ตอนที่สิบสาม
หนึ่งใจในแผ่นดิน ตอนที่สิบสี่
“สี่ร้อยเก้าสิบบาทครบ เอ้า เอาไป”
ชายอาวุโสหนวดงามนับธนบัตรที่มีอยู่ในมือแล้ววางกระแทกลงบนเคาน์เตอร์ไม้ หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังเอื้อมมือมาหยิบฟ่อนเงินด้วยท่าทีระมัดระวังกึ่งเกรงใจ
“นี่จะนับอีกหรือนี่ ไม่ไว้ใจฉันหรือไง” เขาพูดเสียงกึ่งข่มขู่ให้เจ้าหน้าการเงินที่ต้องทำหน้าที่ตรวจนับจำนวนเงินทุกครั้งจากผู้มาใช้บริการ
“เปล่าจ้ะ คุณทรงชัย ฉันแค่เรียงแบงค์ให้หันไปทางเดียวกันเท่านั้นเอง” เธออ้างเหตุผลอื่นพลางนับจำนวนธนบัตรในหัวตัวเองโดยไม่ขยับปาก
“งั้นก็แล้วไป” เขาหันหลังลูบหนวดงามเดินตรงดิ่งมาหาลูกชายคนรอง ทวีรัตน์ลุกขึ้นอย่างผึ่งผายมองหน้าผู้เป็นพ่อด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นสุข วันนี้เป็นวันแรกที่ขาของเขาจะเป็นอิสระจากเฝือกที่ห่อหุ้มมาหลายเดือน
ผลั่ว !!!
ผู้เป็นพ่อตบกะบาลลูกชายเป็นการรับขวัญหลังถอดเฝือก “แล้วหัดจำใส่กระบาลด้วย ถ้าจะหาเรื่องใคร ให้เอ็งมั่นใจว่าจะชนะ ไม่ใช่แพ้เป็นหมาขาหักแบบนี้อีก”
ทวีรัตน์ลูบหัวตัวเองป้อยๆ มองทรงชัยด้วยสายตาค้อน “โธ่ พ่อ ฉันอยากรู้นักว่าถ้าพ่อสู้กับมันจริง พ่อจะล้มมันได้หรือเปล่า”
“ไอ้นี่เถียง” นายทรงชัยกำลังจะง้างฝ่ามือลงบนหัวลูกชายที่ก้มเอามือทั้งสองป้องกันหัวของตัวเองไว้ แต่ภาพของเด็กหนุ่มคนนั้นที่กำลังเดินเข้ามาในโรงพยาบาลกลับหยุดมือเอาไว้
“มันมาทำอะไรที่นี่” เขามองตามหลังเด็กหนุ่มจนร่างของมันหายลับไปด้านใน
“ใครหรือพ่อ” ทวีรัตน์ถามด้วยความสนใจ
“คนที่คุณนายสั่งให้เก็บ” คนเป็นพ่อตอบ
“หา ไอ้คนนั้นอ่ะนะ !”
“นี่เอ็งจะแหกปากทำไมวะ”
ทวีรัตน์เงียบเสียงลงแต่ไม่วายสงสัยถึงไอ้คนเมื่อกี้ มันก็ดูอายุพอๆกับเขา แต่ทำไมมันถึงได้เป็นตัวปัญหาของคุณนายอะไรที่ว่าจนถึงขั้นต้องจ้างวานสั่งเก็บให้แนบเนียน ถ้าเป็นเขาล่ะก็แค่พร้าด้ามเดียวก็พอที่จะดับความแค้นได้แล้ว ไม่มีทางเสียหรอกที่จะปล่อยให้อริเดินลอยนวล
********************
ก้องปฐพีขยับเปลือกตารับแสง สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานสีขาว มันไม่ใช่ภาพเพดานสูงโปร่งกับคานไม้ใหญ่พาดเหนือหัวเหมือนที่เห็นทุกครั้งที่ลืมตาตื่น ความรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อยังคงเหลือค้างตามร่างกาย ชายหนุ่มใช้แขนทั้งสองเพื่อดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง
“อยู่นิ่งๆสิ !”
