สวัสดีค่า กลับมารายงานตัวอีกครั้ง ต่อจากกระทู้ที่แล้วค่ะ
http://pantip.com/topic/32014835 "เรียนไป เที่ยวไป ใน England #1 >> ตื่นเมืองผู้ดี"
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกการติดตามเลยนะคะ
กระทู้นี้จะพามารู้จักกับเมือง Reading ค่ะ

Town Center ของ Reading ไม่ใหญ่มากค่ะ เราคิดว่าใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงกว่าก็เดินได้รอบทาวน์แล้ว

อันนี้แอบเอารูปมาจาก Reading buses information ค่ะ
ถนนหลักๆก็มี Broad Street ละก็ Friar Street ซึ่ง แหล่ง shopping หลักๆจะอยู่ที่ Broad Street
จะมี shop มากมาย รวมถึง supermarket ละก็ coffee shop ด้วย
(Starbucks ที่นี่ราคาพอกันกับบ้านเราเลยค่ะ ซึ่งสำหรับคนที่นี่คือราคาถูกค่ะ)
**สถาบันที่เราเรียน Eurospeak ก็อยู่บน Broad Street ค่ะ เดินจากสถานีรถไฟ 5 นาทีเอง

เส้นสีฟ้าๆด้านล่าง หากคิดว่าเป็นแม่น้ำกว้างๆ มีสนามหญ้าสีเขียวๆด้านข้าง นั่งเล่นชิลๆได้ คุณคิดผิดค่ะ 55
ตรงนั้นเป็นเพียงแค่คลองเล็กๆ สองฟากข้างเต็มไปด้วยร้านอาหารค่ะ โซนนั้นเราเรียกว่า Riverside
ซึ่งเยื้องๆกับ The Oracle ก็จะมีโรงหนังชื่อว่า Vue (คล้ายๆ Major บ้านเรา) มีอยู่แทบทุกเมืองค่ะ
ตั๋วภาพยนตร์ที่นี่ซื้อได้ผ่านเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโมัติค่ะ ราคาตั๋วราวๆ 10 ปอนด์ ต่อหนังหนึ่งเรื่อง
แต่ถ้าเป็น Vue ในเมืองใหญ่ก็จะมี counter ขายตั๋วค่ะ
**โรงหนังที่นี่คือเราสามารถนำขนมหรือน้ำที่ซื้อจากข้างนอก เข้าไปทานได้สบายมากเลยค่ะ เพราะไม่มีการตรวจกระเป๋า

วงกลมเล็กๆสีแดงๆข้างบนนั่นคือสัญลักษณ์ของสถานีรถไฟที่นี่ค่ะ
Reading Station เป็นสถานีรถไฟที่ค่อนข้างใหญ่(แต่ไม่มาก) ตอนนี้มี 2 ทางเข้าคือ old entrance ละ new entrance ค่ะ

ทางขวาจะเป็น old entrance ทางซ้ายเป็น new entrance ค่ะ แต่ทั้งสองทางเข้าก็สามารถเดินหากันได้
ช่องจำหน่ายตั๋วจะอยู่ที่ old entrance แต่ถ้าตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติมีทั้งสองทางเข้าค่ะ
ใน station ก็มี shop ขายของ รวมทั้ง coffee shop เล็กๆ อ้อ เห็นว่ามี Burger king ละร้านขายยาของ boots ด้วยค่ะ
