สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ พันทิพ สืบเนื่องจาก กระทู้อันเก่าของหนู
http://pantip.com/topic/31943019 "ในวันที่หนูเรียนจบปริญญาเอก ที่อเมริกา... และมองกลับมา ถึงสิ่งที่หนูได้รับ.." หนูได้รับผลตอบรับที่ดีมากเลยค่ะ บางคนก็เตือน บางคนก็สอน บางคนให้กำลังใจ และอีกมากมายที่เข้ามาขอบคุณที่หนูได้สร้างแรงบันดาลใจให้เขา
วันนี้ หนูขอเล่าถึง "แรงบันดาลใจ" ของตัวหนูเองบ้างนะคะ
ปริญญาเอกนี้ ได้มา เพราะมี "รัก" กระทู้นี้ยาวหน่อยนะคะ แต่หนูเชื่อว่า มันจะมีอะไรดีๆ ให้ทุกคนประทับใจบ้างไม่มากก็น้อย ขอแท๊ก "ครอบครัว" ด้วยค่ะ เพื่อใครจะเอา คติของบ้านหนูไปเลี้ยงดูลูกหลานต่อไปนะคะ
รักที่ 1. รักของครอบครัว
คำว่า "ครอบครัว" ของหนู มันดูยิ่งใหญ่มากเลยค่ะ เพราะหนูเป็นหลานคนเดียวของตระกูล มีทั้งป้า อา ย่า พ่อ แม่ หลายๆ ท่านอาศัยอยู่ด้วยกัน โดยมีหนูเป็นแก้วตาดวงใจของบ้าน คุณพ่อคุณแม่หัวโบราณมากค่ะ ไม่ค่อยอนุญาตให้เดินนอกกรอบเท่าไหร่ สิ่งที่หนูใช้รับมือ ก็คือ "พิสูจน์" มันอาจจะใช้เวลานาน แต่สุดท้าย มันก็จะจบลงด้วยความประทับใจ ตัวอย่างเช่น ที่บ้านไม่อนุญาติให้กลับบ้านหลัง 4 ทุ่ม ใช่ค่ะ ทุกวันนี้เป็น ดร. ก็ต้องกลับบ้านก่อน 4 ทุ่ม ตลกมั้ย หนูก็ยิ้มรับ และเข้าใจว่า เพราะพวกท่านเป็นห่วง แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ หนูก็จะอ้างว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา หนูพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หนูไม่นอกลู่นอกทาง เพราะฉะนั้น ถ้าหนูขอ คือ หนูคิดไตร่ตรองแล้วว่า หนูอยากกลับดึกจริงๆ ท่านก็จะอนุญาติค่ะ อีกเหตุผลที่ไม่อยากกลับบ้านดึก ก็เพราะว่า คุณพ่อเป็นหมอ แล้วเขาจะนอนไม่หลับเลย ถ้าลูกสาวยังไม่ถึงบ้าน หนูก็จะกังวลกลัวคุณพ่อนอนน้อย จะส่งผลเสียต่องาน
ขอพูดถึงคุณพ่อนิดนึงนะคะ คุณย่า เลี้ยงดูลูก 7 คน ด้วยลำพัง ฐานะลำบากค่ะ พ่อเป็นลูกคนที่ 5 แต่ถือว่าเป็นพี่ชายคนโต พ่อนับถือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก มากๆ คุณพ่อเลยทำงานเป็นหมอให้กับรัฐบาลมาโดยตลอด ยังจำข้อความที่คุณอาเขียนทิ้งไว้ให้ ตอนหนูไปเหยียบอเมริกาวันแรกว่า
"พ่อของเรา เกิดมาเป็นหมอ เพื่อดูแลคนป่วย เป็นคนช่วยเหลือสังคม อาจจะไม่ได้มีเงินมากพอให้แป้งได้ใช้อย่างสุขสบายมากนัก แต่ขอให้แป้งภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อ ใช้จ่ายให้ประหยัด และตั้งใจเรียนนะ" สิ่งเหล่านี้ หล่อหลอมหนูมาตั้งแต่เด็ก ให้หนูเป็นคนเผื่อแผ่ คุณแม่พูดเสมอว่า "