เขาได้ยินเสียงดุของใครบางคนดังขึ้นพร้อมกับการถูกรั้งข้อมือไว้ด้วยอะไรสักอย่าง
“จริงๆเลยคุณนี่นะ ปล่อยให้ยุงกัดจนเป็นโรค เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า ไม่รู้จักระวังร่างกาย” เสียงใครบางคนกำลังบ่น และเป็นเสียงบ่นที่คุ้นหูมากเสียด้วย ก้องปฐพีหันไปมองหญิงสาวที่ปากเธอขยับไม่หยุดพอๆกับมือที่ขยับแกะพลาสเตอร์และถอนปลายเข็มออกจากหลังมือผู้ป่วย เธอย่นคิวส่งสายดุให้เขาเป็นครั้งคราวจนดึงเข็มออกจากเส้นเลือดหลังมือแล้วปิดทับด้วยพาสเตอร์ยา
“ผมเป็นอะไรหรือครับ” เขาถามพลางมองเธอเข็นเสาห้อยขวดน้ำเกลือที่เหลือแต่ขวดเปล่าให้ห่างออกจากเตียง
“คุณเป็น...โรคดันทุรังระยะแรก มีภาวะอวดดี ขี้แกล้ง ยุแหย่ยั่วอารมณ์แทรกซ้อน และอาจมีอาการปากหมาขั้นโคม่าร่วมด้วย”
มันเป็นคำวินิจฉัยโรคที่แปลกประหลาดไปนิด “อาการแย่ขนาดนั้นคงรักษายังไงก็หาย เพราะมันอาจกลายเป็นโรคประจำตัว” เขาโต้ตอบเธอทั้งที่เพิ่งสร้างไข้ “แล้วผมคงจะตายด้วยโรคนี้”
“งั้นฉันจะกรวดน้ำ...”
“ดีจังที่คุณจะทำบุญให้ผม” เขารีบบอกเธออย่างชื่นชม
“...คว่ำขัน” เธอต่อประโยคที่ยังไม่จบ
“ให้ตายเถอะคุณไหม...”
“ฉันยังไม่อนุญาตให้คุณตาย”
เขาหรี่ตามองเธอที่ตั้งหน้าตั้งตาต่อล้อต่อเถียงเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ตอนนี้เขาไม่มีแรงพอที่จะเป็นคู่ตีฝีปากกับเธอ อาการปวดเมื่อยตามแขนขาและอาการมึนหัวยังไม่หายดี ถ้าพูดอะไรไปมากเกรงว่าจะเสียพลังงานไปเปล่าๆ เมื่อเขาไม่โต้ตอบ ทุกอย่างในห้องสีขาวห้องนี้ก็เงียบสนิท ชายหนุ่มหลับตาลง ภาพของแม่ที่อยู่ในความฝันยังไม่จางหาย กี่ครั้งแล้วที่เขาฝันถึงมืออันนุ่มนวลและอบอุ่นของมารดา
แต่ความเงียบที่มีการตอบโต้ของเขาทำให้เธอประหลาดใจไหมแก้วใช้หลังมือองเธอแตะที่หน้าผากชายคนป่วย
“ไข้ก็ไม่มีนี่นา”
ก้องปฐพีลืมตาอีกครั้งมองคุณหมอสาวที่ทำตามหน้าที่ของเธอ สัมผัสของคุณหมอช่างอ่อนโยนนักจนเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ถ้าหากเธอไม่ใช่หมอเธอจะทำแบบนี้กับเขาหรือเปล่านะ แต่อย่าไปคิดหาคำตอบให้ปวดหัว เขาหลับตาลิ้มรสความอบอุ่นมือทิพย์ที่ไล่แตะตามคอและหน้าอก มันทำให้เขารู้สึกกลับมามีพลังอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ความอุ่นของมือเธอไปแตะต่อมเพิ่มอุณหภูมิร่างกายของเขาหรืออย่างไรเพราะมันทำให้เขารู้สึกร้อนวูบวาบแปลกๆ ความร้อนของร่างกายเขาที่เพิ่มขึ้นทำให้ไหมแก้วรีบคว้าหูฟังที่ยืมพยาบาลไว้สวมแล้วตรวจการเต้นของหัวใจและลมหายใจเข้าออกของชายหนุ่ม