**เสริมจากกระทู้ที่แล้ว ถ้ามาเรียนที่นี่แล้วมี student card ก็สามารถใช้ลดราคาค่าตั๋วรถไฟได้ค่ะ
ถ้าเดินจาก broad street ไปที่ station ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีค่ะ confirm

วิธีการขึ้นรถไฟนะคะ (สำหรับคนที่ขี้กลัวเหมือนเรา แบบว่าชอบทำอะไรไม่ถูก)
1. เดินไปที่ช่องจำหน่ยตั๋ว แล้วบอกสถานีต้นทางและปลายทาง รวมถึงบอกว่า single หรือ return ถ้า return ควรบอกวันกลับด้วยค่ะ
ถ้ามีบัตร railcard หรือ student card ก็ยื่นให้ จนท. ได้เลยค่ะ
2. จะได้ตั๋ว (หน้าตาแบบในรูป) ตั๋วนี้เราสามารถเดินทางเวลาไหนก็ได้ แต่ต้องภายในวันนั้นค่ะ
บางครั้งตั๋วอาจะระบุว่าเราต้องไปกับรถไฟของบริษัทไหน แต่เท่าที่เรารู้ก็มี First Great Western กับ Cross Country ค่ะ
OUT ตรงมุมขวามือด้านบน หมายถึงขาออก (ขาไป) ถ้าขากลับจะเป็น RTN ค่ะ
ถ้าซื้อตั๋วในช่วงเวลา off-peak ตั๋วจะราคาถูกลงค่ะ ถ้าช่วง peak ก็คงจะช่วงเช้าเริ่มงานละบ่ายๆช่วงเลิกงานค่ะ
ซึ่งถ้าเช็คตารางเวลารถไฟในเว็บ/แอพพลิเคชั่น อย่างที่เราบอกไว้ในกระทู้ที่แล้ว จะมีข้อมูลบอกไว้หมดเลยค่ะ
3. เดินผ่านเครื่องตรวจตั๋วอัตโนมัติ (เหมือน bts บ้านเรา)
4. เดินไปที่ platform นั้นๆ (ตามที่ได้เช็คมาจากเว็บ/แอพฯ) ค่ะ ถ้าไม่ชัวร์ตรง platform จะมีป้ายดิจิตอลบอกขบวนรถไฟที่จะมา
จะมีสถานีปลายทาง เวลา ละสถานีที่รถจะผ่านค่ะ (ตามรูป) หรือทางที่ดีถาม จนท. แถวนั้นเลยชัวร์สุดค่ะ
5. รถมาก็ขึ้นรถได้เลยค่า ><
ทุกๆตู้รถไฟก็จะมีป้ายดิจิตอลบอกสถานีที่รถไฟจะจอดรับส่งผู้โดยสาร รวมทั้งมีประกาศบนรถไฟด้วยค่ะ
**ตู้แรกของรถไฟส่วนใหญ่จะเป็นตู้สำหรับผู้โดยสารที่ซื้อบัตรแบบ first-class ค่ะ

แต่ถ้าเดินทางใน Reading ก็คงหนีไม่พ้น bus ค่ะ สามารถเข้าไปเช็คสายรถ และป้ายรถได้ที่
www.reading-buses.co.uk
ในนั้นก็จะมี map การเดินทางของบัสด้วยค่ะ
บัสที่นี่ค่อนข้างตรงเวลา ส่วนใหญ่เวลารถจะเป็น ทุกๆ ... นาที เช่น ทุกๆ 15 นาที
บนรถบัสมีจอมอร์นิเตอร์บอกป้ายหยุดรถถัดไป ละป้ายที่รถจอดรับส่งผู้โดยสารค่ะ
และรถจะจอดตามป้ายเท่านั้น ไม่จอดระหว่างทาง ซึ่งแต่ละป้ายระยะห่างกันไม่มาก ถ้านั่งเลยก็เดินกลับเอา แปปเดียว (เราเคย)

