My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ (fanfic ผ่าพิภพไททัน) บทที่ 6

กระทู้สนทนา
บทที่ 5
http://pantip.com/topic/32025797

บทที่ 6
    เมื่อแยกจากรีไวแล้ว เอลวินก็มุ่งตรงกลับบ้าน พอไปถึงก็รีบเปิดแฟลชไดรฟ์ที่ได้รับมาจากลูกน้องทันที เพราะรู้ดีว่าตอนอยู่ในร้านของมิคาสะ รีไวไม่ได้บอกข้อมูลมาทั้งหมดเพราะเกรงว่าคนร้ายจะแฝงตัวมาแอบฟัง และไม่อยากให้คนในร้านพลอยได้รับอันตรายไปด้วย แต่ยิ่งอ่าน หัวหน้าทีมสืบสวนก็ยิ่งกังวล เพราะภายในเอฟบีไอ สายของคนร้ายไม่ได้มีแค่หนึ่งและไม่ใช่คนที่เขาจับตามอง

    ข้อมูลที่ได้รับทำให้เอลวินต้องกุมศีรษะด้วยความหนักใจ ฆาตกรที่เขาพยายามล่าตัวในตอนนี้ไม่ได้มีแค่ความฉลาด ยังมีอิทธิพลและอำนาจมากพอดูถึงขนาดซื้อตัวตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐและผู้พิพากษาบางคนได้แถมยังแฝงตัวได้อย่างแนบเนียนเสียด้วยเพราะจนป่านนี้ นอกจากร่องรอยบาดแผลของเหยื่อแล้วเขายังไม่มีเบาะแสอื่นพอที่จะสาวไปถึงตัวฆาตกรเลยสักนิด ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเป็นหญิงหรือชาย เพราะความระดับความรุนแรงในการลงมือบ่งชัดว่าผู้กระทำต้องมีความแข็งแรงมากแต่พอพิจารณาจึงความประณีตแล้ว กลับบอกว่าคนลงมือน่าจะเป็นหญิงมากกว่าชาย

บางทีเขาอาจจะต้องปรับแผนการสืบใหม่ เอลวินคิดพลางเคาะโต๊ะเบาๆ ขั้นแรกต้องเริ่มจากการตรวจค้นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งเขาตั้งใจว่าจะใช้วิธีการบังคับซึ่งต้องอาศัยหมายค้นและใช้เวลาในการขุดหาข้อมูล เพราะหน่วยงานพวกนี้ไม่ค่อยมีระเบียบในการทำงาน และเขาก็แน่ใจว่าทั้งจำนวนเช็คกับรายชื่อของเด็กอาจมีไม่ครบ

กำลังจมอยู่ในความคิดเสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เอลวินมองหมายเลขที่ปรากฏบนจอและกดรับทันทีเมื่อรู้ว่าผู้ติดต่อมาคือผู้พิพากษาที่เขาไปขอหมายค้น หลังจากฟังอีกฝ่ายอธิบายถึงรายละเอียดของหมายที่ออกให้จนจบเขาก็ผงกศีรษะรับพร้อมกับกล่าวอย่างสุภาพ

“ผมเข้าใจดีครับท่าน ขอบคุณมากครับ”

เขาปิดการสนทนา วางโทรศัพท์และนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงหยิบมันขึ้นมากดหมายเลข

“เราได้หมายค้นแล้ว พรุ่งนี้ฉันอยากให้นายไปที่นั่น พามาร์โคไปด้วย”

สั่งเสร็จก็วางโทรศัพท์ เอนตัวพิงเก้าอี้และนั่งใช้ความคิดอยู่ในท่านั้นจนกระทั่งมีแสงสว่างวาบของสายอสนีบาตตามด้วยเสียงลั่นครืนดังมาจากท้องฟ้า เอลวินจึงปิดโน้ตบุ๊ค เก็บแฟลชไดรฟ์จากนั้นก็เดินเข้าห้องเพื่ออาบน้ำ พอออกมาอีกครั้งหยาดพิรุณก็พร่างพรายลงมาพอดี เอลวินมองสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงปิดไฟและล้มตัวลงนอน