คุณค่าของเรา คือการที่เรา ได้ทำอะไรมีประโยชน์ต่อผู้อื่น" พ่อสำเร็จได้ทั้งๆ ที่พ่อลำบากมาก หนูเกิดมามีพร้อมกว่าพ่อ เวลาที่หนูเหนื่อยยาก ลำบากใจ ต้องอดทนต่ออุปสรรค หนูจะนึกถึงพ่อ เห็นพ่อเป็นตัวอย่างเสมอค่ะ
ขอเนื้อที่ตรงนี้นิดนึงกล่าวถึงคุณย่านะคะ ย่าเป็นคนเลี้ยงดูหนูมา และท่านรอคอยความสำเร็จของหนูตลอดเวลา หนูอยากบอกว่าหนูรักย่า อีกไม่นาน เราจะกลับไปอยู่ด้วยกันแล้ว อีกท่านคือแม่ สตรีที่งามทั้งกิริยา วาจา ใจ แม่พยายามสอนให้หนูเป็นกุลสตรี เป็นแม่บ้านแม่เรือน มาเสมอ หนูอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าแม่ แต่พอหนูได้มาใช้ชีวิตคนเดียวที่อเมริกา ก็พบว่า งานบ้านงานเรือน เป็นอีกปริญญานึง ที่สำคัญในชีวิตจริงๆ ค่ะ ที่ขาดไม่ได้ก็คือ คุณอา คุณป้า ที่ปกป้อง และเข้าใจหนูเสมอ อาๆ ป้าๆ จะหัวสมัยใหม่มากกว่าพ่อแม่ ท่านก็จะยอมรับฟังความคิดของหนู เวลาที่หนูอยากทำอะไรนอกกรอบ
"รัก" ของครอบครัว ทำให้หนูอยากดีขึ้นๆ เพื่อให้ทุกคนภูมิใจค่ะ
นี้คือรูปของครอบครัวเรา ตอนที่หนู รับปริญญาเอกนะคะ อีกรูปเป็นรูปที่หนูตัดมาจากคลิป ตอนที่หนูกราบขอบพระคุณพ่อแม่ หลังจากหนูรับปริญญาออกมาจากหอประชุม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รักที่ 2. รักในหน้าที่ของตัวเอง
ตั้งแต่เล็กจนโต หน้าที่เดียวที่หนูได้รับ คือ การเป็น "นักเรียนที่ดี" เพราะงั้น หนูก็จะพยายามรักษาหน้าที่นี้ไว้ให้ดีเป็นหลัก หน้าที่อื่นๆ ก็มาบ้าง เช่น เป็นติวเตอร์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นลูกน้องที่ดี เป็นนักเขียนที่ดี ตอนนี้ที่เป็นอยู่ก็คือ เป็นนักวิชาการที่ดีค่ะ ถ้าเรารักในหน้าที่ตัวเอง งานของเราที่ออกมา ต่อให้มันไม่สมบูรณ์ถูกใจใคร อย่างน้อยเราก็ภูมิใจไปกับสิ่งที่เราทำ เมื่อเราได้ทำเต็มที่ หนูเคยมีความรู้สึก "
เสียดายนะ .. น่าจะอย่างนั้น อย่างนี้" หลังจากนั้น ก็เปลี่ยนตัวเองใหม่ อย่าเสียดาย ทำให้เป็นเต็มที่ซะตอนนี้ แล้วเปลี่ยนใหม่เป็น
"โอ้ เสร็จแล้ว ดีใจจังเลย" ดีกว่าค่ะ หนูเองก็เคยทำงานที่หนูไม่ชอบไม่ถนัด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เคยเสริฟอาหาร ตอนนั้นได้แต่ หายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกตัวเองว่า มันคือสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบนะ ตอนนี้ต้องสวมบทบาทนี้ และต้องทำออกมาให้ดีให้ได้ บางครั้งสิ่งตอบแทนที่ได้รับ มันไม่ได้ออกมาเป็นตัวเลข เงินทอง แต่มันจะเป็นประสบการณ์ของเรา เปรียบเสมือนมีด ที่ถูกลับคม สะสมไปเรื่อยๆ เหมือนการออมเงิน เรามักจะได้ยินประโยคที่ว่า "
