรียนคูนารี่กัน
นึกภาพตามช้าๆ ว่า โรงเรียนที่เต็มไปด้วยชะนีเสิ่นเจิ้นและอาซิ่มซัวเถา มันจะเป็นยังไง
ช่วงหนึ่ง เพื่อนสนิทข้าเป็นหนุ่มเกาหลีหน้าตาหล่อเหลา มาแลกเปลี่ยนแค่สามเดือนก็กลับ อีกฝั่งหนึ่งเป็นสาวเสิ่นเจิ้นที่เรียนไรติ้งคลาสเดียวกัน(ข้าต้องเรียนอคาเดมิคก่อนเข้าเรียนแลปเบเกอรี่ ก็เลยมีเพื่อนนานาชาติค่อนข้างหลากหลาย)
อยู่มาวันหนึ่ง แม่นางซินดี้ก็มาชวนข้าไปกินข้าวหลังเลิกเรียน ข้าก็งง หล่อนจะมาท่าไหนกันนะ เพราะอยู่มาจะสามเดือน ไม่เคยยยยย จะทักข้าหรอก
จนพ่อหนุ่มเกาหลีสองคนและซาอุหนึ่งตามข้ามาเท่านั้นแหละ ข้าถึงได้ถึงบางอ้อว่า นางมาเหนือนะ เพราะรู้ว่าชวนข้า เพื่อนข้าต้องตามประกบ
ซินดี้(นี่คือชื่อดัดจริตที่หล่อนตั้งเอง เพราะเห็นว่าง่ายต่อการเรียกขานในภาษาอังกฤษ) ก็บอกข้าว่า นางชอบวอน เพื่อนหนุ่มชาวเกาหลีของข้าชนิดที่ว่า
เพ้อไปสามบ้านแปดบ้าน ขอให้ข้าได้ชวนวอนมากินข้าวกับนางหน่อย นางก็สุขใจ
นี่หลอกข้ามาเป็นสะพานสินะชะนีเสิ่นเจิ้น !!!!!!!!!!
ข้าก็ปากไว บอกวอนทันที ว่าซินดี้ชอบ
คือนางก็สวย สวยจริงๆนะ ทำไมเอ็งไม่คิดจะเดทกะนางมั่งหละวอน
วอนตอบข้าว่า หน้าสวย แต่สไตล์หล่อนนี่ห่วยบรมนะพวก
มีอย่างที่ไหน แต่งตัวทีใช้สีเจ็ดสีได้อย่างครบองค์ประกอบ นี่ยูเคยดูเซเลอมูนใช่มั๊ย นั่นแหละ ซินดี้เลย
กางเกงขาสั้นสีฟ้า ถุงน่องดำ รองเท้าผ้าใบแดง กับเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาว
ยูไม่คิดว่าหล่อนป่วยเหรอ
สักแต่ซื้อของแบรนด์มาใช้ ไม่ได้ดูหรอกว่ามันเข้ากันหรือปล่าว
แทอิน บอกว่า เราควรส่งหล่อนไปเรียนวิชา Mix and Match มากกว่าเรียนเอสเสแหละแก
เหยยยยยยยยยย
ผู้ชายเกาหลีนี่นอกจากจะถ่อยแล้ว ยังปากคมกว่ากรรไกรอีกนะ (ความเห็นส่วนตัวจากการมีเพื่อนสนิทเป็นเกาหลีมากกว่าห้าคน)
พูดซะซินดี้มาจากดาวอังคารเลยอ่ะแก
นี่เป็นอุทาหรณ์แก่เราชาวชะนีนะคะ ว่าให้ดูเทรนด์บ้าง อย่าสักแต่หามาใส่
พวกผู้ชายเค้ามองและนินทากันอยู่
ข้าถึงกับเป๋ แล้วบอกพวกมันว่า
วันไหนที่ข้าแต่งตัวพลาด พวกเอ็งต้องรีบบอกข้านะเว่ย จะได้ไหวตัวทัน
เดี๋ยวจะโดนด่าไม่รู้ตัว
พรุ่งนี้จะมาต่อที่คลาสเวียนเนอเซอรี่ (เบเกอรี่ประเภทขนมปังหวาน ครัวซอน และเดนิส)