ฝนที่ตกติดต่อมาตลอดทั้งคืนทำให้อากาศยามเช้าดูหม่นหมองชวนหดหู่ รีไวซึ่งแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วยืนมองทิวทัศน์ภายนอกผ่านกระจกหน้าต่างตรงไปยังตึกที่ตั้งของร้านมิคาสะ พลางคิดถึงงานที่ได้รับมอบหมายและถอนใจออกมาอย่างเสียดายว่าวันนี้เขาคงไม่มีเวลาแวะไปที่นั่น พอนึกแบบนั้นใบหน้าน่ารักของเอเลนก็ปรากฏขึ้นมา รีไวรีบสะบัดหน้าเพื่อไล่มันออกไปพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมสมาธิ แต่แล้วจู่ๆเขาก็เกิดหัวหมุนจนเกือบจะยืนไม่อยู่ ชายหนุ่มรีบคว้าโต๊ะเพื่อพยุงไม่ให้ล้ม และนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองร้อนผ่าวเหมือนไฟรุม อาการดังกล่าวแสดงว่ายาแก้หวัดที่กินเข้าไปเมื่อคืนไม่ได้ช่วยอะไรเลย

บ้าชะมัด รีไวคิดอย่างเจ็บใจพลางเดินเข้าห้องน้ำเปิดตู้และหยิบยาออกมาอีกสองเม็ดโยนใส่ปาก ตามด้วยน้ำอีกหนึ่งแก้ว พอมองกระจกชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นเงาสะท้อนของคนหน้าแดงด้วยพิษไข้ เขาถอนใจออกมาค่อนข้างแรง

เขาเพิ่งได้เบาะแสสำคัญมา ยังไงต้องไปค้นที่นั่นให้ได้

คิดแล้วก็เดินออกจากห้องน้ำ คว้าสูท ออกจากที่พักตรงไปยังที่ทำการของเอฟบีไอ เพราะเมื่อคืนนี้ไม่ได้ใช้รถ เช้านี้เขาจึงต้องเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน ความแออัดยัดเยียดของฝูงชนในตอนเช้าทำให้ชายหนุ่มทั้งโดนเบียด กระแทกจนเซไปมา หากร่างกายเป็นปรกติเขาคงใช้เท้าถีบหรือศอกกลับ แต่เพราะกินยาเข้าไปผนวกกับอาการไข้ทำให้ไม่มีแรง เลยจำต้องยอมทนไปจนกระทั่งถึงที่ทำงาน

พอเห็นหน้าแดงก่ำของลูกน้อง เอลวินถึงกับอุทานด้วยความตกใจ

“นายเป็นอะไรไปน่ะรีไว”

“เป็นหวัดนิดหน่อย แต่เมื่อเช้าฉันกินยามาแล้ว” หนุ่มร่างเล็กกว่าตอบไม่เต็มเสียง “ไหนล่ะหมายค้น รีบส่งมาฉันจะได้รีบไป”

เอลวินส่ายหน้า

“สภาพแบบนี้ไม่ไหวหรอก”

“อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลยน่า” รีไวพูดด้วยความรำคาญพลางแบมือไปข้างหน้า “ขอหมายด้วยครับคุณหัวหน้า”

พูดแค่นั้นหน้าก็ฟุบลงกับโต๊ะ ฮันซี่รีบเอามือไปแตะหน้าผากและชักกลับแทบไม่ทัน

“ไข้สูงมาก”

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” เสียงรีไวอู้อี้จนฟังแทบไม่รู้เรื่องส่วนเจ้าตัวพยายามผงกหัวขึ้นมาแต่กลับฟุบลงไปอีกครั้ง เอลวินจึงยื่นหมายให้มาร์โค

“นายล่วงหน้าไปก่อน เดี๋ยวฉันจะให้ซาช่าตามไปสมทบ”

“เธอกลับมาแล้วหรือครับ” มาร์โคถาม เอลวินพยักหน้า

    “มาถึงนี่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เดี๋ยวฉันจะโทร.บอกให้เธอไปเจอกับนายที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า อ้อ
มาร์โค” เขาเรียกเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเดินออกไป “ให้ตำรวจตามไปด้วย”

“รับทราบครับ” ลูกน้องกล่าวรับคำก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้องประชุม พอเห็นมาร์โคพ้นประตูไปแล้วเอลวินจึงหันมาสั่งงานกับแจนและฮันซี่

“คุณสองคนไปสังเกตการณ์ที่บ้านของคนคนนี้” พูดพลางเลื่อนแฟ้มไปตรงหน้าคนทั้งสอง พอเห็นรูป ทั้งคู่ก็ขมวดคิ้ว

“แต่เขาเป็น....”

