ย้อนอ่านบทก่อนหน้า
บทที่ 3
ความลับ
( Secrecy )
เมื่อชีวิตหนึ่งได้เริ่มต้นขึ้น และพร้อมที่จะออกเดินทางสู่การผจญภัยครั้งใหม่ อีกชีวิตหนึ่งก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่แบบเดิมๆ ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเช่นเดิมอยู่อย่างนั้นมาหลายครั้งหลายครา เหมือนกับว่าชีวิตของเธอผู้นั้นได้ผูกติดอยู่กับมันอย่างไม่มีวันได้ถอนตัว แม้ว่าคนภายนอกที่ได้เห็น อาจจะบอกว่ามันเป็นชีวิตที่ดูน่าเบื่อและซ้ำซาก แต่เธอกลับพึงใจในวิถีชีวิตแบบนั้น มีความสุขกับการที่ได้ทำในสิ่งที่ตนรัก และคิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปตราบที่ร่างกายจะสิ้นลม
“ โอเค!! เอาเป็นว่า เขารับเธอเข้าทำงานแล้วใช่ไหม ? ” สาวผิวเหลืองในชุดสีชมพูสดใสวัยสามสิบ ดูท่าทางคล่องแคล่วว่องไว กำลังพูดโทรศัพท์กับเพื่อนสาวสุดซี้ที่เพิ่งได้งานใหม่มาหมาดๆ เธอพยายามเอาโทรศัพท์ห่างๆ หูไว้ เพราะเสียงกรีดร้องที่แสดงออกถึงความดีใจจากเพื่อนในสายค่อนข้างดังมาก
“ ใช่ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ...ฉันดีใจมาก ดีใจที่สุดเลย!! ” เพื่อนสนิทของเธอร้องออกมาด้วยความเปรมปรีดิ์ หญิงสาวรู้ดีว่าความฝันที่เพื่อนของเธอรอคอยได้เป็นจริงแล้ว
“ อืม...โอเค เลี้ยงฉลองเลยไหม ? มาที่ร้านฉันสิ ฉันจะเลี้ยงคัพเค้กฟรีสิบชิ้น ” เธอชวน
“ ไม่เป็นไรจ้ะ...ขอบคุณมาก...ช่วงนี้ฉันยังไม่อยากอ้วน!! ว่าแต่ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนเนี่ย ? ” หญิงสาวในสายถาม
“ ฉันยังอยู่บ้านอยู่เลย กำลังรอคุณสามีแต่งตัวออกไปทำงาน!! ” หญิงสาวอธิบาย พลางมองดูคู่ชีวิตที่กำลังแต่งตัวอยู่ในห้องผ่านประตูกระจกสีขาวโปร่งแสงที่ปิดสนิทอยู่ เธอจึงสามารถมองเห็นเขาแค่เพียงเงาลางๆ เท่านั้น
“ เฮ้ย!! นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ ทำไมเขาไปทำงานสายจัง ? ” เพื่อนของเธอสงสัย
“ เมื่อวานเขามีนัดกินเลี้ยงกับลูกค้าต่างชาติน่ะ...กลับดึก!! ก็เลยเข้าบ่าย เธอเองก็อย่าลืมหาอะไรทานด้วยล่ะ...จะเที่ยงแล้ว ” หญิงสาวแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใย
“ ค่าาาา คุณแม่!!...เธอเองก็ด้วยล่ะ ” เพื่อนในสายลากเสียง
“ แนน!! ลูกร้องใหญ่แล้ว มาดูลูกหน่อยเร็ว!! ” เสียงสามีร้องเรียกให้เธอเข้ามาในห้อง เพื่อดูลูกน้อยที่ร้องโยเย
“ ค่ะ!! สักครู่ค่ะ...เจี๊ยบแค่นี้ก่อนนะ!! ” หญิงสาวตอบรับเขาด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าว และรีบกล่าวลาเพื่อนในสาย
เธอเดินตรงไปที่ประตูกระจก แล้วเลื่อนบานประตูด้านหนึ่งเพื่อเปิดออก เผยให้เห็นชายผิวขาวรูปร่างผอมกำลังติดกระดุมแขนเสื้ออยู่ เขาจ้องมองมาที่เธออย่างตำหนิ หนำซ้ำจมูกที่ยาวงองุ้มราวกับจะงอยปากของเหยี่ยว ทำให้ดูคล้ายกับว่าเหยี่ยวตัวนี้กำลังจ้องจะเล่นงานเหยื่อ ซึ่งเหยื่อก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือ เธอ ผู้เป็นภรรยาของเขา
“ มัวแต่คุยโทรศัพท์อยู่นั่นแหละ ไม่เห็นหรือไงว่าลูกร้องใหญ่แล้ว!! ” สามีทำเสียงแข็ง
“ คุณเองก็แต่งตัวอยู่ในห้อง ทำไมไม่เดินมาปลอบลูกล่ะ ?!! ” ภรรยาสวนกลับ พลางเดินเข้าไปอุ้มลูกน้อยขึ้นจากเปล
“ ก็หน้าที่เลี้ยงลูกมันเป็นหน้าที่คุณนี่!! คุณเป็นแม่คุณก็ต้องเอาใจใส่ดูแลสิ!! ” เขาตวาด