“หัวใจของคุณยังเต้นเร็วอยู่นะคะ” เธอบอกอาการของเขาจากเสียงจังหวะเต้นของหัวใจที่ได้ยิน
“ผมก็รู้สึกได้” เขามองหน้าหญิงสาวที่มีสีหน้ากังวลจนเห็นได้ชัดเจน ไหมแก้วละสายตาจากชายหนุ่มแล้วยกหูโทรศัพท์
“คุณหมอมั่นใจนะคะว่าไม่มีอาการแทรกซ้อน” ไหมแก้วไม่แน่ใจว่าเธออ่านผลการตรวจผิดหรือไม่ คุณหมอสาวตัดสินใจที่ยืนยันผลการตรวจอีกครั้งจากคุณหมอผู้รับผิดชอบ และถึงแม้คำตอบจะยืนยันผลตรวจเดิมที่แน่นอนก็ตาม แต่ก็ยังไม่ทำให้เธอสบายใจ
“คุณติดเชื้อมาลาเลีย Plasmo falciparum เป็นแบบที่อาจมีภาวะแทรกซ้อน ฉันคงต้องเฝ้าอาการคุณตลอดเวลา”
“ฟังดูร้ายแรงจัง แล้วผมจะตายหรือเปล่าครับ” เขาถามเพื่อความแน่ใจ แต่ถ้าตายในมือเธอแบบเมื่อกี้ก็พอยอมรับ
“อย่าสำออยค่ะ ฉันบอกแล้วไงคะว่า ถ้าฉันยังไม่อนุญาตให้คุณตาย คุณก็ห้ามตาย คุณต้องอยู่จนทำงานให้ฉันเสร็จ” เธอเอาหูฟังออก มองริมฝีปากคนไข้ที่แห้งผากจนเห็นรอยแตก ไหมแก้วรินน้ำใส่แก้วยื่นให้เขาดื่มเติมน้ำให้ร่างกายหลังผ่านคืนที่ไข้ขึ้นสูง
ก้องปฐพีมองแก้วน้ำใสในมือของคุณหมอสาวปากคม เขายื่นมือไปรับแต่ไม่ได้รับแก้วแต่กลับกุมมือเธอเอาไว้ทั้งที่แก้วยังอยู่ในมือของเธอ เขายกขึ้นดื่มโดยส่งสายตามองหญิงสาวเจ้าของน้ำใจในแก้วใส ไหมแก้วรู้สึกร้อนวูบทั้งที่มือและที่ใบหน้า เธอพยายามทำตาดุใส่แต่เขาไม่มีทีท่าจะกลัวเลยสักนิด ก้องปฐพีค่อยๆจิบน้ำจากปากแก้วอย่างช้าๆ และเนิ่นนานจนหยุดสุดท้ายของก้นแก้ว
“ขอบคุณครับสำหรับน้ำใจ” ทันทีที่เขาปล่อยมือ เธอก็ชักมือกลับทันที
“ขออนุญาตค่า” เสียงเคาะปะตูตามด้วยเสียงใสของพยาบาล เธอมาพร้อมกระละมังในมือและแก้วใส่ยาเม็ดใบเล็ก
“ขอเช็ดตัวคนไข้นะคะ” พยาบาลหญิงพูดพร้อมดึงม่านรอบเตียงปิดบังคนไข้หนุ่มแยกจากคุณหมอ ก้องยังมองเธอไม่วางตาจนร่างของไหมแก้วถูกบดบังหายไปด้วยผ้าม่าน
“ผมมีสิทธิ์เลือกผู้ให้บริการหรือเปล่าครับ” คนไข้หนุ่มถามคุณพยาบาลที่ส่งยิ้มกว้างให้เขาเมื่อเธอปิดผ้าม่านจนมิดชิด
“แหมคุณคะที่นี่โรงพยาบาลรัฐนะคะ ไม่ใช่เอกชน” เธอยิ้มขำกับคำถามขี้เล่นของเขา
“ถ้าอย่างนั้นผมไม่เช็ดตัว”
แต่เขาไม่ได้เล่น แถมยังดูหน้าตาจริงจังเสียด้วยสิ พยาบาลสาวทำหน้าไม่ถูกกับคนไข้ชายรายนี้ “แต่คุณต้องเช็ดตัวนะคะ แล้วจะได้ทานยาตามเวลาด้วย”
“ก็ผมไม่อยากเช็ดนี่นา”
“ไม่ได้ค่ะ ยังไงคุณก็ต้องเช็ด” พยาบาลสาวยังไม่ยอมละทิ้งหน้าที่ของเธอไปง่ายๆ
“ผมไม่เช็ด” เขาก็ยังคงยืนยันคำเดิม
“ทำไมคุณถึงไม่ยอมเช็ด!” ไหมแก้วที่ฟังอยู่ด้านนอกเปิดผ้าม่านออกถามด้วยความหงุดหงิด
“ก็ผมอยากให้คุณเช็ด !”