ปล. ข้าทำงานร้านอาหารพาร์ทไทม์ ว่างๆจะมาเล่าเรื่องลูกค้าพวกเกิดมาเพื่อเรื่องมากให้ฟังด้วยล่ะ
บุยยยยยยยยยยย
เมื่อฉันจากบ้านนามาเรียนเชฟที่เมืองนอก เฟสสอง
อันนี้แทกเฟสแรก นะคะ
คือ จริงๆอยากมาเล่าต่อมาก รู้สึกว่าจะหายไปประมาณครึ่งปีเห็นจะได้
เพราะหลังจากเล่าเฟสแรกไป งานก็เข้าดิฉันทันทีค่ะ เลยไม่มีเวลามาอัพเดทชีวิตนักเรียนเชฟให้คุณๆฟัง
นี่ปิดซัมเมอร์มาสักระยะ จนจะเปิดเทอมฟอลอีกครั้ง ถึงได้ถือฤกษ์งามยามดี วันสืบ นาคะเสถียร มาอัพเดทเรื่องราวอีกครั้ง
จากคราวที่แล้วมาเล่าเรื่องเครื่องแบบกับกฎระเบียบทั่วไปของการเป็นนักเรียนเชฟและห้องเรียนแรกกับเชฟลูมี่ไปแล้ว
วันนี้เป็นคราวของ Tool Kit กระเป๋ามีด น้ำหนักกว่าห้ากิโลกรัมบนบ่า และหนังสือฟอมูล่าเล่มใหญ่กว่าหลักเศรษฐศาสตร์จุลภาค
อันว่ากระเป๋ามีดนั้น มีความสำคัญกับชาวเรายิ่งยวด เพราะมันประกอบไปด้วย มีดสามเล่ม (ต้องลับทุกสัปดาห์ อย่าให้เชฟใหญ่เห็นว่ามีดแกไม่คมเชียวนะ
คนคอขาดจะกลายเป็นแกเอง) สเปตูล่าปาดเค้ก ที่ตัดพิซซ่า มีดขูดเปลือกเลม่อน ชุดหัวบีบเค้กสามชุด ยาดิยาดิยา และที่ขาดไม่ได้คือเทอร์มอมิเตอร์ ที่ต้องเสียบข้างแขนเสื้อตลอดเวลา เพราะเชฟเชื่อในอุณหภูมิมากกว่าตาเปล่า
มันหนักมากกกกกกก
ต้องแบกไปกลับทุกวัน จนไหล่เอนกันไปข้าง
พอเข้าห้อง สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เอาอุปกรณ์ที่ต้องใช้ออกมาวางใส่ถาดจัดไว้ข้างโต๊ะ (เราต้องเชคตารางเรียนว่าวันนี้โปรดัคชั่นต้องทำอะไรบ้างแล้วก็ต้องดูว่ามันมีอะไรที่ต้องใช้ พอเข้าห้องจะได้เตรียมได้ทันที มันเป็นการฝึกนิสัยที่ดีที่ทำให้เราพร้อมอยู่เสมอ แล้วก็สามารถจัดการกับเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ)
เตรียมซานนิเทชั่นบัคเกตกับผ้าขี้ริ้วไว้เช็ดโต๊ะ ทีนี้ก็พร้อมฟังเชฟบรีฟงาน
อย่างที่บอกว่างานเบเกอรี่มันต้องเป็นทีมเวิร์ค โชคดีที่เหล่าฝรั่งเด็กน้อยนางรับข้าเข้ากลุ่ม และสอนข้าอย่างใจเย็นในเรื่องภาษาและการใช้อุปกรณ์
เชฟจะบรีฟงานคร่าวๆแล้วเริ่มต้นทำเดโม่
เดโม่ของเชฟคือการทำให้ดูตั้งแต่ชั่งตวงวัด ไปจนกระทั่งเอาออกจากเตาและตัดเสริฟ
ระหว่างนั้นเราก็จะดู และฟัง และถ่ายวีดีโอ หรือถ่ายรูป เพื่อเอาไปทำสรุปประจำวันส่งเชฟต่อไป