“ นี่คุณโชติ!!! หน้าที่เลี้ยงลูก มันเป็นหน้าที่ของแม่อย่างเดียวเหรอไง พ่ออย่างคุณก็หัดรับผิดชอบเสียบ้างสิ!! นี่อะไร...จะปัดความรับผิดชอบท่าเดียว ไม่เห็นใจกันบ้างเลย ฉันเองก็เหนื่อยเป็นนะ!! ” เธอเถียงกลับพลางเอามือลูบหลังลูกน้อยไปมาเพื่อให้หยุดร้อง
“ เหนื่อยเหรอ ?? พูดมาได้ว่าเหนื่อย...ผมเห็นวันๆ คุณแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ตื่นเช้ามาก็ไปร้านเค้ก เค้กก็ไม่ได้ทำเองด้วยซ้ำ แค่ไปนั่งคิดเงินเฉยๆ เหนื่อยตรงไหน ?!! ” ชายหนุ่มถลึงตาด้วยความไม่พอใจ
“ แล้วจะให้ใครทำ เด็กในร้านต่างก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองทั้งนั้น ฉันเองก็ว่างพอที่จะเข้าไปดูแลร้าน และอีกอย่าง...ร้านนั้นก็เป็นร้านของฉัน เงินของฉันเอง ฉันไม่ได้ไปขอกู้ยืมเงินใครมาเปิดร้านสักหน่อย แม้แต่เงินของคุณก็เถอะ!! ” เธอว่า
สิ้นเสียงของหญิงสาวที่พูดจากระแทก-ดันนั้น ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการทะเลาะวิวาทระหว่างสามีและภรรยา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น แต่กลับเป็นหลายๆ ครั้ง นับตั้งแต่ที่คนทั้งคู่ได้เริ่มต้นใช้ชีวิตครอบครัว และมีเจ้าตัวน้อยเป็นโซ่ทองคล้องใจ ทว่าโซ่นั้นก็ดูราวกับเป็นโซ่ที่ผูกรั้งทั้งคู่เอาไว้ ภายใต้กรอบที่มีชื่อว่า ความรับผิดชอบ
หลังจากที่พายุอารมณ์ได้สงบลง เสียงลูกน้อยที่ร้องไห้แข่งกับเสียงลมกรรโชกก็ได้สงบตาม เด็กน้อยนอนหลับไปพร้อมกับคราบน้ำตาที่แก้ม ไม่ต่างจากมารดาของเขาที่กลั้นใจไม่ให้สะอึกสะอื้น แต่กลับไม่อาจกลั้นน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาได้
“ ผมไม่อยากจะเสียเวลามาทะเลาะกับคุณหรอกนะแนน...ผมมีงานต้องทำ ” สามีร้องบอกขณะที่หยิบสูทออกมาจากตู้
“ ฉันก็ไม่ได้รั้งคุณไว้นี่คะ...ฉันเองก็จะรีบไปดูร้านเหมือนกัน ” เธอหันหลังพลางข่มน้ำเสียงไม่ให้สะอื้นไปมากกว่านี้
เขาเหลือบมองดูเธอ และทำทีว่าจะเข้าไปปลอบเหมือนอย่างเคย แต่ครั้งนี้กลับเปลี่ยนใจ แล้วรีบเดินออกจากห้องเพื่อไปขึ้นรถที่จอดไว้หน้าบ้าน เขาขับมันออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งตรงไปยังบริษัท
นันทวดี มองดูสามีที่ขับรถออกไป ก่อนที่จะร้องเรียกแม่บ้านให้ขึ้นมาช่วยดูแลลูกน้อย เพื่อที่เธอจะได้ไปอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าไปทำงานยังร้านขายคัพเค้ก
หญิงสาวเปิดฝักบัวแล้วถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะเอาหน้ายื่นเข้าไปรองรับสายน้ำที่กำลังโปรยปราย เพื่อที่จะได้ชำระคราบน้ำตาจากความทุกข์ระทม อันเนื่องมาจากปัญหาชีวิตหลังแต่งงานที่คอยบั่นทอนจิตใจวันละไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ เธอรู้สึกเบื่อหน่ายในสิ่งที่เกิดขึ้น พลางเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ว่า เพราะเหตุใดชีวิตคู่ของเธอถึงเกือบล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอ เป็นเพราะเขา หรือเป็นเพราะเราทั้งคู่ที่ทำให้มันย่ำแย่
ชีวิตสมบูรณ์แบบที่เหล่าเพื่อนๆ ของเธอเคยอิจฉากัน มันเริ่มจะกลายเป็นภาพอดีตไปแล้ว ก่อนหน้านี้นันทวดีคือ ผู้หญิงต้นแบบที่ผู้หญิงด้วยกันหลายๆ คนฝันถึง และอยากจะเอาเป็นแบบอย่าง ทั้งชีวิตการงาน ชีวิตคู่ และความสำเร็จที่ตั้งใจ เธอได้มาแล้วทั้งสิ้น แต่ ณ ตอนนี้มันได้แปรเปลี่ยนไป เพียงเพราะกลายเป็นคำว่า ครอบครัว เพียงคำเดียว