แก่ขึ้น โตขึ้น" ไม่มีใครย้อนเวลาได้ เพราะฉะนั้น เราต้องรักให้หน้าที่ของตัวเอง และทำให้ดี ไม่ว่าหน้าที่นั้น เราจะชอบหรือไม่ก็ตาม
หนูไม่เคยปฎิเสธโอกาสที่หนูได้รับจากอาจารย์เลยค่ะ บางครั้งก็รู้ว่ามันต้องใช้เวลาศึกษานาน บางทีต้องใช้โปรแกรมใหม่ๆ ที่หนูไม่รู้จัก แต่หนูจะมองว่า มันคือหน้าที่ และอาจารย์เห็นความสามารถของเรา แสดงว่า
"เราทำได้ และเราต้องทำให้ได้"
รักที่ 3. รักที่จะเรียนรู้ และไม่กลัวต่ออุปสรรค
ถ้าใครคิดว่า หนูเป็นนักวิชาการที่สนใจแต่เรื่องเรียน หัวฟู ชีวิตมีแต่เรื่องเรียน คุณคิดผิดค่ะ หนูเป็นนักท่องเที่ยว ที่แบกเป้เที่ยว(คนเดียวซะส่วนใหญ่)มาแล้ว 30 ประเทศ ทุกครั้งที่เดินทาง หนูได้เรียนรู้ชีวิตใหม่ๆ เจอคนใหม่ๆ ทุกสถานการณ์สอนให้หนูรู้จักเอาตัวรอด เข้มแข็ง ยืนและเดินด้วยขาของตัวเอง เปิดใจ และเรียนรู้ไปกับวัฒนธรรมใหม่ๆ (อาหารใหม่ๆ ด้วยค่ะ) แล้วเราจะรู้จักตัวเองมากขึ้นค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขอแทรกนิดนึง ว่าหนูมี เพจส่วนตัวเกี่ยวกับการออกค่ายอาสา ถ้าใครสนใจ หลังไมค์มาถามได้นะคะ ปลายปีนี้ หนูจะจัดกิจกรรมสอนหนังสือเด็กๆ ด้วยค่ะ แต่บอกก่อนเลยว่า ที่ๆ จะไป กันดารนะ ไม่มีไฟฟ้าใช้นะคะ
นิสัยเสียของตัวหนูเองอีกเรื่องคือ ขี้เบื่อมาก ถึงมากที่สุด ไม่ชอบอยู่นิ่งๆ โดยไม่ได้ขยับร่างกาย หรือใช้ความคิด กิจกรรมหนูเยอะมากค่ะ ตอนนี้กำลังอินกับการออกกำลังกาย มีวินัยในการทานอาหาร เวลาว่างก็ทำอะไรเยอะแยะมากเลย ตั้งแต่ ทำอาหาร ทำขนม เล่นดนตรี กีฬา ขี่ม้า บลาบลา สิ่งเดียวที่ไม่ถนัดคือวาดรูป แต่ก็ไม่กลัวที่จะวาดนะคะ ต่อให้เป็นสิ่งที่เราไม่ถนัด เราก็ต้องเรียนรู้มัน เพื่อให้รู้ว่าทำไมเราถึงไม่ถนัด ถ้าเราไม่เจออุปสรรค เราก็จะไม่ได้พัฒนาตัวเอง ต่อให้บางครั้งหนูร้องไห้ (ร้องบ่อยด้วย) แต่หนูจะยิ้มสะใจทุกครั้งที่หนูหยุดร้องไห้ ยิ่งอุปสรรคใหญ่ แล้วเราผ่านมันมาได้ เรายิ่งได้ลับคมตัวเอง ให้แข็งแกร่งมากขึ้น
ถ้าใครอ่านกระทู้ก่อนของหนู จะทราบว่าหนูเคยอาการหนักมาก คือร้องไห้ต่อหน้าที่ประชุมตอนที่ท้อมากขณะเรียนปริญญาเอก สิ่งที่ทำให้ผ่านมาได้ เพราะหนูมองว่ามันคืออุปสรรค ที่ท้าทาย เรียนรู้ และเดินหน้าไปให้ได้ วันนั้นหนูเข้าร้านอาหารบุฟเฟต์จีน กินๆๆๆ มันเข้าไป แล้วจบด้วย ไอศรีมอร่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ แล้วสู้ต่อไปค่ะ