การซื้อตั๋ว ซื้อได้กับคนขับเลยค่ะ แต่ต้องเตรียมจำนวนเงินให้พอดีเพราะที่นี่จะไม่ทอน
**ไม่ใช่ยื่นเงินให้คนขับนะคะ แต่หยอดเงินลงในกล่องอัตโนมัติข้างๆคนขับ ก้าวขึ้นรถไปก็เห็นเลยค่ะ
แล้วบอกคนขับว่า single หรือ return เค้าก็จะออกตั๋วให้ค่ะ หรือถ้าเดินทางบ่อยก็ซื้อตั๋วรายสัปดาห์ได้ค่ะ ราคาก็จะถูกลงกว่าปกติ
ด้านหน้ารถจะมีหมายเลขบอกสายรถ ละชื่อป้ายรถบัสปลายทางค่ะ
เราก็ต้องจำว่าเราต้องไปปลายทางที่ไหน ละก็ขึ้นให้ถูกคันแค่นั้นเอง
** bus stop ที่นี่จะแยกว่า bus stop ไหนเป็นของบัสหมายเลขอะไรค่ะ ผู้โดยสารและคนขับรถจะได้ไม่สับสน
หมายเลขคือเลขของบัส ละสีตามหมายเลขส่วนใหญ่เป็นสีของรถบัสเลยค่ะ
ข้อความบนสุดคือชื่อ bus stop นั้นๆ
** ขามาเราลง bus stop ฝั่งไหน ขากลับเราก็ขึ้น bus stop ฝั่งตรงข้าม แค่นั้นค่ะ
รสบัสที่นี่สะอาดสะอ้าน รองรับผู้โดยสารที่นั่งรถเข็น หรือรถเข็นเด็กน้อย มีปุ่มกดจอดรถ(สีแดงๆ)แทบทุกที่นั่งบนรถ
มี priority seats รองรับด้วย ดูดีๆก่อนนั่งนะคะ รวมทั้งมี silent zone ด้วยแต่จะเป็นใกล้คนขับค่ะ เพราะเค้าต้องใช้สมาธิ
คนส่วนใหญ่(วัยรุ่น) ขึ้นรถบัสได้ก็คว้าหูฟัง ฟังเพลงเป็นอันดับแรกค่ะ เล่นเอาเราติดไปด้วยเลย

คนที่นี่ส่วนใหญ่นิยมใช้รถสาธารณะเพราะสะดวกกว่า ถูกกว่า ซึ่งเรารู้มาว่า
การจอดรถที่นี่ต้องเสียเงินค่าจอดด้วยในหลายๆสถานที่ ละการสอบใบขับขี่ค่อนข้างยาก(มาก)
ตอนแรกๆที่มาที่นี่เราค่อนข้างตื่นเต้นที่ได้เห็นรถหรูๆ mini-cooper, benz, folk, audi, bmw
แต่เป็นปกติของคนที่นี่ค่ะ นานๆไปก็ชินตาละเฉยไปเอง ถ้าจะให้หรูจริงต้อง lamborghini ค่ะ ^^
ละส่วนใหญ่คนที่นี่นิยมขับรถมือสอง และค่อนข้างเปลี่ยนรถบ่อย อาจเป็นเพราะเบื่อง่าย

ร้านขายของเอเชีย(มีของไทยขายด้วย)ที่เคยบอกไปกระทู้ที่แล้ว อยู่บนถนน Friar Street ค่ะ
ถ้าเดินออกมาจาก Reading Station เดินตรงมาจะเจอสี่แยก ให้เลี้ยวขวาสัก 200 เมตร
ร้านจะอยู่ฝั่งตรงข้าม ฝั่งเดียวกับ McDonald's ละก็ใกล้ๆ McDonald's เลยค่ะ
(อันนี้เป็นรูปหน้าร้านค่ะ)
ของในร้านที่มีขายส่วนใหญ่ก็ ไทย จีน ญี่ปุ่น ค่ะ มีมาม่าหลายรส (รสเย็นตาโฟก็มี)
น้ำพริกแกงสำเร็จรูป คนอร์ก้อน น้ำปลา ซอส น้ำจิ้มสุกี้ ขนมบางอย่าง(เถ้าแก่น้อย) มีอาหารสดด้วยนะคะ