เป็นธรรมชาติของสาววันอังคารอย่างนันทวดีที่ต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น และความพยายามทุกวิถีทาง เพื่อที่จะทำให้คนภายนอกรับรู้ว่า ชีวิตของเธอยังคงสมบูรณ์แบบให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยการเล่นละครตบตา หรือสร้างภาพใดๆ ก็ตาม แค่เพียงเพื่อให้ตนเองยังคงภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่โชคดีในสายตาของผู้หญิงด้วยกัน นอกจากนี้เธอยังดื้อรั้น ไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของใคร จึงเป็นการยากที่จะแก้ไขปัญหาครอบครัวให้ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง โดยที่เธอเชื่อมั่นเสมอว่า การเป็น ภรรยา ความอดทนในการประคับประคองชีวิตครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น และเป็นหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง
++++++++++++++++++++++++++++++
ทางด้าน โชติวุฒิ ผู้เป็นสามี ก็รู้ว่าต้นเหตุของการทะเลาะวิวาททุกครั้งล้วนมาจากตนทั้งสิ้น แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทิ้งนิสัยขี้โวยวายและความเอาแต่ใจลงได้ บางทีเขาเองก็ไม่เคยคิดที่จะปรับปรุงนิสัยแย่ๆ เหล่านี้ด้วยซ้ำ เพราะการที่เป็นหัวหน้าครอบครัวและผู้หาเลี้ยงคนในบ้าน ต้องทำให้เขาวางมาดเช่นนี้เอาไว้ หรือไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นเพราะชายหนุ่มเริ่มสนใจในสิ่งอื่นที่มีความรู้สึกว่าน่าพิสมัย และน่าลิ้มลองมากกว่าสิ่งที่ต้องพบเห็นอยู่ทุกวันจากในบ้านของตนเอง จนทำให้เขาเริ่มเบื่อและอยากแสวงหาสิ่งที่เย้ายวนกว่าตามสัญชาตญาณที่มีอยู่ในตัวของสัตว์เพศผู้
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วนำมาจ่อเข้าที่ปาก พลางเปล่งเสียงออกมาถึงบุคคลที่ต้องการจะโทรฯ หา
“ มิสเตอร์ หว่อง คอล ” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อนั้นออกมา แล้วโทรศัพท์ก็ทำการโทรฯ หาบุคคลผู้นั้นอย่างอัตโนมัติ
การโทรฯ ออกได้ถูกส่งไปยังเลขหมายปลายทาง เสียงเรียกเข้าจากมือถือผู้รับดังขึ้น มันแสดงถึงชื่อผู้ที่โทรฯ เข้า และรูปของเขาก็ปรากฏให้เห็นที่หน้าจอ เป็นสัญญาณให้สาวน้อยผิวสีเหลืองที่อยู่ในชุดเครื่องแบบนักศึกษากดรับสายเพื่อทำการสนทนากับผู้ที่โทรฯ เข้า เธอฉีกยิ้มอย่างปรีดาราวกับว่ากำลังเฝ้ารอเขาอยู่
“ สวัสดีค่ะคุณโชติ วาดดีใจจังเลยที่คุณโทรฯ มา ” สาวน้อยกล่าวทักทายอย่างดีใจ
“ ก็ผมคิดถึงวาดนี่ครับ...วาดล่ะ คิดถึงผมไหม ? ” เขาถามเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลต่างจากที่พูดกับภรรยา
“ คิดถึงสิคะ...เมื่อวานคุณไม่น่ารีบกลับเลย ” เธอบ่นเสียดาย
“ ก็ผมต้องทำงานแต่เช้านี่ครับ คุณเองก็ต้องเข้าใจผมนะ ” ชายหนุ่มใส่ลูกอ้อน
“ ค่ะ...วาดเข้าใจ เข้าใจว่างานของคุณสำคัญกว่าวาด ” สาวน้อยตัดพ้อ
“ โธ่!!...วาดครับ วาดก็ต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว แต่นี่มันเป็นหน้าที่ของผม ผมไม่สามารถที่จะทิ้งภาระหน้าที่เหล่านี้ได้ ” เขาอธิบาย
“ ค่ะๆ ๆ ๆ วาดผิดเองแหละ ” เธอทำเสียงอ่อน
“ นะครับ...คนดี อย่าดื้อสิ ” โชติวุฒิง้อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ ก็ได้ค่ะ...แต่วันนี้คุณต้องมาหาวาด และพาวาดไปทานข้าวด้วยนะคะ ” เธอเชิญชวน
“ ได้ครับ เดี๋ยวตอนเย็นคุณไปรอผมที่ห้องนะ ผมจะไปหา ” ชายหนุ่มนัดแนะ