ในเมื่อโลกมันยังหมุนไป และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ตัวเราเองก็ต้องเรียนรู้โลกไปเรื่อยๆ หนูคิดว่าหนูไม่ใช่คนเก่งนะคะ แล้วก็รู้สึกอายทุกครั้งที่มีคนชมว่า
"เก่ง" [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หนูไม่อยากให้ใครเรียกหนูว่า ดร.ด้วย อยากเป็นแค่หนูน้อยมากกว่า เพราะหนูก็ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่เดินไปพร้อมกับสังคม มีอะไรที่หนูไม่รู้อีกเยอะค่ะ เพราะหนูรักที่จะเรียนรู้ และไม่กลัวอุปสรรค
รักที่ 4. รักจากกำลังใจ และรักที่จะเป็นแรงบันดาลใจ
เราเป็นสัตว์สังคม และหนูก็โชคดีมาก ที่มีเพื่อนๆ พี่ๆ ดีๆ คอยให้กำลังใจเสมอมาค่ะ คำพูดว่า
"สู้ๆ นะ" มันอาจจะดูเล็กน้อยสำหรับคนพูด แต่มันยิ่งใหญ่สำหรับคนฟัง ทุกกำลังใจที่ได้รับ เป็นแรงผลักดันให้หนูเดินหน้าได้สำเร็จ นอกไปกว่านั้น ยังมีคนอีกไม่น้อย ที่เห็นหนูเป็นแบบอย่าง หนูก็จะรู้สึกอยากทำให้ดี เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขา ถ้าเราถอย มันอาจจะไม่ใช่เราคนเดียวที่ถอย แต่มีอีกหลายคนที่เห็นเราเป็นแบบอย่าง เขาก็จะถอยไปด้วย
รักสุดท้าย รักในอนาคต
ทุกคนมีความฝัน มีเป้าหมายในชีวิตใช่มั้ยคะ หนูไม่อายเลยที่จะบอกว่า ความฝันของหนูคือ การเป็นแม่ที่ดี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้และภรรยาที่ดีด้วย อย่างที่บอกไปข้างต้น แม่หนูสอนหนูมาให้เป็นกลุสตรี หนูยังได้มาไม่เท่าครึ่งของคุณแม่เลย หรือแม้แต่ความเก่ง หนูเองก็คิดว่าหนูไม่เก่งเท่าคุณพ่อ หนูรู้สึกตลอดเวลาว่า หนูมีคุณพ่อคุณแม่และครอบครัวปกป้องหนูเสมอ เพราะงั้นมองกลับลงมา เมื่อหนูมีลูก หนูก็อยากจะเป็นบุพการี ที่ปกป้องลูกได้ พร้อมจะเป็นกำลังใจ ที่ปรึกษา และที่พักพิงให้เขา เวลาที่ท้อ หรืออยากออกนอกลู่นอกทาง หนูจะดูรูปเด็ก แล้วคิดว่า ไม่นะ เป้าหมายคืออะไร จำได้มั้ย เราจะเป็นแม่ที่ดี เพราะงั้น
เราต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้เขา คำพูดของเรา จึงจะศักดิ์สิทธิ์ ส่วนเรื่องเป็นภรรยา เอ่อ.... ขอละเอาไว้ ณ ที่นี้ ค่ะ
สุดท้ายนี้ ขอย้ำว่า หนู ก็เป็นแค่เด็กน้อย ตัวเล็กๆ ที่เรียนรู้โลกในนี้ไปพร้อมๆ กับคนในสังคม เป็นคนธรรมดา ที่มีทั้งด้านดี และลบ และไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมาย กระทู้นี้ เป็นแค่ประสบการณ์ส่วนตัว ที่อยากเล่าผ่าน เพื่อเป็นกำลังใจให้อีกหลายๆ คนที่ท้อเรื่องเรียน หรือเรื่องต่างๆ ในชีวิต หนูเองก็มีจังหวะเครียด ทรทาน ร้องไห้ มีความทุกข์เหมือนๆ คนทั่วไป แต่ด้วยความ "รัก" ทั้งหมด มันทำให้หนูผ่านอะไรต่ออะไรมาได้ค่ะ
