สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ก็เจ๋งดีเนาะ
ก่อนอื่น ก็ต้องบอกว่า ฟังคำแฟนเราไว้ ไม่เสียหาย " อย่าไปว่า พวกนี้เด็ดขาด "
ในทางธรรมนั้น เราจะเอา เหตุผลที่ว่า หากใน " ชนใด มีการประกอบ ศีล วัตร และ สมาธิ "
จะสัมมาทิฏฐิหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่เขามี ศีล วัตร และ ที่สำคัญ มีการ ประกอบฌาณ ด้วย
ตรงนี้ การไปทำอะไรกับเขา มันเป็นเรื่องจริงที่ จะได้ อานิสงค์สูง
ถ้าไปทำดี ทำทาน ก็ เป็นไปตามนั้น คือ เราจะได้ทรัพย์มาก
แต่ถ้า ไปทำไม่ดี ไปต่อว่า อันนี้ เราจะลำบากมาก จะทำอะไรไม่ขึ้น พูดอะไรใครก็ไม่ฟัง
ทีนี้ แล้วเราควรทำอย่างไร
มันก็เป็น ส่วนของเรา ให้พิจารณา คุณ และ โทษ และ ประโยชน์ของเรา ไปตามกำลัง
หากโชคดี เราได้ สัมมาทิฏฐิ หมั่นฟังธรรมมากๆ แล้ว หัดเจริญสติไว้ ก็จะมี เขื่อนกั้น
ต้องสังเกตุนะ จิตมีเขื่อนกั้น เหมือนมี เขื่อนกั้น อันนี้ สังเกตไปเลย ว่า มี หรือ ไม่มี
ถ้ายามใดไม่มี หยิบยืมจาก แฟน ก่อนก็ได้ ถ้า แฟนเขามี เราก็ ยืมมาใช้ก่อน
ทีนี้ อย่าไปสนใจ เรื่องราว
ให้ เพียรพิจารณามาที่ สติ ที่ทำหน้าทีเป็นเขื่อนกั้นว่า มี สติ ด้วยสาเหตุ อะไรบ้าง
ไม่ต้องให้ค่า ให้ราคา กับเรื่องราว แต่ ระหว่างที่เกิดเรื่องราว เกิดผัสสะ เอา จังหวะ
นั้นมาสังเกต สติที่เป็นเขื่อนกั้น
ทีนี้ มันจะยื้อกันไป ยื้อกันมา บ้างก็มี " ไขน้ำเข้า ไขน้ำออก " ไปตามเรื่อง ไม่ว่ากัน
ทีเนี่ยะ หากเรา หมั่นฟังธรรมได้มากพอ มีสัมมาทิฏฐิได้มากพอ จะรู้ว่า
เรื่องราวในโลก กับ เรื่องราวที่เป็นอริยสัจจ สิ่งไหน ควรน้อมจิตไป กระทบ เพื่อให้
เกิด จุดและต่อม หรือ จักษุ มากกว่ากัน
พระสารีบุตรนะ แม่ของท่าน ก็เป็น พราหมณ์ ท่านทำบุญกับ พวกทำฌาณ ทำสมาธิ นอกเขตสัมมาทิฏฐิ
พอได้ข่าวว่า ลูกตน ไปนั่งขอทาน บวชเป็น ภิกษุใน สมณะโคดมเจ้า ก็ น้อยใจ
แต่ พระสารีบุตรเนี่ยะ ท่าน มีปรกติ " ดูเขื่อนกั้น ไขน้ำเข้า ไขน้ำออก " ละเรื่องราว
คือ นิพพาน " ดับภพ คือ นิพพาน " ท่านก็พิจารณาอยู่อย่างนั้น
สุดท้าย