“ ที่ห้อง!!...ที่ห้องตลอดเลย ทำไมคุณไม่มารับวาดที่มหาวิทยาลัยล่ะคะ วาดจะได้แนะนำคุณให้รู้จักกับเพื่อนๆ ของวาดด้วย!! ” สาวน้อยเริ่มหัวเสีย
“ กว่าผมจะไปหาคุณก็คงดึกแล้วล่ะครับ...ไม่เอานะวาด อย่างอนผมสิ ” โชติวุฒิง้อเธออีกครั้ง ซึ่งเขารู้ว่ามันต้องได้ผล
เธอถอนหายใจออกมาเมื่อรู้ว่ากำลังทำให้เขาลำบากใจ ก่อนที่จะตอบตกลงตามที่เขาต้องการ “ ก็ได้ค่ะ..ที่ห้องก็ที่ห้อง ”
“ ตกลงครับ...แล้วเจอกันนะ สวัสดีครับ ” ชายหนุ่มพูดจบก็กดปุ่มวางสายไป…
จะมีใครอีกไหมที่ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างเขา ชีวิตที่เป็นผู้นำไม่ต้องตามใคร มีแต่คนมาคอยตามเอาใจอยู่เสมอ โชติวุฒิฉีกยิ้มอย่างภาคภูมิใจให้กับความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ทั้งเรื่องการงาน เรื่องครอบครัว และแม้แต่เรื่องผู้หญิง ที่ดูเหมือนว่าเขากำลังทำคะแนนได้ดีเสียด้วย
ชีวิตคู่ลับๆ ของเขากับสาวนักศึกษาอย่าง วาดลัดดา ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อห้าเดือนก่อนตอนที่โชติวุฒิไปงานเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนๆ สมัยมัธยม ส่วนเธอก็ไปเป็นเด็กฝึกงานอยู่ในโรงแรมที่เขาใช้จัดเลี้ยง หลังจากนั้นต่อมาอีกสองอาทิตย์สาวน้อยก็ตกลงปลงใจที่จะคบกับชายหนุ่มโดยไม่ได้ระแคะระคายใดๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับตัวเขาเลย โดยเฉพาะเรื่องที่เขามีครอบครัวแล้ว วาดลัดดาเชื่อแค่ว่า โชติวุฒิเป็นนักธุรกิจหนุ่มโสดที่มีความรู้ความสามารถ และรักเธอจริง อย่างที่เขาก็ชอบพร่ำบอกกับเธออยู่ทุกวัน
นั่นอาจเป็นเพราะสมัยเด็กๆ ชีวิตของวาดลัดดาไม่เคยได้รับความรัก ความเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดาเลย เพราะเขาได้เสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเล็กๆ สาวน้อยจึงเติบโตมาด้วยความดูแลจากผู้เป็นแม่และพี่สาวเท่านั้น ครั้นเมื่อเธอได้รับความรักจากชายหนุ่มผู้มีฐานะและหน้าตาค่อนข้างดี จึงทำให้หญิงสาวเผลอไผลไปกับห้วงอารมณ์ และสุดท้ายก็ปล่อยตัวปล่อยใจให้แก่เขาในที่สุด
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาวาดลัดดาคิดอยู่เสมอว่า โชติวุฒิคือคนที่ใช่ แต่ในทางกลับกัน ชายหนุ่มคิดแค่ว่าเธอเป็นเพียงคนที่เขาเลือกมาหาเพื่อปลดปล่อย และคลายความตึงเครียดจากเรื่องงานและครอบครัวเท่านั้น เหมือนดังเช่นเมื่อวาน วันนี้ และวันต่อๆ ไป หากวันใดที่เขาเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย หรือมีสิ่งใหม่ๆ ที่ดูเร้าใจกว่าเข้ามา ชายหนุ่มก็คิดแค่ว่า จะผละจากเธอไปให้เร็วที่สุดก็เท่านั้น
++++++++++++++++++++++++++++++
วาดลัดดากดปุ่มวางสายด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เธอน้อยใจที่ชายคนรักให้ความสำคัญไม่มากเท่าที่ควร เพราะความรัก...ทำให้สาวน้อยไม่กล้าที่จะคิดว่าเขานอกใจ เธอกลัวการจากลา กลัวกับหลายๆ สิ่ง และหลายๆ อย่าง ที่คู่รักหลายๆ คู่ต้องเผชิญ หญิงสาวคิดเสมอว่าอาจเป็นเพราะเธอยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจคนวัยทำงานอย่างเขา มันจึงเกิดเป็นปัญหาช่องว่างระหว่างวัยขึ้น เธอจึงทำได้แค่ยอมรับฟังและปฏิบัติตาม เพื่อไม่ให้คนรักรู้สึกกับเธอไม่ดี และมาพาลอารมณ์เสียใส่จนกลายเป็นปัญหานำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งในภายหลัง