หนึ่งใจในแผ่นดิน ตอนที่สิบสี่
“สี่ร้อยเก้าสิบบาทครบ เอ้า เอาไป”
ชายอาวุโสหนวดงามนับธนบัตรที่มีอยู่ในมือแล้ววางกระแทกลงบนเคาน์เตอร์ไม้ หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังเอื้อมมือมาหยิบฟ่อนเงินด้วยท่าทีระมัดระวังกึ่งเกรงใจ
“นี่จะนับอีกหรือนี่ ไม่ไว้ใจฉันหรือไง” เขาพูดเสียงกึ่งข่มขู่ให้เจ้าหน้าการเงินที่ต้องทำหน้าที่ตรวจนับจำนวนเงินทุกครั้งจากผู้มาใช้บริการ
“เปล่าจ้ะ คุณทรงชัย ฉันแค่เรียงแบงค์ให้หันไปทางเดียวกันเท่านั้นเอง” เธออ้างเหตุผลอื่นพลางนับจำนวนธนบัตรในหัวตัวเองโดยไม่ขยับปาก
“งั้นก็แล้วไป” เขาหันหลังลูบหนวดงามเดินตรงดิ่งมาหาลูกชายคนรอง ทวีรัตน์ลุกขึ้นอย่างผึ่งผายมองหน้าผู้เป็นพ่อด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นสุข วันนี้เป็นวันแรกที่ขาของเขาจะเป็นอิสระจากเฝือกที่ห่อหุ้มมาหลายเดือน
ผลั่ว !!!
ผู้เป็นพ่อตบกะบาลลูกชายเป็นการรับขวัญหลังถอดเฝือก “แล้วหัดจำใส่กระบาลด้วย ถ้าจะหาเรื่องใคร ให้เอ็งมั่นใจว่าจะชนะ ไม่ใช่แพ้เป็นหมาขาหักแบบนี้อีก”
ทวีรัตน์ลูบหัวตัวเองป้อยๆ มองทรงชัยด้วยสายตาค้อน “โธ่ พ่อ ฉันอยากรู้นักว่าถ้าพ่อสู้กับมันจริง พ่อจะล้มมันได้หรือเปล่า”
“ไอ้นี่เถียง” นายทรงชัยกำลังจะง้างฝ่ามือลงบนหัวลูกชายที่ก้มเอามือทั้งสองป้องกันหัวของตัวเองไว้ แต่ภาพของเด็กหนุ่มคนนั้นที่กำลังเดินเข้ามาในโรงพยาบาลกลับหยุดมือเอาไว้
“มันมาทำอะไรที่นี่” เขามองตามหลังเด็กหนุ่มจนร่างของมันหายลับไปด้านใน
“ใครหรือพ่อ” ทวีรัตน์ถามด้วยความสนใจ
“คนที่คุณนายสั่งให้เก็บ” คนเป็นพ่อตอบ
“หา ไอ้คนนั้นอ่ะนะ !”
“นี่เอ็งจะแหกปากทำไมวะ”
ทวีรัตน์เงียบเสียงลงแต่ไม่วายสงสัยถึงไอ้คนเมื่อกี้ มันก็ดูอายุพอๆกับเขา แต่ทำไมมันถึงได้เป็นตัวปัญหาของคุณนายอะไรที่ว่าจนถึงขั้นต้องจ้างวานสั่งเก็บให้แนบเนียน ถ้าเป็นเขาล่ะก็แค่พร้าด้ามเดียวก็พอที่จะดับความแค้นได้แล้ว ไม่มีทางเสียหรอกที่จะปล่อยให้อริเดินลอยนวล
ก้องปฐพีขยับเปลือกตารับแสง สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานสีขาว มันไม่ใช่ภาพเพดานสูงโปร่งกับคานไม้ใหญ่พาดเหนือหัวเหมือนที่เห็นทุกครั้งที่ลืมตาตื่น ความรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อยังคงเหลือค้างตามร่างกาย ชายหนุ่มใช้แขนทั้งสองเพื่อดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง
“อยู่นิ่งๆสิ !”