ปล. ขอความกรุณา แสดงความคิดเห็น
"เชิงบวก" นะคะ ตำหนิได้ค่ะ หนูยินดีรับฟังเพื่อพัฒนา ปรับปรุงตัวเองต่อไป
ปริญญาเอกนี้ ได้มา เพราะมี "รัก"
วันนี้ หนูขอเล่าถึง "แรงบันดาลใจ" ของตัวหนูเองบ้างนะคะ
ปริญญาเอกนี้ ได้มา เพราะมี "รัก" กระทู้นี้ยาวหน่อยนะคะ แต่หนูเชื่อว่า มันจะมีอะไรดีๆ ให้ทุกคนประทับใจบ้างไม่มากก็น้อย ขอแท๊ก "ครอบครัว" ด้วยค่ะ เพื่อใครจะเอา คติของบ้านหนูไปเลี้ยงดูลูกหลานต่อไปนะคะ
รักที่ 1. รักของครอบครัว
คำว่า "ครอบครัว" ของหนู มันดูยิ่งใหญ่มากเลยค่ะ เพราะหนูเป็นหลานคนเดียวของตระกูล มีทั้งป้า อา ย่า พ่อ แม่ หลายๆ ท่านอาศัยอยู่ด้วยกัน โดยมีหนูเป็นแก้วตาดวงใจของบ้าน คุณพ่อคุณแม่หัวโบราณมากค่ะ ไม่ค่อยอนุญาตให้เดินนอกกรอบเท่าไหร่ สิ่งที่หนูใช้รับมือ ก็คือ "พิสูจน์" มันอาจจะใช้เวลานาน แต่สุดท้าย มันก็จะจบลงด้วยความประทับใจ ตัวอย่างเช่น ที่บ้านไม่อนุญาติให้กลับบ้านหลัง 4 ทุ่ม ใช่ค่ะ ทุกวันนี้เป็น ดร. ก็ต้องกลับบ้านก่อน 4 ทุ่ม ตลกมั้ย หนูก็ยิ้มรับ และเข้าใจว่า เพราะพวกท่านเป็นห่วง แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ หนูก็จะอ้างว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา หนูพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หนูไม่นอกลู่นอกทาง เพราะฉะนั้น ถ้าหนูขอ คือ หนูคิดไตร่ตรองแล้วว่า หนูอยากกลับดึกจริงๆ ท่านก็จะอนุญาติค่ะ อีกเหตุผลที่ไม่อยากกลับบ้านดึก ก็เพราะว่า คุณพ่อเป็นหมอ แล้วเขาจะนอนไม่หลับเลย ถ้าลูกสาวยังไม่ถึงบ้าน หนูก็จะกังวลกลัวคุณพ่อนอนน้อย จะส่งผลเสียต่องาน
ขอพูดถึงคุณพ่อนิดนึงนะคะ คุณย่า เลี้ยงดูลูก 7 คน ด้วยลำพัง ฐานะลำบากค่ะ พ่อเป็นลูกคนที่ 5 แต่ถือว่าเป็นพี่ชายคนโต พ่อนับถือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก มากๆ คุณพ่อเลยทำงานเป็นหมอให้กับรัฐบาลมาโดยตลอด ยังจำข้อความที่คุณอาเขียนทิ้งไว้ให้ ตอนหนูไปเหยียบอเมริกาวันแรกว่า "พ่อของเรา เกิดมาเป็นหมอ เพื่อดูแลคนป่วย เป็นคนช่วยเหลือสังคม อาจจะไม่ได้มีเงินมากพอให้แป้งได้ใช้อย่างสุขสบายมากนัก แต่ขอให้แป้งภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อ ใช้จ่ายให้ประหยัด และตั้งใจเรียนนะ" สิ่งเหล่านี้ หล่อหลอมหนูมาตั้งแต่เด็ก ให้หนูเป็นคนเผื่อแผ่ คุณแม่พูดเสมอว่า "คุณค่าของเรา คือการที่เรา ได้ทำอะไรมีประโยชน์ต่อผู้อื่น" พ่อสำเร็จได้ทั้งๆ ที่พ่อลำบากมาก หนูเกิดมามีพร้อมกว่าพ่อ เวลาที่หนูเหนื่อยยาก ลำบากใจ ต้องอดทนต่ออุปสรรค หนูจะนึกถึงพ่อ เห็นพ่อเป็นตัวอย่างเสมอค่ะ