เช่นลูกชิ้นปลา เนื้อปลา เต้าหู้ไข่ เต้าหู้ญี่ปุ่น ผักต่างๆ ที่หายากใน supermarket เช่น มะเขือเปราะ
ละก็เห็นมีซาลาเปาขายด้วยแต่ยังไม่ได้ลองซื้อเลยค่ะ (ของโปรดเราเยย)
**ฉะนั้นใครที่จะไปอยู่นานๆ ม่ายต้องขน มาม่าไปเป็นลังลังนะคะ เปลืองน้ำหนักกระเป๋าแย่
(ตอนแรกเราจะเอามาแหละ 555)
อ้อ แต่ที่ยังไม่เห็นที่นี่คือ โจ๊กค่ะ โจ๊กซองสำเร็จรูป ใครชอบกินก็ติดมาเผื่อไว้บ้างก็ดีค่ะ
อันนี้เอารูปร้านอาหารไทยที่ Reading มาให้ชมค่ะ เป็นร้านแรกที่เราเห็น ชื่อว่า Thai Corner อยู่ใกล้ๆกับ Primark เลย
ยังไม่เคยเข้าไปลองเลยค่ะ กลัวรับราคาไม่ไหว

เราชอบประเทศนี้นะคะ ที่มีร้านดอกไม้ขายแทบทุกที่เลย ละแทบจะทุก supermarket จะมีดอกไม้ขาย
ดูแล้วสบายตา เห็นแล้วจะต้องยิ้ม แล้วราคาก็ไม่แพงด้วยค่ะ
เห็นว่าคนที่นี่นิยมซื้อดอกไม้ให้กันในทุกๆเทศกาลสำคัญ หรือวันสำคัญ หรือบางครั้งก็ซื้อให้
เนื่องในโอกาสที่พบกันเฉยๆค่ะ
**ดอกลิลลี่สีขาวเป็นดอกไม้สำหรับงานศพค่ะ อยากเผลอซื้อไปให้สาวล่ะ แฮ่ๆ
(รูปนี้เป็นร้านขายดอกไม้ตรงทางเข้าสถาบันเรียนเราค่ะ)
**ร้านแบบนี้คนที่นี่จะไม่เรียกว่า booth นะคะ แต่ที่นี่จะเรียกว่า cart-shop

ภาพของ 'ผู้ดีอังกฤษ' แวปแรกที่เข้ามาในหัวเราคือ ต้องหยิ่งๆ
แต่ไม่เลย คนที่นี่เป็นมิตรละใจดีมากค่ะ ยิ้มง่าย บางครั้งเม้าท์เก่งอีกด้วย
ละคนที่นี่จะพูดคำว่า Thank you กับ Sorry ติดปากค่ะ ได้ยินตลอดๆ
สำหรับคนที่ไม่ชอบคนที่สูบบุหรี่ (มากๆ) ถ้าคิดจะมาที่นี่ ต้องอดทนหน่อยนะคะ
เพราะคนที่นี่สูบบุหรี่กันจัดมากๆ แม้แต่ผู้หญิง(ตั้งครรภ์)ก็ยืนสูบเฉยๆเลยค่ะ
แต่ดีที่มีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ภายในอาคารออกมาละค่ะ ค่อยยังชั่ว

ถนนหนทางที่นี่ก็มีสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้างค่ะ ใช่ว่า เมืองผู้ดี ก็จะต้องเนี๊ยบทุกกระเบียดนิ้ว
คนดีก็มี คนไม่ดีก็มีเยอะค่ะ ทิ้งขยะไม่เป็นที่ไม่เป็นทาง อยู่ๆไปก็ชินตาค่ะ
แต่ถ้าออกมานอกเมืองหน่อย ถนนสวยมากค่ะ ข้างทางเต็มไปด้วยดอกไม้ (ไม่รู้จักชื่อ 55)