เขาได้ยินเสียงดุของใครบางคนดังขึ้นพร้อมกับการถูกรั้งข้อมือไว้ด้วยอะไรสักอย่าง
“จริงๆเลยคุณนี่นะ ปล่อยให้ยุงกัดจนเป็นโรค เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า ไม่รู้จักระวังร่างกาย” เสียงใครบางคนกำลังบ่น และเป็นเสียงบ่นที่คุ้นหูมากเสียด้วย ก้องปฐพีหันไปมองหญิงสาวที่ปากเธอขยับไม่หยุดพอๆกับมือที่ขยับแกะพลาสเตอร์และถอนปลายเข็มออกจากหลังมือผู้ป่วย เธอย่นคิวส่งสายดุให้เขาเป็นครั้งคราวจนดึงเข็มออกจากเส้นเลือดหลังมือแล้วปิดทับด้วยพาสเตอร์ยา
“ผมเป็นอะไรหรือครับ” เขาถามพลางมองเธอเข็นเสาห้อยขวดน้ำเกลือที่เหลือแต่ขวดเปล่าให้ห่างออกจากเตียง
“คุณเป็น...โรคดันทุรังระยะแรก มีภาวะอวดดี ขี้แกล้ง ยุแหย่ยั่วอารมณ์แทรกซ้อน และอาจมีอาการปากหมาขั้นโคม่าร่วมด้วย”
มันเป็นคำวินิจฉัยโรคที่แปลกประหลาดไปนิด “อาการแย่ขนาดนั้นคงรักษายังไงก็หาย เพราะมันอาจกลายเป็นโรคประจำตัว” เขาโต้ตอบเธอทั้งที่เพิ่งสร้างไข้ “แล้วผมคงจะตายด้วยโรคนี้”
“งั้นฉันจะกรวดน้ำ...”
“ดีจังที่คุณจะทำบุญให้ผม” เขารีบบอกเธออย่างชื่นชม
“...คว่ำขัน” เธอต่อประโยคที่ยังไม่จบ
“ให้ตายเถอะคุณไหม...”
“ฉันยังไม่อนุญาตให้คุณตาย”
เขาหรี่ตามองเธอที่ตั้งหน้าตั้งตาต่อล้อต่อเถียงเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ตอนนี้เขาไม่มีแรงพอที่จะเป็นคู่ตีฝีปากกับเธอ อาการปวดเมื่อยตามแขนขาและอาการมึนหัวยังไม่หายดี ถ้าพูดอะไรไปมากเกรงว่าจะเสียพลังงานไปเปล่าๆ เมื่อเขาไม่โต้ตอบ ทุกอย่างในห้องสีขาวห้องนี้ก็เงียบสนิท ชายหนุ่มหลับตาลง ภาพของแม่ที่อยู่ในความฝันยังไม่จางหาย กี่ครั้งแล้วที่เขาฝันถึงมืออันนุ่มนวลและอบอุ่นของมารดา
แต่ความเงียบที่มีการตอบโต้ของเขาทำให้เธอประหลาดใจไหมแก้วใช้หลังมือองเธอแตะที่หน้าผากชายคนป่วย
“ไข้ก็ไม่มีนี่นา”
ก้องปฐพีลืมตาอีกครั้งมองคุณหมอสาวที่ทำตามหน้าที่ของเธอ สัมผัสของคุณหมอช่างอ่อนโยนนักจนเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ถ้าหากเธอไม่ใช่หมอเธอจะทำแบบนี้กับเขาหรือเปล่านะ แต่อย่าไปคิดหาคำตอบให้ปวดหัว เขาหลับตาลิ้มรสความอบอุ่นมือทิพย์ที่ไล่แตะตามคอและหน้าอก มันทำให้เขารู้สึกกลับมามีพลังอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ความอุ่นของมือเธอไปแตะต่อมเพิ่มอุณหภูมิร่างกายของเขาหรืออย่างไรเพราะมันทำให้เขารู้สึกร้อนวูบวาบแปลกๆ ความร้อนของร่างกายเขาที่เพิ่มขึ้นทำให้ไหมแก้วรีบคว้าหูฟังที่ยืมพยาบาลไว้สวมแล้วตรวจการเต้นของหัวใจและลมหายใจเข้าออกของชายหนุ่ม