ขอเนื้อที่ตรงนี้นิดนึงกล่าวถึงคุณย่านะคะ ย่าเป็นคนเลี้ยงดูหนูมา และท่านรอคอยความสำเร็จของหนูตลอดเวลา หนูอยากบอกว่าหนูรักย่า อีกไม่นาน เราจะกลับไปอยู่ด้วยกันแล้ว อีกท่านคือแม่ สตรีที่งามทั้งกิริยา วาจา ใจ แม่พยายามสอนให้หนูเป็นกุลสตรี เป็นแม่บ้านแม่เรือน มาเสมอ หนูอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าแม่ แต่พอหนูได้มาใช้ชีวิตคนเดียวที่อเมริกา ก็พบว่า งานบ้านงานเรือน เป็นอีกปริญญานึง ที่สำคัญในชีวิตจริงๆ ค่ะ ที่ขาดไม่ได้ก็คือ คุณอา คุณป้า ที่ปกป้อง และเข้าใจหนูเสมอ อาๆ ป้าๆ จะหัวสมัยใหม่มากกว่าพ่อแม่ ท่านก็จะยอมรับฟังความคิดของหนู เวลาที่หนูอยากทำอะไรนอกกรอบ
"รัก" ของครอบครัว ทำให้หนูอยากดีขึ้นๆ เพื่อให้ทุกคนภูมิใจค่ะ
นี้คือรูปของครอบครัวเรา ตอนที่หนู รับปริญญาเอกนะคะ อีกรูปเป็นรูปที่หนูตัดมาจากคลิป ตอนที่หนูกราบขอบพระคุณพ่อแม่ หลังจากหนูรับปริญญาออกมาจากหอประชุม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รักที่ 2. รักในหน้าที่ของตัวเอง
ตั้งแต่เล็กจนโต หน้าที่เดียวที่หนูได้รับ คือ การเป็น "นักเรียนที่ดี" เพราะงั้น หนูก็จะพยายามรักษาหน้าที่นี้ไว้ให้ดีเป็นหลัก หน้าที่อื่นๆ ก็มาบ้าง เช่น เป็นติวเตอร์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นลูกน้องที่ดี เป็นนักเขียนที่ดี ตอนนี้ที่เป็นอยู่ก็คือ เป็นนักวิชาการที่ดีค่ะ ถ้าเรารักในหน้าที่ตัวเอง งานของเราที่ออกมา ต่อให้มันไม่สมบูรณ์ถูกใจใคร อย่างน้อยเราก็ภูมิใจไปกับสิ่งที่เราทำ เมื่อเราได้ทำเต็มที่ หนูเคยมีความรู้สึก "เสียดายนะ .. น่าจะอย่างนั้น อย่างนี้" หลังจากนั้น ก็เปลี่ยนตัวเองใหม่ อย่าเสียดาย ทำให้เป็นเต็มที่ซะตอนนี้ แล้วเปลี่ยนใหม่เป็น "โอ้ เสร็จแล้ว ดีใจจังเลย" ดีกว่าค่ะ หนูเองก็เคยทำงานที่หนูไม่ชอบไม่ถนัด [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ตอนนั้นได้แต่ หายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกตัวเองว่า มันคือสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบนะ ตอนนี้ต้องสวมบทบาทนี้ และต้องทำออกมาให้ดีให้ได้ บางครั้งสิ่งตอบแทนที่ได้รับ มันไม่ได้ออกมาเป็นตัวเลข เงินทอง แต่มันจะเป็นประสบการณ์ของเรา เปรียบเสมือนมีด ที่ถูกลับคม สะสมไปเรื่อยๆ เหมือนการออมเงิน เรามักจะได้ยินประโยคที่ว่า "แก่ขึ้น โตขึ้น" ไม่มีใครย้อนเวลาได้ เพราะฉะนั้น เราต้องรักให้หน้าที่ของตัวเอง และทำให้ดี ไม่ว่าหน้าที่นั้น เราจะชอบหรือไม่ก็ตาม