[นิยาย] ในดวงมาน...♡ #บทที่ 3
ความลับ
( Secrecy )
เมื่อชีวิตหนึ่งได้เริ่มต้นขึ้น และพร้อมที่จะออกเดินทางสู่การผจญภัยครั้งใหม่ อีกชีวิตหนึ่งก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่แบบเดิมๆ ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเช่นเดิมอยู่อย่างนั้นมาหลายครั้งหลายครา เหมือนกับว่าชีวิตของเธอผู้นั้นได้ผูกติดอยู่กับมันอย่างไม่มีวันได้ถอนตัว แม้ว่าคนภายนอกที่ได้เห็น อาจจะบอกว่ามันเป็นชีวิตที่ดูน่าเบื่อและซ้ำซาก แต่เธอกลับพึงใจในวิถีชีวิตแบบนั้น มีความสุขกับการที่ได้ทำในสิ่งที่ตนรัก และคิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปตราบที่ร่างกายจะสิ้นลม
“ โอเค!! เอาเป็นว่า เขารับเธอเข้าทำงานแล้วใช่ไหม ? ” สาวผิวเหลืองในชุดสีชมพูสดใสวัยสามสิบ ดูท่าทางคล่องแคล่วว่องไว กำลังพูดโทรศัพท์กับเพื่อนสาวสุดซี้ที่เพิ่งได้งานใหม่มาหมาดๆ เธอพยายามเอาโทรศัพท์ห่างๆ หูไว้ เพราะเสียงกรีดร้องที่แสดงออกถึงความดีใจจากเพื่อนในสายค่อนข้างดังมาก
“ ใช่ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ...ฉันดีใจมาก ดีใจที่สุดเลย!! ” เพื่อนสนิทของเธอร้องออกมาด้วยความเปรมปรีดิ์ หญิงสาวรู้ดีว่าความฝันที่เพื่อนของเธอรอคอยได้เป็นจริงแล้ว
“ อืม...โอเค เลี้ยงฉลองเลยไหม ? มาที่ร้านฉันสิ ฉันจะเลี้ยงคัพเค้กฟรีสิบชิ้น ” เธอชวน
“ ไม่เป็นไรจ้ะ...ขอบคุณมาก...ช่วงนี้ฉันยังไม่อยากอ้วน!! ว่าแต่ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนเนี่ย ? ” หญิงสาวในสายถาม
“ ฉันยังอยู่บ้านอยู่เลย กำลังรอคุณสามีแต่งตัวออกไปทำงาน!! ” หญิงสาวอธิบาย พลางมองดูคู่ชีวิตที่กำลังแต่งตัวอยู่ในห้องผ่านประตูกระจกสีขาวโปร่งแสงที่ปิดสนิทอยู่ เธอจึงสามารถมองเห็นเขาแค่เพียงเงาลางๆ เท่านั้น
“ เฮ้ย!! นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ ทำไมเขาไปทำงานสายจัง ? ” เพื่อนของเธอสงสัย
“ เมื่อวานเขามีนัดกินเลี้ยงกับลูกค้าต่างชาติน่ะ...กลับดึก!! ก็เลยเข้าบ่าย เธอเองก็อย่าลืมหาอะไรทานด้วยล่ะ...จะเที่ยงแล้ว ” หญิงสาวแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใย
“ ค่าาาา คุณแม่!!...เธอเองก็ด้วยล่ะ ” เพื่อนในสายลากเสียง
“ แนน!! ลูกร้องใหญ่แล้ว มาดูลูกหน่อยเร็ว!! ” เสียงสามีร้องเรียกให้เธอเข้ามาในห้อง เพื่อดูลูกน้อยที่ร้องโยเย
“ ค่ะ!! สักครู่ค่ะ...เจี๊ยบแค่นี้ก่อนนะ!! ” หญิงสาวตอบรับเขาด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าว และรีบกล่าวลาเพื่อนในสาย
เธอเดินตรงไปที่ประตูกระจก แล้วเลื่อนบานประตูด้านหนึ่งเพื่อเปิดออก เผยให้เห็นชายผิวขาวรูปร่างผอมกำลังติดกระดุมแขนเสื้ออยู่ เขาจ้องมองมาที่เธออย่างตำหนิ หนำซ้ำจมูกที่ยาวงองุ้มราวกับจะงอยปากของเหยี่ยว ทำให้ดูคล้ายกับว่าเหยี่ยวตัวนี้กำลังจ้องจะเล่นงานเหยื่อ ซึ่งเหยื่อก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือ เธอ ผู้เป็นภรรยาของเขา
“ มัวแต่คุยโทรศัพท์อยู่นั่นแหละ ไม่เห็นหรือไงว่าลูกร้องใหญ่แล้ว!! ” สามีทำเสียงแข็ง
“ คุณเองก็แต่งตัวอยู่ในห้อง ทำไมไม่เดินมาปลอบลูกล่ะ ?!! ” ภรรยาสวนกลับ พลางเดินเข้าไปอุ้มลูกน้อยขึ้นจากเปล
“ ก็หน้าที่เลี้ยงลูกมันเป็นหน้าที่คุณนี่!! คุณเป็นแม่คุณก็ต้องเอาใจใส่ดูแลสิ!! ” เขาตวาด