**ถ้าใครแพ้เกสรดอกไม้ ไม่แนะนำให้มาช่วง spring นะคะ เดือนเมษายน-พฤษภาคม เพราะเกสรดอก Dandelion ปลิวว่อนเลยค่ะ
เราเองก็แพ้อากาศที่นี่ หน้าขึ้นผื่น ต้องไปซื้อยาที่ pharmacy ใน Boots เพราะเป็นช่องทางที่สะดวกสุดค่ะ
ละหากจะเข้าพบแพทย์ที่นี้ต้องนัดก่อนล่วงหน้าหลายวันค่ะ
ย่านนี้ค่อนข้างสงบถึงสงบมาก ผู้คนที่นี่ไม่ค่อยออกมาสุงสิงกันค่ะ อยู่กันแต่ในบ้าน บ้านใครบ้านมัน
(เอาวีดีโอสั้นๆที่เราถ่ายเล่นตอนเดินกลับบ้านโฮสมาฝากค่ะ อยู่แถวๆ Norcot Church)
>>>กระทู้หน้าจะเข้าเรื่องเรียนละจริงๆค่ะ สัญญา

ร วมถึงการใช้ชีวิตอยู่กับบ้านโฮสที่นี่ด้วย<<<
เที่ยวไป เรียนไป ใน England #2 >> ฮัลโหลว Reading (เรดดิ้ง)
http://pantip.com/topic/32014835 "เรียนไป เที่ยวไป ใน England #1 >> ตื่นเมืองผู้ดี"
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกการติดตามเลยนะคะ
กระทู้นี้จะพามารู้จักกับเมือง Reading ค่ะ
อันนี้แอบเอารูปมาจาก Reading buses information ค่ะ
ถนนหลักๆก็มี Broad Street ละก็ Friar Street ซึ่ง แหล่ง shopping หลักๆจะอยู่ที่ Broad Street
จะมี shop มากมาย รวมถึง supermarket ละก็ coffee shop ด้วย
(Starbucks ที่นี่ราคาพอกันกับบ้านเราเลยค่ะ ซึ่งสำหรับคนที่นี่คือราคาถูกค่ะ)
**สถาบันที่เราเรียน Eurospeak ก็อยู่บน Broad Street ค่ะ เดินจากสถานีรถไฟ 5 นาทีเอง
ตรงนั้นเป็นเพียงแค่คลองเล็กๆ สองฟากข้างเต็มไปด้วยร้านอาหารค่ะ โซนนั้นเราเรียกว่า Riverside
ซึ่งเยื้องๆกับ The Oracle ก็จะมีโรงหนังชื่อว่า Vue (คล้ายๆ Major บ้านเรา) มีอยู่แทบทุกเมืองค่ะ
ตั๋วภาพยนตร์ที่นี่ซื้อได้ผ่านเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโมัติค่ะ ราคาตั๋วราวๆ 10 ปอนด์ ต่อหนังหนึ่งเรื่อง
แต่ถ้าเป็น Vue ในเมืองใหญ่ก็จะมี counter ขายตั๋วค่ะ
**โรงหนังที่นี่คือเราสามารถนำขนมหรือน้ำที่ซื้อจากข้างนอก เข้าไปทานได้สบายมากเลยค่ะ เพราะไม่มีการตรวจกระเป๋า
Reading Station เป็นสถานีรถไฟที่ค่อนข้างใหญ่(แต่ไม่มาก) ตอนนี้มี 2 ทางเข้าคือ old entrance ละ new entrance ค่ะ
ทางขวาจะเป็น old entrance ทางซ้ายเป็น new entrance ค่ะ แต่ทั้งสองทางเข้าก็สามารถเดินหากันได้