พระสารีบุตร ก่อนจะปรินิพพาน ก็ไป หาแม่ แม่ก็ไม่ต้อนรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
เลยให้ไล่ไปนอนในห้องห่างๆ
ตกดึก มีแสงสว่าง วิ่งเข้า วิ่งออก ห้องบุตรชาย ด้วยอำนาจ ทิพยสมบัติ ที่แม่ท่าน
ทำไว้กับพวก พราหมณ์ ก็ทำให้ มี ตาทิพย์เห็น
พอเห็น ก็ใจอ่อน จิตควรแก่การงาน ก็เปรยให้ลูกแสดงธรรมให้ฟัง ....สุดท้าย ก็ทำให้ แม่ สำเร็จโสดาบัน
ก็เลยอยากบอกว่า
ลูกที่ดี บุตรที่ดี แม้จะเคยต่อว่าต่อขานใคร จนทำให้ พ่อแม่ ไม่ค่อยฟัง แต่ หาก บุตร คนนั้น หมั่นภาวนา
จนมีแสงสว่างบางประการ ไม่ต้องอะไรมาก ไม่ต้องแบบพระสารีบุตร เอาแค่ น่าเราสดใส กระจ่าง
แม่ คนเป็นแม่ ท่านเห็นได้ ว่า ลูกนั้นจิตใจใสสว่าง หรือ ว่า เป็นเด็กเมื่อวานซืน
ก่อนอื่น ก็ต้องบอกว่า ฟังคำแฟนเราไว้ ไม่เสียหาย " อย่าไปว่า พวกนี้เด็ดขาด "
ในทางธรรมนั้น เราจะเอา เหตุผลที่ว่า หากใน " ชนใด มีการประกอบ ศีล วัตร และ สมาธิ "
จะสัมมาทิฏฐิหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่เขามี ศีล วัตร และ ที่สำคัญ มีการ ประกอบฌาณ ด้วย
ตรงนี้ การไปทำอะไรกับเขา มันเป็นเรื่องจริงที่ จะได้ อานิสงค์สูง
ถ้าไปทำดี ทำทาน ก็ เป็นไปตามนั้น คือ เราจะได้ทรัพย์มาก
แต่ถ้า ไปทำไม่ดี ไปต่อว่า อันนี้ เราจะลำบากมาก จะทำอะไรไม่ขึ้น พูดอะไรใครก็ไม่ฟัง
ทีนี้ แล้วเราควรทำอย่างไร
มันก็เป็น ส่วนของเรา ให้พิจารณา คุณ และ โทษ และ ประโยชน์ของเรา ไปตามกำลัง
หากโชคดี เราได้ สัมมาทิฏฐิ หมั่นฟังธรรมมากๆ แล้ว หัดเจริญสติไว้ ก็จะมี เขื่อนกั้น
ต้องสังเกตุนะ จิตมีเขื่อนกั้น เหมือนมี เขื่อนกั้น อันนี้ สังเกตไปเลย ว่า มี หรือ ไม่มี
ถ้ายามใดไม่มี หยิบยืมจาก แฟน ก่อนก็ได้ ถ้า แฟนเขามี เราก็ ยืมมาใช้ก่อน
ทีนี้ อย่าไปสนใจ เรื่องราว
ให้ เพียรพิจารณามาที่ สติ ที่ทำหน้าทีเป็นเขื่อนกั้นว่า มี สติ ด้วยสาเหตุ อะไรบ้าง
ไม่ต้องให้ค่า ให้ราคา กับเรื่องราว แต่ ระหว่างที่เกิดเรื่องราว เกิดผัสสะ เอา จังหวะ
นั้นมาสังเกต สติที่เป็นเขื่อนกั้น