“ นี่คุณโชติ!!! หน้าที่เลี้ยงลูก มันเป็นหน้าที่ของแม่อย่างเดียวเหรอไง พ่ออย่างคุณก็หัดรับผิดชอบเสียบ้างสิ!! นี่อะไร...จะปัดความรับผิดชอบท่าเดียว ไม่เห็นใจกันบ้างเลย ฉันเองก็เหนื่อยเป็นนะ!! ” เธอเถียงกลับพลางเอามือลูบหลังลูกน้อยไปมาเพื่อให้หยุดร้อง
“ เหนื่อยเหรอ ?? พูดมาได้ว่าเหนื่อย...ผมเห็นวันๆ คุณแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ตื่นเช้ามาก็ไปร้านเค้ก เค้กก็ไม่ได้ทำเองด้วยซ้ำ แค่ไปนั่งคิดเงินเฉยๆ เหนื่อยตรงไหน ?!! ” ชายหนุ่มถลึงตาด้วยความไม่พอใจ
“ แล้วจะให้ใครทำ เด็กในร้านต่างก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองทั้งนั้น ฉันเองก็ว่างพอที่จะเข้าไปดูแลร้าน และอีกอย่าง...ร้านนั้นก็เป็นร้านของฉัน เงินของฉันเอง ฉันไม่ได้ไปขอกู้ยืมเงินใครมาเปิดร้านสักหน่อย แม้แต่เงินของคุณก็เถอะ!! ” เธอว่า
สิ้นเสียงของหญิงสาวที่พูดจากระแทก-ดันนั้น ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการทะเลาะวิวาทระหว่างสามีและภรรยา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น แต่กลับเป็นหลายๆ ครั้ง นับตั้งแต่ที่คนทั้งคู่ได้เริ่มต้นใช้ชีวิตครอบครัว และมีเจ้าตัวน้อยเป็นโซ่ทองคล้องใจ ทว่าโซ่นั้นก็ดูราวกับเป็นโซ่ที่ผูกรั้งทั้งคู่เอาไว้ ภายใต้กรอบที่มีชื่อว่า ความรับผิดชอบ
หลังจากที่พายุอารมณ์ได้สงบลง เสียงลูกน้อยที่ร้องไห้แข่งกับเสียงลมกรรโชกก็ได้สงบตาม เด็กน้อยนอนหลับไปพร้อมกับคราบน้ำตาที่แก้ม ไม่ต่างจากมารดาของเขาที่กลั้นใจไม่ให้สะอึกสะอื้น แต่กลับไม่อาจกลั้นน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาได้
“ ผมไม่อยากจะเสียเวลามาทะเลาะกับคุณหรอกนะแนน...ผมมีงานต้องทำ ” สามีร้องบอกขณะที่หยิบสูทออกมาจากตู้
“ ฉันก็ไม่ได้รั้งคุณไว้นี่คะ...ฉันเองก็จะรีบไปดูร้านเหมือนกัน ” เธอหันหลังพลางข่มน้ำเสียงไม่ให้สะอื้นไปมากกว่านี้
เขาเหลือบมองดูเธอ และทำทีว่าจะเข้าไปปลอบเหมือนอย่างเคย แต่ครั้งนี้กลับเปลี่ยนใจ แล้วรีบเดินออกจากห้องเพื่อไปขึ้นรถที่จอดไว้หน้าบ้าน เขาขับมันออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งตรงไปยังบริษัท
นันทวดี มองดูสามีที่ขับรถออกไป ก่อนที่จะร้องเรียกแม่บ้านให้ขึ้นมาช่วยดูแลลูกน้อย เพื่อที่เธอจะได้ไปอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าไปทำงานยังร้านขายคัพเค้ก
หญิงสาวเปิดฝักบัวแล้วถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะเอาหน้ายื่นเข้าไปรองรับสายน้ำที่กำลังโปรยปราย เพื่อที่จะได้ชำระคราบน้ำตาจากความทุกข์ระทม อันเนื่องมาจากปัญหาชีวิตหลังแต่งงานที่คอยบั่นทอนจิตใจวันละไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ เธอรู้สึกเบื่อหน่ายในสิ่งที่เกิดขึ้น พลางเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ว่า เพราะเหตุใดชีวิตคู่ของเธอถึงเกือบล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอ เป็นเพราะเขา หรือเป็นเพราะเราทั้งคู่ที่ทำให้มันย่ำแย่
ชีวิตสมบูรณ์แบบที่เหล่าเพื่อนๆ ของเธอเคยอิจฉากัน มันเริ่มจะกลายเป็นภาพอดีตไปแล้ว ก่อนหน้านี้นันทวดีคือ ผู้หญิงต้นแบบที่ผู้หญิงด้วยกันหลายๆ คนฝันถึง และอยากจะเอาเป็นแบบอย่าง ทั้งชีวิตการงาน ชีวิตคู่ และความสำเร็จที่ตั้งใจ เธอได้มาแล้วทั้งสิ้น แต่ ณ ตอนนี้มันได้แปรเปลี่ยนไป เพียงเพราะกลายเป็นคำว่า ครอบครัว เพียงคำเดียว