ช่องจำหน่ายตั๋วจะอยู่ที่ old entrance แต่ถ้าตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติมีทั้งสองทางเข้าค่ะ
ใน station ก็มี shop ขายของ รวมทั้ง coffee shop เล็กๆ อ้อ เห็นว่ามี Burger king ละร้านขายยาของ boots ด้วยค่ะ
**เสริมจากกระทู้ที่แล้ว ถ้ามาเรียนที่นี่แล้วมี student card ก็สามารถใช้ลดราคาค่าตั๋วรถไฟได้ค่ะ
ถ้าเดินจาก broad street ไปที่ station ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีค่ะ confirm
1. เดินไปที่ช่องจำหน่ยตั๋ว แล้วบอกสถานีต้นทางและปลายทาง รวมถึงบอกว่า single หรือ return ถ้า return ควรบอกวันกลับด้วยค่ะ
ถ้ามีบัตร railcard หรือ student card ก็ยื่นให้ จนท. ได้เลยค่ะ
2. จะได้ตั๋ว (หน้าตาแบบในรูป) ตั๋วนี้เราสามารถเดินทางเวลาไหนก็ได้ แต่ต้องภายในวันนั้นค่ะ
บางครั้งตั๋วอาจะระบุว่าเราต้องไปกับรถไฟของบริษัทไหน แต่เท่าที่เรารู้ก็มี First Great Western กับ Cross Country ค่ะ
OUT ตรงมุมขวามือด้านบน หมายถึงขาออก (ขาไป) ถ้าขากลับจะเป็น RTN ค่ะ
ถ้าซื้อตั๋วในช่วงเวลา off-peak ตั๋วจะราคาถูกลงค่ะ ถ้าช่วง peak ก็คงจะช่วงเช้าเริ่มงานละบ่ายๆช่วงเลิกงานค่ะ
ซึ่งถ้าเช็คตารางเวลารถไฟในเว็บ/แอพพลิเคชั่น อย่างที่เราบอกไว้ในกระทู้ที่แล้ว จะมีข้อมูลบอกไว้หมดเลยค่ะ
3. เดินผ่านเครื่องตรวจตั๋วอัตโนมัติ (เหมือน bts บ้านเรา)
4. เดินไปที่ platform นั้นๆ (ตามที่ได้เช็คมาจากเว็บ/แอพฯ) ค่ะ ถ้าไม่ชัวร์ตรง platform จะมีป้ายดิจิตอลบอกขบวนรถไฟที่จะมา
จะมีสถานีปลายทาง เวลา ละสถานีที่รถจะผ่านค่ะ (ตามรูป) หรือทางที่ดีถาม จนท. แถวนั้นเลยชัวร์สุดค่ะ
5. รถมาก็ขึ้นรถได้เลยค่า ><
ทุกๆตู้รถไฟก็จะมีป้ายดิจิตอลบอกสถานีที่รถไฟจะจอดรับส่งผู้โดยสาร รวมทั้งมีประกาศบนรถไฟด้วยค่ะ
**ตู้แรกของรถไฟส่วนใหญ่จะเป็นตู้สำหรับผู้โดยสารที่ซื้อบัตรแบบ first-class ค่ะ
www.reading-buses.co.uk
ในนั้นก็จะมี map การเดินทางของบัสด้วยค่ะ
บัสที่นี่ค่อนข้างตรงเวลา ส่วนใหญ่เวลารถจะเป็น ทุกๆ ... นาที เช่น ทุกๆ 15 นาที
บนรถบัสมีจอมอร์นิเตอร์บอกป้ายหยุดรถถัดไป ละป้ายที่รถจอดรับส่งผู้โดยสารค่ะ
และรถจะจอดตามป้ายเท่านั้น ไม่จอดระหว่างทาง ซึ่งแต่ละป้ายระยะห่างกันไม่มาก ถ้านั่งเลยก็เดินกลับเอา แปปเดียว (เราเคย)