ข้าก็ต้องพยายามอย่างหนักในการฟัง เพราะนางพูดเร็วมาก สำเนียงค่อนไปทางยุโรปอีก ตายสิคะคราวนี้ ต้องเครียดอยู่สองสามวันกว่าจะจับจังหวะนางถูก
คลาสขนมปังถือว่าเป็นคลาสหินมหาโหดของเหล่าเราชาวเพสทรีเชฟ เพราะมันต้องดีลกับอุณหภูมิ และเวลา
ลองนึกถึงขนมปังฝรั่งเศส แท่งยาวๆ แล้วมีริ้วๆ เป็นลายพาด
นี่แกอย่าคิดเป็นสื่งง่ายนะจ๊ะ
การใช้มีดกรีดขนมปังนี่ยากบรม จนลูมี่ต้องมาจับมือข้ากรีด
คือ มันต้องนวดแล้วเก็บขอบให้เป็นแท่งดินสอ
แต่ของข้ามันเป็นท่อนซุงจ่ะ
โดนตีมือ แล้วก็จับมือคลึงจนมันเป็นรูปเป็นร่าง
นางบอกข้าในขณะที่จับมือข้านวดว่า
ชั้นสอนเธอให้ทำ แปดสิบครั้ง เธอก็ลืมแปดสิบครั้ง ใช่มั๊ยเชฟ
ข้าตอบนางว่า ขอครั้งที่แปดสิบเอ็ดนะคะ จะพยายามอีก แต่ไม่รับปากว่าจะไม่ลืม
นางก็ทำหน้าเอือมใส่ข้ารอบที่ล้าน
มันมีขนมปังอย่างหนึ่ง ที่ทำเพื่อเฉลิมฉลองของชาวยิว
เรียกว่า ฮัลล่า
เป็นขนมปังหวานที่ต้องนวดเป็นเส้นแล้วมาถักเปีย
ข้าพบว่ามันเป็นงานละเอียดที่ต้องใช้ลมปราณทั้งหมดที่มีเพื่อสานเปียหกเส้นให้เป็นท่อนที่เท่ากัน
เป็นครั้งแรกที่นางเดินผ่านข้าแล้วบอกว่า ดีแล้ว ทำต่อไป
น้ำตาข้าแทบไหล ด้วยความปลื้มปริ่มประหนึ่งได้เอมาครองแล้วก็ไม่ปาน
กลุ่มข้าก็เลยเอาศอกชนกันใหญ่เลย (มันแปะมือทำไฮไฟว์ไม่ได้เพราะมือเปื้อน เลยเอาศอกแปะกันแทน)
อแมนด้าบอกว่าทีมเวิร์คเราดีมาก
พออบเสร็จแล้วตัดมากิน ข้าก็เข้าใจคำว่าปลื้ม แบบลึกซึ้ง
นี่ทำเองนะ
อร่อยขึ้นมาล้านเท่า
แต่บอกตัวเองว่า ถ้าไม่มีร้าน ข้าจะไม่ทำขนมปังกินเองเด็ดขาด !!!!
กระทั่งว่าทำพิซซ่า เราต้องหมุนแล้วโยนขึ้นบนฟ้านะจ๊ะ เพราะแป้งกระทบลมและออกซิเจน จะทำให้รสชาติดีขี้น
เออ อันนี้จริง
พิซซ่าโฮมเมทมันถึงอร่อยกว่าพิซซ่าฮัท
แกว่าข้าโยนเป็นไง เฮอะ ไม่อยากจะพูด
หล่นไปสอง
มันไม่ง่ายพอๆกับตีแป้งโรตีนั่นแหละจ่ะ
จบเก้าวันกับเชฟลูมี่ขาโหดมาได้อย่างรากเลือด
นอกเรื่อง
คือโรงเรียนข้านอกจากจะเป็นโรงเรียนสอนทำอาหารที่ค่อนข้างดังในแถบนิวอิงแลนด์แล้ว
ยังเปิดปริญญาโททั่วไปอีก พวกเด็กนักเรียนนอกมีตังหน่อยก็จะมาเรียนเพราะมันเข้าง่าย(แต่มันกลับตัวกันไม่ทันเพราะออกยากแล้วก็โดนไทร์กันเยอะแยะ)
ที่นี้
มันก็จะเต็มไปด้วยพวกจีนและเกาหลี แขกอีกนิดหน่อย
ฝรั่งส่วนใหญ่จะเรียนคูนารี่กัน
นึกภาพตามช้าๆ ว่า โรงเรียนที่เต็มไปด้วยชะนีเสิ่นเจิ้นและอาซิ่มซัวเถา มันจะเป็นยังไง