ทีนี้ มันจะยื้อกันไป ยื้อกันมา บ้างก็มี " ไขน้ำเข้า ไขน้ำออก " ไปตามเรื่อง ไม่ว่ากัน
ทีเนี่ยะ หากเรา หมั่นฟังธรรมได้มากพอ มีสัมมาทิฏฐิได้มากพอ จะรู้ว่า
เรื่องราวในโลก กับ เรื่องราวที่เป็นอริยสัจจ สิ่งไหน ควรน้อมจิตไป กระทบ เพื่อให้
เกิด จุดและต่อม หรือ จักษุ มากกว่ากัน
พระสารีบุตรนะ แม่ของท่าน ก็เป็น พราหมณ์ ท่านทำบุญกับ พวกทำฌาณ ทำสมาธิ นอกเขตสัมมาทิฏฐิ
พอได้ข่าวว่า ลูกตน ไปนั่งขอทาน บวชเป็น ภิกษุใน สมณะโคดมเจ้า ก็ น้อยใจ
แต่ พระสารีบุตรเนี่ยะ ท่าน มีปรกติ " ดูเขื่อนกั้น ไขน้ำเข้า ไขน้ำออก " ละเรื่องราว
คือ นิพพาน " ดับภพ คือ นิพพาน " ท่านก็พิจารณาอยู่อย่างนั้น
สุดท้าย
พระสารีบุตร ก่อนจะปรินิพพาน ก็ไป หาแม่ แม่ก็ไม่ต้อนรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
เลยให้ไล่ไปนอนในห้องห่างๆ
ตกดึก มีแสงสว่าง วิ่งเข้า วิ่งออก ห้องบุตรชาย ด้วยอำนาจ ทิพยสมบัติ ที่แม่ท่าน
ทำไว้กับพวก พราหมณ์ ก็ทำให้ มี ตาทิพย์เห็น
พอเห็น ก็ใจอ่อน จิตควรแก่การงาน ก็เปรยให้ลูกแสดงธรรมให้ฟัง ....สุดท้าย ก็ทำให้ แม่ สำเร็จโสดาบัน
ก็เลยอยากบอกว่า
ลูกที่ดี บุตรที่ดี แม้จะเคยต่อว่าต่อขานใคร จนทำให้ พ่อแม่ ไม่ค่อยฟัง แต่ หาก บุตร คนนั้น หมั่นภาวนา
จนมีแสงสว่างบางประการ ไม่ต้องอะไรมาก ไม่ต้องแบบพระสารีบุตร เอาแค่ น่าเราสดใส กระจ่าง
แม่ คนเป็นแม่ ท่านเห็นได้ ว่า ลูกนั้นจิตใจใสสว่าง หรือ ว่า เป็นเด็กเมื่อวานซืน
แสดงความคิดเห็น
ผมต้องทนกับความกดดันอีกต่อไปแค่ไหน ขอระบายหน่อยนะครับ
ผมเป็นเด็กมหาลัยและกำลังจะจบการศึกษาในปีอันใกล้นี้แล้วครับ
ผมมีเพื่อนมีแฟน เล่นเกมส์ เดินห้าง ติวหนังสือ มีกิจกรรมทำแบบวัยรุ่นทั่วไป ไม่มีปัญหาการเงิน แต่ผมมีปัญหาอย่างเดียวครับ
ครอบครัวผมนับถือธรรมกาย หรือ ลัทธิจานบินแบบคนอื่นๆเรียกกันล่ะครับ
สิ่งที่ผมจะทำการเล่าออกมานี้เป็นเรื่องราวในชีวิตของผมที่เป็นส่วนหนึ่งในลัทธินี้มาตั้งแต่เด็ก
แต่ไม่รู้ว่าครอบครัวอื่นจะเป็นแบบผมหรือเปล่านะครับ กรุณนาฟังความอัดอั้นตันใจของผมก่อนเถอะครับ........