เป็นธรรมชาติของสาววันอังคารอย่างนันทวดีที่ต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น และความพยายามทุกวิถีทาง เพื่อที่จะทำให้คนภายนอกรับรู้ว่า ชีวิตของเธอยังคงสมบูรณ์แบบให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยการเล่นละครตบตา หรือสร้างภาพใดๆ ก็ตาม แค่เพียงเพื่อให้ตนเองยังคงภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่โชคดีในสายตาของผู้หญิงด้วยกัน นอกจากนี้เธอยังดื้อรั้น ไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของใคร จึงเป็นการยากที่จะแก้ไขปัญหาครอบครัวให้ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง โดยที่เธอเชื่อมั่นเสมอว่า การเป็น ภรรยา ความอดทนในการประคับประคองชีวิตครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น และเป็นหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง
ทางด้าน โชติวุฒิ ผู้เป็นสามี ก็รู้ว่าต้นเหตุของการทะเลาะวิวาททุกครั้งล้วนมาจากตนทั้งสิ้น แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทิ้งนิสัยขี้โวยวายและความเอาแต่ใจลงได้ บางทีเขาเองก็ไม่เคยคิดที่จะปรับปรุงนิสัยแย่ๆ เหล่านี้ด้วยซ้ำ เพราะการที่เป็นหัวหน้าครอบครัวและผู้หาเลี้ยงคนในบ้าน ต้องทำให้เขาวางมาดเช่นนี้เอาไว้ หรือไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นเพราะชายหนุ่มเริ่มสนใจในสิ่งอื่นที่มีความรู้สึกว่าน่าพิสมัย และน่าลิ้มลองมากกว่าสิ่งที่ต้องพบเห็นอยู่ทุกวันจากในบ้านของตนเอง จนทำให้เขาเริ่มเบื่อและอยากแสวงหาสิ่งที่เย้ายวนกว่าตามสัญชาตญาณที่มีอยู่ในตัวของสัตว์เพศผู้
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วนำมาจ่อเข้าที่ปาก พลางเปล่งเสียงออกมาถึงบุคคลที่ต้องการจะโทรฯ หา
“ มิสเตอร์ หว่อง คอล ” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อนั้นออกมา แล้วโทรศัพท์ก็ทำการโทรฯ หาบุคคลผู้นั้นอย่างอัตโนมัติ
การโทรฯ ออกได้ถูกส่งไปยังเลขหมายปลายทาง เสียงเรียกเข้าจากมือถือผู้รับดังขึ้น มันแสดงถึงชื่อผู้ที่โทรฯ เข้า และรูปของเขาก็ปรากฏให้เห็นที่หน้าจอ เป็นสัญญาณให้สาวน้อยผิวสีเหลืองที่อยู่ในชุดเครื่องแบบนักศึกษากดรับสายเพื่อทำการสนทนากับผู้ที่โทรฯ เข้า เธอฉีกยิ้มอย่างปรีดาราวกับว่ากำลังเฝ้ารอเขาอยู่
“ สวัสดีค่ะคุณโชติ วาดดีใจจังเลยที่คุณโทรฯ มา ” สาวน้อยกล่าวทักทายอย่างดีใจ
“ ก็ผมคิดถึงวาดนี่ครับ...วาดล่ะ คิดถึงผมไหม ? ” เขาถามเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลต่างจากที่พูดกับภรรยา
“ คิดถึงสิคะ...เมื่อวานคุณไม่น่ารีบกลับเลย ” เธอบ่นเสียดาย
“ ก็ผมต้องทำงานแต่เช้านี่ครับ คุณเองก็ต้องเข้าใจผมนะ ” ชายหนุ่มใส่ลูกอ้อน
“ ค่ะ...วาดเข้าใจ เข้าใจว่างานของคุณสำคัญกว่าวาด ” สาวน้อยตัดพ้อ
“ โธ่!!...วาดครับ วาดก็ต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว แต่นี่มันเป็นหน้าที่ของผม ผมไม่สามารถที่จะทิ้งภาระหน้าที่เหล่านี้ได้ ” เขาอธิบาย
“ ค่ะๆ ๆ ๆ วาดผิดเองแหละ ” เธอทำเสียงอ่อน
“ นะครับ...คนดี อย่าดื้อสิ ” โชติวุฒิง้อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ ก็ได้ค่ะ...แต่วันนี้คุณต้องมาหาวาด และพาวาดไปทานข้าวด้วยนะคะ ” เธอเชิญชวน
“ ได้ครับ เดี๋ยวตอนเย็นคุณไปรอผมที่ห้องนะ ผมจะไปหา ” ชายหนุ่มนัดแนะ