“ผมรู้ เพราะฉะนั้นขอให้ระวังตัวให้ดี” เขากำชับด้วยความเป็นห่วง แจนกล่าวรับคำหนักแน่นส่วนฮันซี่มองรีไวที่นอนนิ่งไม่ขยับ

“แล้วรีไวล่ะคะหัวหน้า”

“ผมจะพาเขาไปส่งที่บ้านก่อน” เอลวินตอบสั้นๆโดยทำเป็นไม่สนใจเสียงค้านเบาๆของคนที่นอนฟุบอยู่กับโต๊ะ พอแจนกับฮันซี่ออกไปแล้วชายหนุ่มก็ก้มลงมองรีไวและนิ่วหน้าอย่างกังวล “สงสัยต้องหาคนมาดูนายซะแล้ว”  

อาการไข้ที่กำเริบอย่างรุนแรงทำให้อุณหภูมิในกายสูงจัดสร้างความร้อนอันทารุณดุจโดนไฟสุม ยิ่งพวกบวกกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรงจนสมองแทบระเบิดด้วยแล้ว ยิ่งเพิ่มความทรมานจนแทบทนไม่ไหว สติส่วนที่ยังพอรับรู้ร้องบอกให้รีไวลุกขึ้นมากินยา แต่ร่างกายที่ร้อนรุมไปด้วยพิษไข้อ่อนล้าจนเกินกว่าจะขยับตัวได้ จึงมีแค่แขนเท่านั้นที่ควานสะเปะสะปะไปข้างๆ

“นอนนิ่งๆสิครับ” เสียงใครบางคนดังข้างหู รีไวพยายามมองแต่เปลือกตาเจ้ากรรมดันหนักเสียจนแทบจะลืมไม่ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอุตส่าห์เห็นเงาเลือนรางของใครบางคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่เหนือกาย ความสงสัยจึงหลุดปากถามด้วยเสียงเบาดุจละเมอ

“ใคร”

มีเสียงตอบกลับมาแต่ชายหนุ่มกลับฟังไม่รู้เรื่องว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร พอจะถามซ้ำก็ไม่มีแรงพอจะเปล่งคำพูดออกจากปาก แถมอาการไข้ยังทำให้เขามึนงงจนคิดอะไรไม่ออก ความร้อนกับอาการปวดหัวที่โหมกระพือมากขึ้นสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจนรีไวถึงกับเผลอหลุดปากร้องครางออกมาเบาๆ แต่ความทรมานทั้งหมดกลับทุเลาลงเมื่อหน้าผากของเขาความสัมผัสเย็นฉ่ำชุ่มชื่น เหมือนมีน้ำทิพย์หลั่งลงมาชโลม

“ดีขึ้นไหมครับ” เสียงนุ่มน่าฟังเอ่ยถาม รีไวพยายามตอบแต่ความอ่อนเพลียสร้างความง่วงงุนอย่างหนักจนทำให้เขาผล็อยหลับไป

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง รีไวต้องนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่าเขากำลังนอนอยู่ในห้องของตัวเอง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันขณะพยายามนึก ชายหนุ่มจำได้แม่นว่าเขาไปถึงที่ทำงานแล้วและกำลังรอการมอบหมายงานจากเอลวิน แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงมานอนอยู่ที่นี่

คิดพลางขยับตัวเพื่อลุกแต่ความอ่อนแรงทำให้เขาต้องทิ้งตัวกลับลงไปนอนอีกครั้ง และนึกขึ้นได้ในที่สุดว่า ตัวเองตากฝนจนเป็นหวัด และจำได้ลางๆว่าเอลวินพากลับมานอนบ้าน

แสดงว่าหมอนั่นลากเขาขึ้นมานอนบนเตียง คิดพลางถอนใจออกมาเบาๆอย่างหงุดหงิดเพราะคนอย่างรีไว ไม่มีวันร้องขอความช่วยเหลือจากใคร และไม่ชอบให้คนอื่นมาเห็นในสภาพที่อ่อนแอ ลองโดนเจ้าหัวหน้าจอมเจ้าเล่ห์พากลับห้องในลักษณะหมดสติ มีหวังโดนคนในทีมล้อกันสนุกไปหลายวัน      

กำลังนอนคิดอย่างไม่สบอารมณ์ กลิ่นหอมของซุปก็ลอยมากระทบจมูก รีไวนิ่วหน้าในทันทีเพราะก่อนออกจากบ้าน เขาปิดหน้าต่างทุกบานอย่างแน่นหนาจนลมก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ แล้วกลิ่นซุปนี่เล็ดรอดเข้ามาได้ยังไง จะบอกว่ามาจากห้องข้างๆก็ไม่มีทางเป็นไปได้เพราะเขาปิดรอยแตกทุกช่อง อุดรอยต่อทุกรูอย่างแน่นหนาจนไม่มีอะไรแทรกผ่านเข้ามาได้

แล้วกลิ่นนี้มาจากไหน

รีไวคิดและเบิกตากว้างเมื่อเห็นตัวต้นเหตุก็เดินประคองชามซุปเข้ามาในห้อง

“ตื่นแล้วเหรอครับ” เอเลนถามพลางวางชามไว้บนโต๊ะและเดินมานั่งบนเตียงพร้อมกับใช้มือแตะหน้าผาก “ดีจัง ไข้ลดลงแล้ว”