ผมเคยชื่นชมนับถือวัดนี้มาตั้งแต่เด็ก ในเรื่องสอนให้ทำดี ละความชั่ว รักษาศีล5 นั่งสมาธิเพื่อทำจิตใจให้แจ่มใส่มีสติ
หลังๆซัก4-5ปีมานี้ Trend ของผ็เข้าวัดที่นี่ได้เปลี่ยนมาเป็น "ยิ่งทำบุญมาก...ยิ่งร่ำรวย" มีการปลุกใจด้วยคำพูดนี้ตลอดทุกๆงานบุญ
ผมตะขิดตะขวงใจ เคยถามคุณแม่ไปครั้งหนึ่ง
ท่านตอบประมาณว่าหลวงพ่อสอน อะไรประมาณนั้น นั่นทำให้ผมอึ้งแล้วเริ่มคิดกับตัวเองว่า
เอ้ะ.....ทำบุญมันต้องหวังผลมากขนาดนี้เลยเหรอวะ มันใช่แล้วเหรอวะ
หลังจากหลายเหตุการณ์กอบกับกระแสด้านลบในโซเชียลเนตเวิร์ต ผมมาคิดดู มันก็ยิ่งไม่ใช่ ทั้งเรื่องจัดงานบุญยิ่งใหญ่ในเมือง
คนวัด (คนที่เข้าวัด) เขาบอกว่าเพื่อจะให้คนภายนอกรับรู้และเป็นการแบ่งบุญให้คนอื่น
ผมก็คิดว่า แบ่งบุญน่ะอาจจะใช่ แต่มันก็สร้างความวุ่นวายเหมือนกันนะ...
ส่วนตัวผมไม่ได้เข้าวัดมาเกือบ10ปีแล้วครับ แต่ก็ยังได้ยินข่าวสารจากครอบครัวเรื่อยๆ ทั้งเรื่องทำบุญเอย พิธีกรรมเอย(เขาเรียกกันแบบนี้)
ผมเองทั้งติดเรียนเพราะเรียนเต็มตาราง จ.-ศ. แถมเรียนพิเศษเพิ่มอีกในวันหยุดก็ต้องบอกบายไปเรื่อยๆ
และอย่างที่บอกผมติดเรียนครับชาวพันทิป....ผมกำลังทำเกรดเพราะผมใกล้จะจบแล้ว
คุณแม่บอกว่า ........เรื่องเรียนไว้ทีหลัง บุญมาก่อน.......
ผมช้อค... เห้ย!นี่แม่ผมรึเปล่าเนี่ย วัดนี้เปลี่ยนแม่ผมให้กลายเป็นใครไปแล้ว!
จุดไคลแมกซ์ มันคือการที่ผมบอกบายแบบนี้มาเกือบ10 ปี มันทำให้คุณแม่ไม่พอใจ บอกตัดพ้อด้วยถ้อยคำแรงๆ เช่น
นี่เป็นกิจกรรมของแม่ ถ้า A ไม่มาก็ไม่ต้องมาพูดกันแล้วล่ะ ชาติหน้าไม่ต้องมาเกิดเป็นครอบครัวเดียวกัน ปิดประตูใส่หน้าผมดัง ปัง!
เป็นแบบนี้ตลอด เรื่อยๆ ผมฟังแล้วอยากจะขาดใจตาย นี่ผมทำอะไรผิดครับนี่ ทุ่มเทให้การเรียนเพื่อที่จะดูแลครอบครัวและแฟนผมในอนาคต
กลับถูกต่อว่ามาแบบนี้.......
ผมเลย อ้ะ...งั้นเราลองไปวัดละกัน นานๆทีจะได้ไป ท่านจะได้พอใจหายเคืองเราซะที
พอไปถึงเท่านั้นล่ะครับ จบ......จะเรียกว่าอะไรดี ทุกอย่างในวัดมันกลายเป็น การทำบุญเพื่อรวยเท่านั้น ทั้งการให้พรของหลวงพี่
การอณุโมทณากันเองในหมู่ผู้นำบุญ การชักชวนทำบุญของ staff ในวัด คะยั้นคะยอคล้ายกับการขายตรงเลยก็ว่าได้
"ขอให้รวย มีสมบัติทันใช้ในทุกชาติ มีเงินทุกสกุลเงิน และอีกมากมาย"
และไม่พอ คนวัดที่นี่มี แผ่นขอพรหน้าหลังขนาดครึ่งหน้ากระดาษA4 ทุกคน และจะขอพรตาม Pattern นั้นตลอด
ผมกดดัน ไม่รู้จะทำอย่างไร ด่าในใจแล้วจะบาปกรรมไหม กลัวว่าตัวเองจะหลุดเข้าไปในวงจร กลัวว่าครอบครัวจะเคืองผม
หลังจากนั้นผมก็ทำตัวห่างเหินไปอีกครั้ง จะไปวัดทีก็ต่อเมื่อเกิดการทะเลาะขึ้นูและคำพูดเสียดแทงนั่นแหละครับ
ละเหตุการณ์ที่พีคที่สุดคือ ผมสงสัย ทนไม่ไหวแล้วครับ ถามคุณแม่ว่า
"แม่ครับ ผมอยากทำบุญแต่ไปทำวัด aaa แถวบ้านนะครับ" ท่านตอบกลับมาว่า ทำไมไม่ไปทำวัดเรา
ผมตอบว่าทำไมล่ะครับ มันก็ไกลนะอยู่ปทุมนู่น ผมชอบปล่อยปลา (แล้วผมก็กดดันด้วยครับ) ท่านตอบว่า
....วัดเราได้บุญกว่าเพราะหลวงพี่เรารักษาศีลไม่เคยพร่อง ดีกว่าวัดอื่น...