หนูไม่เคยปฎิเสธโอกาสที่หนูได้รับจากอาจารย์เลยค่ะ บางครั้งก็รู้ว่ามันต้องใช้เวลาศึกษานาน บางทีต้องใช้โปรแกรมใหม่ๆ ที่หนูไม่รู้จัก แต่หนูจะมองว่า มันคือหน้าที่ และอาจารย์เห็นความสามารถของเรา แสดงว่า "เราทำได้ และเราต้องทำให้ได้"
รักที่ 3. รักที่จะเรียนรู้ และไม่กลัวต่ออุปสรรค
ถ้าใครคิดว่า หนูเป็นนักวิชาการที่สนใจแต่เรื่องเรียน หัวฟู ชีวิตมีแต่เรื่องเรียน คุณคิดผิดค่ะ หนูเป็นนักท่องเที่ยว ที่แบกเป้เที่ยว(คนเดียวซะส่วนใหญ่)มาแล้ว 30 ประเทศ ทุกครั้งที่เดินทาง หนูได้เรียนรู้ชีวิตใหม่ๆ เจอคนใหม่ๆ ทุกสถานการณ์สอนให้หนูรู้จักเอาตัวรอด เข้มแข็ง ยืนและเดินด้วยขาของตัวเอง เปิดใจ และเรียนรู้ไปกับวัฒนธรรมใหม่ๆ (อาหารใหม่ๆ ด้วยค่ะ) แล้วเราจะรู้จักตัวเองมากขึ้นค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นิสัยเสียของตัวหนูเองอีกเรื่องคือ ขี้เบื่อมาก ถึงมากที่สุด ไม่ชอบอยู่นิ่งๆ โดยไม่ได้ขยับร่างกาย หรือใช้ความคิด กิจกรรมหนูเยอะมากค่ะ ตอนนี้กำลังอินกับการออกกำลังกาย มีวินัยในการทานอาหาร เวลาว่างก็ทำอะไรเยอะแยะมากเลย ตั้งแต่ ทำอาหาร ทำขนม เล่นดนตรี กีฬา ขี่ม้า บลาบลา สิ่งเดียวที่ไม่ถนัดคือวาดรูป แต่ก็ไม่กลัวที่จะวาดนะคะ ต่อให้เป็นสิ่งที่เราไม่ถนัด เราก็ต้องเรียนรู้มัน เพื่อให้รู้ว่าทำไมเราถึงไม่ถนัด ถ้าเราไม่เจออุปสรรค เราก็จะไม่ได้พัฒนาตัวเอง ต่อให้บางครั้งหนูร้องไห้ (ร้องบ่อยด้วย) แต่หนูจะยิ้มสะใจทุกครั้งที่หนูหยุดร้องไห้ ยิ่งอุปสรรคใหญ่ แล้วเราผ่านมันมาได้ เรายิ่งได้ลับคมตัวเอง ให้แข็งแกร่งมากขึ้น
ถ้าใครอ่านกระทู้ก่อนของหนู จะทราบว่าหนูเคยอาการหนักมาก คือร้องไห้ต่อหน้าที่ประชุมตอนที่ท้อมากขณะเรียนปริญญาเอก สิ่งที่ทำให้ผ่านมาได้ เพราะหนูมองว่ามันคืออุปสรรค ที่ท้าทาย เรียนรู้ และเดินหน้าไปให้ได้ วันนั้นหนูเข้าร้านอาหารบุฟเฟต์จีน กินๆๆๆ มันเข้าไป แล้วจบด้วย ไอศรีมอร่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ แล้วสู้ต่อไปค่ะ