การซื้อตั๋ว ซื้อได้กับคนขับเลยค่ะ แต่ต้องเตรียมจำนวนเงินให้พอดีเพราะที่นี่จะไม่ทอน
**ไม่ใช่ยื่นเงินให้คนขับนะคะ แต่หยอดเงินลงในกล่องอัตโนมัติข้างๆคนขับ ก้าวขึ้นรถไปก็เห็นเลยค่ะ
แล้วบอกคนขับว่า single หรือ return เค้าก็จะออกตั๋วให้ค่ะ หรือถ้าเดินทางบ่อยก็ซื้อตั๋วรายสัปดาห์ได้ค่ะ ราคาก็จะถูกลงกว่าปกติ
ด้านหน้ารถจะมีหมายเลขบอกสายรถ ละชื่อป้ายรถบัสปลายทางค่ะ
เราก็ต้องจำว่าเราต้องไปปลายทางที่ไหน ละก็ขึ้นให้ถูกคันแค่นั้นเอง
** bus stop ที่นี่จะแยกว่า bus stop ไหนเป็นของบัสหมายเลขอะไรค่ะ ผู้โดยสารและคนขับรถจะได้ไม่สับสน
หมายเลขคือเลขของบัส ละสีตามหมายเลขส่วนใหญ่เป็นสีของรถบัสเลยค่ะ
ข้อความบนสุดคือชื่อ bus stop นั้นๆ
** ขามาเราลง bus stop ฝั่งไหน ขากลับเราก็ขึ้น bus stop ฝั่งตรงข้าม แค่นั้นค่ะ
รสบัสที่นี่สะอาดสะอ้าน รองรับผู้โดยสารที่นั่งรถเข็น หรือรถเข็นเด็กน้อย มีปุ่มกดจอดรถ(สีแดงๆ)แทบทุกที่นั่งบนรถ
มี priority seats รองรับด้วย ดูดีๆก่อนนั่งนะคะ รวมทั้งมี silent zone ด้วยแต่จะเป็นใกล้คนขับค่ะ เพราะเค้าต้องใช้สมาธิ
คนส่วนใหญ่(วัยรุ่น) ขึ้นรถบัสได้ก็คว้าหูฟัง ฟังเพลงเป็นอันดับแรกค่ะ เล่นเอาเราติดไปด้วยเลย
การจอดรถที่นี่ต้องเสียเงินค่าจอดด้วยในหลายๆสถานที่ ละการสอบใบขับขี่ค่อนข้างยาก(มาก)
ตอนแรกๆที่มาที่นี่เราค่อนข้างตื่นเต้นที่ได้เห็นรถหรูๆ mini-cooper, benz, folk, audi, bmw
แต่เป็นปกติของคนที่นี่ค่ะ นานๆไปก็ชินตาละเฉยไปเอง ถ้าจะให้หรูจริงต้อง lamborghini ค่ะ ^^
ละส่วนใหญ่คนที่นี่นิยมขับรถมือสอง และค่อนข้างเปลี่ยนรถบ่อย อาจเป็นเพราะเบื่อง่าย
ถ้าเดินออกมาจาก Reading Station เดินตรงมาจะเจอสี่แยก ให้เลี้ยวขวาสัก 200 เมตร
ร้านจะอยู่ฝั่งตรงข้าม ฝั่งเดียวกับ McDonald's ละก็ใกล้ๆ McDonald's เลยค่ะ
(อันนี้เป็นรูปหน้าร้านค่ะ)
ของในร้านที่มีขายส่วนใหญ่ก็ ไทย จีน ญี่ปุ่น ค่ะ มีมาม่าหลายรส (รสเย็นตาโฟก็มี)
น้ำพริกแกงสำเร็จรูป คนอร์ก้อน น้ำปลา ซอส น้ำจิ้มสุกี้ ขนมบางอย่าง(เถ้าแก่น้อย) มีอาหารสดด้วยนะคะ
เช่นลูกชิ้นปลา เนื้อปลา เต้าหู้ไข่ เต้าหู้ญี่ปุ่น ผักต่างๆ ที่หายากใน supermarket เช่น มะเขือเปราะ