ผมล่ะอึ้ง! เห้ยนี่แปลว่าคนทั่วประเทศทำบุญแล้วได้บุญน้อย วัดอื่นมัน Low Quality สินะ.....ผมทนไม่ไหวค้านท่านไปว่า
"แม่ครับ ผมว่าพูดอย่างนี้ไม่ถูก ทำบุญเขาทำกันที่ใจ ไม่เลิอกวัด ไม่หวังผล จะทำให้เรามีความสุขครับ"
ท่านเถียงอะไรสักอย่างประมาณว่า ...นั่นก็ใช่แต่วัดเราดีกว่า ยังไงก็ได้บุญมากกว่าที่อื่น....
หลังจากนั้น ยาวครับโดนสวดยับ หาว่าผมไปว่าวัดอีก แต่ผมเงียบสู้ ยังไงก็แพ้ท่าน ฮาาาาา
ดีที่ผมมีแฟนให้ระบาย เธอบอกเรื่องวัดนี้แบบนี้ห้ามไปเถียงพวกเขาเด็ดขาด......แต่ก็เครียดอีก
ครอบครัวแฟนไม่ชอบลัทธินี้อย่างรุนแรงถึงกับด่าเลยทีเดียว
แม่ผมพยายามเหลือเกิน จะให้ครอบครัวแฟนผมผันตัวมาเข้าวัด ผมเครียดครับ พยายามกีดกัน ทำเป็นลืมบอกบุญบ้าง
ออกเงินทำบุญให้เองเลยหลายครั้ง แฟนผมก็รู้ เธอบอกขอบคุณมากนะที่ทำบุญให้ แต่คุณแม่ของเธอถ้ารู้คงไม่อยากทำบุญกับวัดนี้
ล่าสุดทางวัดให้ทุกคนทำบุญคนละ1เหรียญบาท และให้มโนว่า ทำแล้วต้องปลื้มเหมือนทำบุญพันล้านบาท
ท่านแม่มาชวน......เออ ก็ได้ครับล้านก็ล้านครับ
กลัวท่านแม่ฝ่ายหญิงจะมองเราแปลกๆ กลัวท่านแม่ฝ่ายเราจะเคือง ทุกอย่างยั้วเยี้ย ต้องทำตัวเองให้ยุ่งตลอดเวลา
ทุกวันนี้ไปทำบุญวัดอื่นต้องเงียบๆไปครับ แต่ก็ทำบุญเผื่อท่านตลอด แอบขอพรเล็กๆว่า
"ขอให้ผลบุญที่ผมทำมา ช่วยบรรดาลให้ผู้คนทำบุญแบบไม่โลภมากเสียที"
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณพี่ๆชาวพันทิบ ที่มาอ่านกระทู้ผมจนจบครับ ผมรู้สึกดีขึ้นนิดนึงแล้วล่ะครับ
น้อมรับทุกคำติชม สวัสดีปีม้าครับ ^___^
ปล. ผมสมัครมาเพื่อระบายเลยนะเนี่ย แท้กเทิ่กไม่เป็นหรอกครับ ฮาาา ขออภัยมา ณ ที่นี้