พ่อผมป่วยเป็นมะเร็งเจอคุณหมอนางฟ้า คุณหมอรุ่งอรุณ ห้องฉายแสง โรงพยาบาลสงขลานครินทร์

คนทำดีย่อมได้รับการยกย่อง เป็นเรื่องธรรมดาครับ     “  พ่อผมป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ครับ   เป็นตั้งแต่ปี 49  ตอนแรกรักษาตัวที่โรงพยาบาลสงขลา     และทำการผ่าตัดสำไส้ลำไส้ ครั้งที่ 1 จากนั้นพ่อถ่ายโดยใช้ถุงบริวณช่องท้องครับ      หลังจากนั้นอีก 1 ปี หมอที่โรงพยาบาลสงขลาก็ทำการรักษาจนพ่อผมกลับมาถ่ายทางทวารหนักได้เหมือนเดิม    พ่อดีใจมากทำให้แกมั่นใจในการเข้าสังคมขึ้น      ต่อมาพ่อเจ็บที่ท้องอีกจนทางบ้านตัดสินใจสงตัวไปที่โรงพยาบาลสงขลนครินทร์หรือที่เรียกว่า   มอ.สงขลา    หรือ มอ.หาดใหญ่ นั่นแหละครับ   เนื่องจากมีอาจารย์หมอเก่งๆหลายท่าน และที่สำคัญคือมียาคีโมหลายชนิด     พ่อผมถ่ายเป็นเลือดและเจ็บมาก จนต้องเข้าผ่าตัดรอบที่ 2 นอนโรงพยาบาลอยู่เกือบเดือน      มีทั้งการฉายแสง และให้คีโม      จนทำให้ครอบครัวผมพบกับคุณหมอหลายท่าน   ทั้งคุณหมอแผนกอายุรกรรม และคุณหมอทางด้านฉายแสง     ปกติเมื่อพ่อพบหมออายุรกรรมเสร็จหมอจะส่งต่อมาที่ห้องฉายแสง      ทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาล  ผม แม่และพ่อต้องไปกันเกือบเดือนเพื่อเข้ารับการฉายแสง       จนทำให้พบกับคุณหมอที่ชื่อ คุณหมอรุ่งอรุณ    คุณหมอเป็นคนตัวเล็กๆ เสียงใสๆ   ผมสังเกตทุกครั้งที่เข้าพบคุณหมอแล้วพ่อผมจะดีใจที่ได้คุยกับหมอ     ทำให้เราทั้งสามคนเวลาไป มอ.สงขลาแล้วอยากให้พ่อเจอหมอรุ่งอรุณจัง     เพราะบางวันเราไปแค่ฉายแสงอย่างเดียวรอประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วกลับคือไม่ต้องพบหมอ    มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อนอนอยู่  เพื่อรอเข้าห้องขีดเส้นก่อนการฉายแสง    คุณหมอรุ่งอรุณเดินผ่านมา     พ่อเหลียวไปมองหมอจนสุดสายตาเลยผมสังเกตุอยู่ห่างๆ     เพราะคนไข้หมอเยอะมากเลยไม่เห็นพ่อผม       หลายครั้งคุณหมอบอกพ่อผมว่า  " คุณลุงต้องสู้น่ะ หมอก็จะรักษาให้ดีที่สุด เจ็บบ้างธรรมดาน่ะคุณลุง   แน่ะดูผลซิ ดีขึ้นตั้งเยอะ  ทั่งในส่วนของการฉายแสงและผลเลือด คุณลุงสู้น่ะ "   พ่อผมยิ้มทุกครั้งที่ได้เจอท่านแม่ก็พลอยชื่นใจไปด้วย     รอยยิ้มของคนเป็นมะเร็งมีค่ามากครับ   ถ้าใครมีผู้ป่วยที่ใกล้ชิดจะรู้    มันหาได้ยาก เพราะเจ็บและต้องรักษาต่อเนื่องกินเวลานาน   ทั้งการฉายแสง และให้คีโม    ในส่วนของค่ารักษาพยาบาล   ผมรับราชการครับเลยใช้สิทธิเบิกได้ ผมเคยถามหมอว่า ยาที่ใช้สำหรับการรักษาในกรณีที่เบิกได้ของราชการนั้นดีขนาดไหนครับ     คุณหมอตอบได้น่าสนใจครับ ท่านตอบว่า  "  หากเปรียบยาที่ใช้รักษาเป็นเหมือนการเดินทางไปกรุงเทพน่ะคุณลุง    เหมือนกับคุณลุงนั่งเครื่องบินไปแหละ  ยาดีในระดับนึง คุณลุงไม่ต้องนั่งรถทัวร์หรือนั่งรถไฟไป   มันช้าและเหนื่อย   แต่มันก็เป็นการนั่งเครื่องบินที่เป็นสายการบินชั้นประหยัดน่ะค่ะ  ไม่ใช่ชั้นธุรกิจทีมีราคาแพง "     ผม แม่และพ่อ   เรายิ้มกับคำตอบที่ได้รับและพ่อผมเข้าใจได้   จนพ่อมีกำลังใจในการเข้ารับการรักษาขึ้นเยอะ      จนพ่อบอกว่าหากเปรียบไอ้มะเร็งร้ายเหมือนการชกมวย (พ่อผมชอบดูมวยมาก) หากขึ้นสังเวียนพ่อผมจะต่อยกับมะเร็งให้ครบทั้ง 12 ยก    หากต้องแพ้พ่อต้องแพ้คะแนนจากกรรมการตัดสินเท่านั้น   ไม่แพ้เพราะโดนน็อคแน่นอน    นี่คือกำลังใจของคนไข้มะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 3 เข้าสู่ระยะที่ 4 ที่พ่อได้รับจากคนรอบข้างรวมทั้งจากคุณหมอรุ่งอรุณ  หลังจากรักษาอยู่ที่มอ.อยู่ประมาณ 3 ปี    พ่อผมก็อาการทรุกหนักและพบว่าตอนหลังมีวัณโรคแทรกซ้อน     จนทำให้พ่อเสียชีวิตลงอย่างสงบ    เมื่อปลายเดือนตุลาคมปี 56 ที่เพิ่งผ่านมา  เลยอยากฝากบอกหลายคนที่ไม่รู้จักโรคมะเร็ง    รวมทั้งคนที่เป็นโรคนี้หรือมีญาติที่เป็นโรคนี้  กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมาก   มันมีค่าสำหรับผู้ป่วย  แต่ที่ผมแปลกใจมากคือ  ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันหรือเป็นญาติกันมาก่อน  คุณหมอรุ่งอรุณ  ห้องฉายแสง โรงบาล มอ.สงขลา ทำให้พ่อผมและครอบครัวของผมมีกำลังใจในการรักษาและพ่อผมมีแรงต่อสู้กับโรคร้ายนี้อย่างไม่น่าเชื่อ  ขอยกย่องและกราบขอบพระคุณคุณหมอเป็นอย่างสูงครับ  ต้องขออภัยที่ผมจำนามสกุลคุณหมอไม่ได้ครับ  ผมมีภาพคุณหมอให้ดูด้วยครับ (แหมอยากให้ ชาว มอ. สงขลา   ส่งสาส์น นี้ให้คุณหมอได้รับรู้จังครับ)

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่