ละก็เห็นมีซาลาเปาขายด้วยแต่ยังไม่ได้ลองซื้อเลยค่ะ (ของโปรดเราเยย)
**ฉะนั้นใครที่จะไปอยู่นานๆ ม่ายต้องขน มาม่าไปเป็นลังลังนะคะ เปลืองน้ำหนักกระเป๋าแย่
(ตอนแรกเราจะเอามาแหละ 555)
อ้อ แต่ที่ยังไม่เห็นที่นี่คือ โจ๊กค่ะ โจ๊กซองสำเร็จรูป ใครชอบกินก็ติดมาเผื่อไว้บ้างก็ดีค่ะ
อันนี้เอารูปร้านอาหารไทยที่ Reading มาให้ชมค่ะ เป็นร้านแรกที่เราเห็น ชื่อว่า Thai Corner อยู่ใกล้ๆกับ Primark เลย
ยังไม่เคยเข้าไปลองเลยค่ะ กลัวรับราคาไม่ไหว
ดูแล้วสบายตา เห็นแล้วจะต้องยิ้ม แล้วราคาก็ไม่แพงด้วยค่ะ
เห็นว่าคนที่นี่นิยมซื้อดอกไม้ให้กันในทุกๆเทศกาลสำคัญ หรือวันสำคัญ หรือบางครั้งก็ซื้อให้
เนื่องในโอกาสที่พบกันเฉยๆค่ะ
**ดอกลิลลี่สีขาวเป็นดอกไม้สำหรับงานศพค่ะ อยากเผลอซื้อไปให้สาวล่ะ แฮ่ๆ
(รูปนี้เป็นร้านขายดอกไม้ตรงทางเข้าสถาบันเรียนเราค่ะ)
**ร้านแบบนี้คนที่นี่จะไม่เรียกว่า booth นะคะ แต่ที่นี่จะเรียกว่า cart-shop
แต่ไม่เลย คนที่นี่เป็นมิตรละใจดีมากค่ะ ยิ้มง่าย บางครั้งเม้าท์เก่งอีกด้วย
ละคนที่นี่จะพูดคำว่า Thank you กับ Sorry ติดปากค่ะ ได้ยินตลอดๆ
สำหรับคนที่ไม่ชอบคนที่สูบบุหรี่ (มากๆ) ถ้าคิดจะมาที่นี่ ต้องอดทนหน่อยนะคะ
เพราะคนที่นี่สูบบุหรี่กันจัดมากๆ แม้แต่ผู้หญิง(ตั้งครรภ์)ก็ยืนสูบเฉยๆเลยค่ะ
แต่ดีที่มีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ภายในอาคารออกมาละค่ะ ค่อยยังชั่ว
คนดีก็มี คนไม่ดีก็มีเยอะค่ะ ทิ้งขยะไม่เป็นที่ไม่เป็นทาง อยู่ๆไปก็ชินตาค่ะ
แต่ถ้าออกมานอกเมืองหน่อย ถนนสวยมากค่ะ ข้างทางเต็มไปด้วยดอกไม้ (ไม่รู้จักชื่อ 55)
**ถ้าใครแพ้เกสรดอกไม้ ไม่แนะนำให้มาช่วง spring นะคะ เดือนเมษายน-พฤษภาคม เพราะเกสรดอก Dandelion ปลิวว่อนเลยค่ะ
เราเองก็แพ้อากาศที่นี่ หน้าขึ้นผื่น ต้องไปซื้อยาที่ pharmacy ใน Boots เพราะเป็นช่องทางที่สะดวกสุดค่ะ
ละหากจะเข้าพบแพทย์ที่นี้ต้องนัดก่อนล่วงหน้าหลายวันค่ะ
ย่านนี้ค่อนข้างสงบถึงสงบมาก ผู้คนที่นี่ไม่ค่อยออกมาสุงสิงกันค่ะ อยู่กันแต่ในบ้าน บ้านใครบ้านมัน
(เอาวีดีโอสั้นๆที่เราถ่ายเล่นตอนเดินกลับบ้านโฮสมาฝากค่ะ อยู่แถวๆ Norcot Church)
>>>กระทู้หน้าจะเข้าเรื่องเรียนละจริงๆค่ะ สัญญา