ช่วงหนึ่ง เพื่อนสนิทข้าเป็นหนุ่มเกาหลีหน้าตาหล่อเหลา มาแลกเปลี่ยนแค่สามเดือนก็กลับ อีกฝั่งหนึ่งเป็นสาวเสิ่นเจิ้นที่เรียนไรติ้งคลาสเดียวกัน(ข้าต้องเรียนอคาเดมิคก่อนเข้าเรียนแลปเบเกอรี่ ก็เลยมีเพื่อนนานาชาติค่อนข้างหลากหลาย)
อยู่มาวันหนึ่ง แม่นางซินดี้ก็มาชวนข้าไปกินข้าวหลังเลิกเรียน ข้าก็งง หล่อนจะมาท่าไหนกันนะ เพราะอยู่มาจะสามเดือน ไม่เคยยยยย จะทักข้าหรอก
จนพ่อหนุ่มเกาหลีสองคนและซาอุหนึ่งตามข้ามาเท่านั้นแหละ ข้าถึงได้ถึงบางอ้อว่า นางมาเหนือนะ เพราะรู้ว่าชวนข้า เพื่อนข้าต้องตามประกบ
ซินดี้(นี่คือชื่อดัดจริตที่หล่อนตั้งเอง เพราะเห็นว่าง่ายต่อการเรียกขานในภาษาอังกฤษ) ก็บอกข้าว่า นางชอบวอน เพื่อนหนุ่มชาวเกาหลีของข้าชนิดที่ว่า
เพ้อไปสามบ้านแปดบ้าน ขอให้ข้าได้ชวนวอนมากินข้าวกับนางหน่อย นางก็สุขใจ
นี่หลอกข้ามาเป็นสะพานสินะชะนีเสิ่นเจิ้น !!!!!!!!!!
ข้าก็ปากไว บอกวอนทันที ว่าซินดี้ชอบ
คือนางก็สวย สวยจริงๆนะ ทำไมเอ็งไม่คิดจะเดทกะนางมั่งหละวอน
วอนตอบข้าว่า หน้าสวย แต่สไตล์หล่อนนี่ห่วยบรมนะพวก
มีอย่างที่ไหน แต่งตัวทีใช้สีเจ็ดสีได้อย่างครบองค์ประกอบ นี่ยูเคยดูเซเลอมูนใช่มั๊ย นั่นแหละ ซินดี้เลย
กางเกงขาสั้นสีฟ้า ถุงน่องดำ รองเท้าผ้าใบแดง กับเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาว
ยูไม่คิดว่าหล่อนป่วยเหรอ
สักแต่ซื้อของแบรนด์มาใช้ ไม่ได้ดูหรอกว่ามันเข้ากันหรือปล่าว
แทอิน บอกว่า เราควรส่งหล่อนไปเรียนวิชา Mix and Match มากกว่าเรียนเอสเสแหละแก
เหยยยยยยยยยย
ผู้ชายเกาหลีนี่นอกจากจะถ่อยแล้ว ยังปากคมกว่ากรรไกรอีกนะ (ความเห็นส่วนตัวจากการมีเพื่อนสนิทเป็นเกาหลีมากกว่าห้าคน)
พูดซะซินดี้มาจากดาวอังคารเลยอ่ะแก
นี่เป็นอุทาหรณ์แก่เราชาวชะนีนะคะ ว่าให้ดูเทรนด์บ้าง อย่าสักแต่หามาใส่
พวกผู้ชายเค้ามองและนินทากันอยู่
ข้าถึงกับเป๋ แล้วบอกพวกมันว่า
วันไหนที่ข้าแต่งตัวพลาด พวกเอ็งต้องรีบบอกข้านะเว่ย จะได้ไหวตัวทัน
เดี๋ยวจะโดนด่าไม่รู้ตัว
พรุ่งนี้จะมาต่อที่คลาสเวียนเนอเซอรี่ (เบเกอรี่ประเภทขนมปังหวาน ครัวซอน และเดนิส)
ปล. ข้าทำงานร้านอาหารพาร์ทไทม์ ว่างๆจะมาเล่าเรื่องลูกค้าพวกเกิดมาเพื่อเรื่องมากให้ฟังด้วยล่ะ
บุยยยยยยยยยยย