“หัวใจของคุณยังเต้นเร็วอยู่นะคะ” เธอบอกอาการของเขาจากเสียงจังหวะเต้นของหัวใจที่ได้ยิน
“ผมก็รู้สึกได้” เขามองหน้าหญิงสาวที่มีสีหน้ากังวลจนเห็นได้ชัดเจน ไหมแก้วละสายตาจากชายหนุ่มแล้วยกหูโทรศัพท์
“คุณหมอมั่นใจนะคะว่าไม่มีอาการแทรกซ้อน” ไหมแก้วไม่แน่ใจว่าเธออ่านผลการตรวจผิดหรือไม่ คุณหมอสาวตัดสินใจที่ยืนยันผลการตรวจอีกครั้งจากคุณหมอผู้รับผิดชอบ และถึงแม้คำตอบจะยืนยันผลตรวจเดิมที่แน่นอนก็ตาม แต่ก็ยังไม่ทำให้เธอสบายใจ
“คุณติดเชื้อมาลาเลีย Plasmo falciparum เป็นแบบที่อาจมีภาวะแทรกซ้อน ฉันคงต้องเฝ้าอาการคุณตลอดเวลา”
“ฟังดูร้ายแรงจัง แล้วผมจะตายหรือเปล่าครับ” เขาถามเพื่อความแน่ใจ แต่ถ้าตายในมือเธอแบบเมื่อกี้ก็พอยอมรับ
“อย่าสำออยค่ะ ฉันบอกแล้วไงคะว่า ถ้าฉันยังไม่อนุญาตให้คุณตาย คุณก็ห้ามตาย คุณต้องอยู่จนทำงานให้ฉันเสร็จ” เธอเอาหูฟังออก มองริมฝีปากคนไข้ที่แห้งผากจนเห็นรอยแตก ไหมแก้วรินน้ำใส่แก้วยื่นให้เขาดื่มเติมน้ำให้ร่างกายหลังผ่านคืนที่ไข้ขึ้นสูง
ก้องปฐพีมองแก้วน้ำใสในมือของคุณหมอสาวปากคม เขายื่นมือไปรับแต่ไม่ได้รับแก้วแต่กลับกุมมือเธอเอาไว้ทั้งที่แก้วยังอยู่ในมือของเธอ เขายกขึ้นดื่มโดยส่งสายตามองหญิงสาวเจ้าของน้ำใจในแก้วใส ไหมแก้วรู้สึกร้อนวูบทั้งที่มือและที่ใบหน้า เธอพยายามทำตาดุใส่แต่เขาไม่มีทีท่าจะกลัวเลยสักนิด ก้องปฐพีค่อยๆจิบน้ำจากปากแก้วอย่างช้าๆ และเนิ่นนานจนหยุดสุดท้ายของก้นแก้ว
“ขอบคุณครับสำหรับน้ำใจ” ทันทีที่เขาปล่อยมือ เธอก็ชักมือกลับทันที
“ขออนุญาตค่า” เสียงเคาะปะตูตามด้วยเสียงใสของพยาบาล เธอมาพร้อมกระละมังในมือและแก้วใส่ยาเม็ดใบเล็ก
“ขอเช็ดตัวคนไข้นะคะ” พยาบาลหญิงพูดพร้อมดึงม่านรอบเตียงปิดบังคนไข้หนุ่มแยกจากคุณหมอ ก้องยังมองเธอไม่วางตาจนร่างของไหมแก้วถูกบดบังหายไปด้วยผ้าม่าน
“ผมมีสิทธิ์เลือกผู้ให้บริการหรือเปล่าครับ” คนไข้หนุ่มถามคุณพยาบาลที่ส่งยิ้มกว้างให้เขาเมื่อเธอปิดผ้าม่านจนมิดชิด
“แหมคุณคะที่นี่โรงพยาบาลรัฐนะคะ ไม่ใช่เอกชน” เธอยิ้มขำกับคำถามขี้เล่นของเขา
“ถ้าอย่างนั้นผมไม่เช็ดตัว”
แต่เขาไม่ได้เล่น แถมยังดูหน้าตาจริงจังเสียด้วยสิ พยาบาลสาวทำหน้าไม่ถูกกับคนไข้ชายรายนี้ “แต่คุณต้องเช็ดตัวนะคะ แล้วจะได้ทานยาตามเวลาด้วย”
“ก็ผมไม่อยากเช็ดนี่นา”
“ไม่ได้ค่ะ ยังไงคุณก็ต้องเช็ด” พยาบาลสาวยังไม่ยอมละทิ้งหน้าที่ของเธอไปง่ายๆ
“ผมไม่เช็ด” เขาก็ยังคงยืนยันคำเดิม
“ทำไมคุณถึงไม่ยอมเช็ด!” ไหมแก้วที่ฟังอยู่ด้านนอกเปิดผ้าม่านออกถามด้วยความหงุดหงิด
“ก็ผมอยากให้คุณเช็ด !”