“ ที่ห้อง!!...ที่ห้องตลอดเลย ทำไมคุณไม่มารับวาดที่มหาวิทยาลัยล่ะคะ วาดจะได้แนะนำคุณให้รู้จักกับเพื่อนๆ ของวาดด้วย!! ” สาวน้อยเริ่มหัวเสีย
“ กว่าผมจะไปหาคุณก็คงดึกแล้วล่ะครับ...ไม่เอานะวาด อย่างอนผมสิ ” โชติวุฒิง้อเธออีกครั้ง ซึ่งเขารู้ว่ามันต้องได้ผล
เธอถอนหายใจออกมาเมื่อรู้ว่ากำลังทำให้เขาลำบากใจ ก่อนที่จะตอบตกลงตามที่เขาต้องการ “ ก็ได้ค่ะ..ที่ห้องก็ที่ห้อง ”
“ ตกลงครับ...แล้วเจอกันนะ สวัสดีครับ ” ชายหนุ่มพูดจบก็กดปุ่มวางสายไป…
จะมีใครอีกไหมที่ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างเขา ชีวิตที่เป็นผู้นำไม่ต้องตามใคร มีแต่คนมาคอยตามเอาใจอยู่เสมอ โชติวุฒิฉีกยิ้มอย่างภาคภูมิใจให้กับความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ทั้งเรื่องการงาน เรื่องครอบครัว และแม้แต่เรื่องผู้หญิง ที่ดูเหมือนว่าเขากำลังทำคะแนนได้ดีเสียด้วย
ชีวิตคู่ลับๆ ของเขากับสาวนักศึกษาอย่าง วาดลัดดา ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อห้าเดือนก่อนตอนที่โชติวุฒิไปงานเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนๆ สมัยมัธยม ส่วนเธอก็ไปเป็นเด็กฝึกงานอยู่ในโรงแรมที่เขาใช้จัดเลี้ยง หลังจากนั้นต่อมาอีกสองอาทิตย์สาวน้อยก็ตกลงปลงใจที่จะคบกับชายหนุ่มโดยไม่ได้ระแคะระคายใดๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับตัวเขาเลย โดยเฉพาะเรื่องที่เขามีครอบครัวแล้ว วาดลัดดาเชื่อแค่ว่า โชติวุฒิเป็นนักธุรกิจหนุ่มโสดที่มีความรู้ความสามารถ และรักเธอจริง อย่างที่เขาก็ชอบพร่ำบอกกับเธออยู่ทุกวัน
นั่นอาจเป็นเพราะสมัยเด็กๆ ชีวิตของวาดลัดดาไม่เคยได้รับความรัก ความเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดาเลย เพราะเขาได้เสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเล็กๆ สาวน้อยจึงเติบโตมาด้วยความดูแลจากผู้เป็นแม่และพี่สาวเท่านั้น ครั้นเมื่อเธอได้รับความรักจากชายหนุ่มผู้มีฐานะและหน้าตาค่อนข้างดี จึงทำให้หญิงสาวเผลอไผลไปกับห้วงอารมณ์ และสุดท้ายก็ปล่อยตัวปล่อยใจให้แก่เขาในที่สุด
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาวาดลัดดาคิดอยู่เสมอว่า โชติวุฒิคือคนที่ใช่ แต่ในทางกลับกัน ชายหนุ่มคิดแค่ว่าเธอเป็นเพียงคนที่เขาเลือกมาหาเพื่อปลดปล่อย และคลายความตึงเครียดจากเรื่องงานและครอบครัวเท่านั้น เหมือนดังเช่นเมื่อวาน วันนี้ และวันต่อๆ ไป หากวันใดที่เขาเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย หรือมีสิ่งใหม่ๆ ที่ดูเร้าใจกว่าเข้ามา ชายหนุ่มก็คิดแค่ว่า จะผละจากเธอไปให้เร็วที่สุดก็เท่านั้น
วาดลัดดากดปุ่มวางสายด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เธอน้อยใจที่ชายคนรักให้ความสำคัญไม่มากเท่าที่ควร เพราะความรัก...ทำให้สาวน้อยไม่กล้าที่จะคิดว่าเขานอกใจ เธอกลัวการจากลา กลัวกับหลายๆ สิ่ง และหลายๆ อย่าง ที่คู่รักหลายๆ คู่ต้องเผชิญ หญิงสาวคิดเสมอว่าอาจเป็นเพราะเธอยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจคนวัยทำงานอย่างเขา มันจึงเกิดเป็นปัญหาช่องว่างระหว่างวัยขึ้น เธอจึงทำได้แค่ยอมรับฟังและปฏิบัติตาม เพื่อไม่ให้คนรักรู้สึกกับเธอไม่ดี และมาพาลอารมณ์เสียใส่จนกลายเป็นปัญหานำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งในภายหลัง