ในเมื่อโลกมันยังหมุนไป และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ตัวเราเองก็ต้องเรียนรู้โลกไปเรื่อยๆ หนูคิดว่าหนูไม่ใช่คนเก่งนะคะ แล้วก็รู้สึกอายทุกครั้งที่มีคนชมว่า "เก่ง" [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เพราะหนูก็ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่เดินไปพร้อมกับสังคม มีอะไรที่หนูไม่รู้อีกเยอะค่ะ เพราะหนูรักที่จะเรียนรู้ และไม่กลัวอุปสรรค
รักที่ 4. รักจากกำลังใจ และรักที่จะเป็นแรงบันดาลใจ
เราเป็นสัตว์สังคม และหนูก็โชคดีมาก ที่มีเพื่อนๆ พี่ๆ ดีๆ คอยให้กำลังใจเสมอมาค่ะ คำพูดว่า "สู้ๆ นะ" มันอาจจะดูเล็กน้อยสำหรับคนพูด แต่มันยิ่งใหญ่สำหรับคนฟัง ทุกกำลังใจที่ได้รับ เป็นแรงผลักดันให้หนูเดินหน้าได้สำเร็จ นอกไปกว่านั้น ยังมีคนอีกไม่น้อย ที่เห็นหนูเป็นแบบอย่าง หนูก็จะรู้สึกอยากทำให้ดี เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขา ถ้าเราถอย มันอาจจะไม่ใช่เราคนเดียวที่ถอย แต่มีอีกหลายคนที่เห็นเราเป็นแบบอย่าง เขาก็จะถอยไปด้วย
รักสุดท้าย รักในอนาคต
ทุกคนมีความฝัน มีเป้าหมายในชีวิตใช่มั้ยคะ หนูไม่อายเลยที่จะบอกว่า ความฝันของหนูคือ การเป็นแม่ที่ดี [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ อย่างที่บอกไปข้างต้น แม่หนูสอนหนูมาให้เป็นกลุสตรี หนูยังได้มาไม่เท่าครึ่งของคุณแม่เลย หรือแม้แต่ความเก่ง หนูเองก็คิดว่าหนูไม่เก่งเท่าคุณพ่อ หนูรู้สึกตลอดเวลาว่า หนูมีคุณพ่อคุณแม่และครอบครัวปกป้องหนูเสมอ เพราะงั้นมองกลับลงมา เมื่อหนูมีลูก หนูก็อยากจะเป็นบุพการี ที่ปกป้องลูกได้ พร้อมจะเป็นกำลังใจ ที่ปรึกษา และที่พักพิงให้เขา เวลาที่ท้อ หรืออยากออกนอกลู่นอกทาง หนูจะดูรูปเด็ก แล้วคิดว่า ไม่นะ เป้าหมายคืออะไร จำได้มั้ย เราจะเป็นแม่ที่ดี เพราะงั้น เราต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้เขา คำพูดของเรา จึงจะศักดิ์สิทธิ์ ส่วนเรื่องเป็นภรรยา เอ่อ.... ขอละเอาไว้ ณ ที่นี้ ค่ะ
สุดท้ายนี้ ขอย้ำว่า หนู ก็เป็นแค่เด็กน้อย ตัวเล็กๆ ที่เรียนรู้โลกในนี้ไปพร้อมๆ กับคนในสังคม เป็นคนธรรมดา ที่มีทั้งด้านดี และลบ และไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมาย กระทู้นี้ เป็นแค่ประสบการณ์ส่วนตัว ที่อยากเล่าผ่าน เพื่อเป็นกำลังใจให้อีกหลายๆ คนที่ท้อเรื่องเรียน หรือเรื่องต่างๆ ในชีวิต หนูเองก็มีจังหวะเครียด ทรทาน ร้องไห้ มีความทุกข์เหมือนๆ คนทั่วไป แต่ด้วยความ "รัก" ทั้งหมด มันทำให้หนูผ่านอะไรต่ออะไรมาได้ค่ะ
ปล. ขอความกรุณา แสดงความคิดเห็น "เชิงบวก" นะคะ ตำหนิได้ค่ะ หนูยินดีรับฟังเพื่อพัฒนา ปรับปรุงตัวเองต่อไป