“นายมาอยู่นี่ได้ยังไง” พอหายตกใจก็รีบถาม อีกฝ่ายจึงหันไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำพร้อมกับตอบไปด้วย

“คุณเอลวินขอให้ผมมาครับ”

“ทำไม”

“ก็คุณไม่สบาย”

“ฉันหมายถึง ทำไมต้องเป็นนาย” รีไวถามเสียงเครียด ถ้าให้เลือกระหว่างเอลวิน กับเจ้าหนูนี่ เขายอมให้คนในทีม ไม่สิ คนทั้งเอฟบีไอเห็นสภาพอ่อนปวกเปียกของเขามากกว่าที่จะยอมให้เจ้าเด็กนี่เห็น

“คงเพราะผมอยู่ใกล้ที่สุด” เอเลนตอบพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าตาของอีกฝ่าย “ตอนแรกผมก็ตกใจเหมือนกันนะครับที่รู้ว่าคุณอยู่ใกล้แค่นี้”

เด็กหนุ่มพูดในขณะที่ลากผ้าไปตามลำคอของรีไว

“แต่ก็แปลกนะครับที่ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อน เพิ่งมาอยู่หรือครับ”

“ฉันไม่ค่อยอยู่บ้านต่างหาก” รีไวตอบเสียงกระด้างในขณะเดียวกันก็พยายามเบี่ยงตัวหลบ “พอได้แล้ว”

“ไม่ได้หรอกครับ ก็เมื่อคืนนี้ไข้คุณขึ้นสูงมาก เหงื่อนี่ออกชุ่มไปหมดทั้งตัวเลย” เอเลนอธิบายและกดไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “นอนนิ่งๆสิครับ”

รีไวปัดมือของอีกฝ่ายออกพร้อมกับเลื่อนตัวขึ้นไปที่หัวเตียง พอหลุดจากผ้าห่มเขาจึงรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในชุดนอน

“ใครเปลี่ยนเสื้อให้ฉัน” เขาถามเสียงดังลั่น เอเลนทำหน้าเหรอหรา

“ผมเองครับ”

“ใครอนุญาตให้นายทำอย่างนั้น” รีไวถามเสียงเครียด มือสั่นด้วยความรู้สึกทั้งโกรธและอาย แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่รู้เพราะเขายังคงพูดไปเรื่อยๆ

“ไม่มีหรอกครับ ผมกลัวว่าถ้านอนทั้งชุดนั้นแล้วคุณจะไม่สบายตัว เลยถือวิสาสะเปลี่ยนให้”

“นายถอดเสื้อ ฉัน” หนุ่มร่างเล็กพูดด้วยเสียงเกือบจะเป็นคำราม “กล้าดียังไง”

ใช่ กล้าดียังไงถึงได้ทำแบบนั้น ทั้งที่จริงๆแล้วคนที่จะทำควรเป็นฝ่ายฉันต่างหาก รีไวคิดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ แต่ด้วยสภาพที่อิดโรยของเขาทำให้เอเลนไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย

“คุณยังไม่หายดี” มือคว้าหมับเข้าที่แขนและออกแรงลาก “กลับมานอนดีกว่าครับ”

พอเห็นชายหนุ่มขืนตัวไม่ยอมทำตาม เด็กหนุ่มก็เม้มปาก “อย่าดื้อสิครับ ไม่อย่างนั้นคุณเอลวินจะหาว่าผมไม่ดูแลคุณ”

“นายกลัวเอลวินงั้นหรือ” รีไวถามและขบกรามแน่นเมื่อเอเลนผงกศีรษะ ดวงตาสีเขียวใสที่ฉายความหวาดหวั่นออกมาน้อยๆทำให้ชายหนุ่มสรุปไปเองว่า มันเป็นอาการของคนที่ยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจของคนรัก แสดงว่าเจ้าหัวหน้าตัวดีของเขาลงมือกับเจ้าหนูนี่ไปแล้ว

“คนที่นายกลัวควรเป็นฉันมากกว่า”

“ว่าไงนะครับ”

ความหึงหวงชั่ววูบส่งให้เขายื่นมือออกไปตะปบไหล่เล็กๆอย่างลืมตัวและลากลงไปกดกับที่นอน

“ฉันพูดว่า” รีไวพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของเอเลนพร้อมกับโน้มหน้าลงไปเกือบชิดและกระซิบเหนือรีมฝีปาก “ฉันต่างหากที่นายควรกลัว”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่