เมื่ออาทิตย์ก่อน จขกท. มีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์งาน โดนจิกกัดไปเต็มที่ โอเค ไม่ว่าอะไรเป็นเรื่องปกติที่เค้าก็ต้องคัดเอาคนที่มีคุณสมบัติตามที่เค้าต้องการมากที่สุดมาทำงาน แต่มีคำถามและคำพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้เราอึ้ง และ พูดไม่ออกตอบไม่ถูก คือ
ผู้ถาม : “ แต่งงานรึยัง?”
เรา : “ยังค่ะ แต่แพลนกันไว้จะแต่งปีหน้า”
ผู้ถาม : “แฟนทำงานอะไร”
เรา : “เป็นทหารค่ะ”
ผู้ถาม : ทำเสียงหัวเราะ หึๆ อยู่ลำคอ แล้วเงยหน้ามาทางเราแล้วพูดว่า “ยศอะไร นายร้อย นายพันมั๊ย ? ทหารเงินเดือนน้อยนะ จะพอกินพอใช้จ่ายในครอบครัวหรอ ทำไมไม่ไปหาอาชีพอื่นที่เลี้ยงเราได้ล่ะ” ผู้ถามคือผู้หญิง อายุน่าจะ 40 ปลายๆ
เรายิ้มแบบแห้งๆ แต่เราไม่ตอบ เพราะเรารู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมันมาอัดอั้นที่ลำคอ พอเราออกมาจากห้อง เรามานั่งพักสักครู่แล้วโทรหาแฟนคุยกันสักพักก็วาง แล้วเราก็มานั่งคิดทบทวนสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดสิ่งสุดท้าย
แฟนเราเป็นทหารยศชั้นประทวน ตอนนี้ประจำการอยู่ที่ จ.ปัตตานี หากเค้าไม่รักในอาชีพนี้จริงๆเค้าก็คงไม่ลงไปทำเพราะที่บ้านก็พอจะมีที่ทาง ทำธุรกิจเล็กๆน้อยๆได้ แต่เค้าเลือกที่จะอยู่นั่น 3ปีแล้วก็ยังไม่กลับขึ้นมา เราน้อยใจ น้อยใจแทนแฟนเรา ว่าทำไมหนอ คนที่สุขสบายอยู่ข้างบนนี้ถึงได้ดูถูกดูแคลนอาชีพเค้านัก ทั้งๆที่เค้าเอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิต แลกกับการทำงานที่มีเงินเดือนอันน้อยนิด เราเลือกที่จะไม่เล่าเรื่องนี้ให้แฟนฟัง เราภูมิใจนะที่เราจะตอบกับใครต่อใครว่าแฟนเราทำงานอะไร ที่ไหน อย่างไร เราว่าสิ่งที่เค้าทำ คือสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ และมีเกียรติที่สุด แต่ทำไมหนอ? ผู้หญิงคนนี้ถึงได้พูดแบบนี้ ?
คนเมืองหลวง ตื่นขึ้นมาคิดแต่ว่าจะไปกินไรดี จะเที่ยวที่ไหน ช็อปปิ้งกับใคร แต่ขณะเดียวกันคนที่เป็นทหารเงินเดือนน้อยนิด ที่เค้าคิดนั้น กลับกำลังถือปืน เข้าเวรยาม ดูแลความปลอดภัยของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ความคิดที่เค้าคิดตอนนั้นคือ จะได้กลับไปเจอครอบครัวมั๊ย จะได้กลับไปนอนหนุนตักแม่หรือป่าว หรือ พรุ่งนี้จะยังมีลมหายใจอยู่มั๊ย?
ที่เรามาพูดในที่นี้เราไม่ได้ต้องการมาดราม่า รึ จะมาต่อว่าต่อขานใคร อะไรทั้งนั้น เพียงแต่อยากแชร์ความรู้สึกของครอบครัวทหารว่าเค้าคิดอย่างไร ไม่จำเป็นต้องยกย่องให้เค้าเป็นวีรบุรุษเมื่อเค้าตายไปหรอกค่ะ ขอแค่ให้เกียรติเมื่อตอนเค้ามีชีวิตอยู่แค่นั้นเพียงพอแล้ว
จากความในใจ ของครอบครัวทหารยศน้อยๆ
ผู้ถาม : “ แต่งงานรึยัง?”
เรา : “ยังค่ะ แต่แพลนกันไว้จะแต่งปีหน้า”
ผู้ถาม : “แฟนทำงานอะไร”
เรา : “เป็นทหารค่ะ”
ผู้ถาม : ทำเสียงหัวเราะ หึๆ อยู่ลำคอ แล้วเงยหน้ามาทางเราแล้วพูดว่า “ยศอะไร นายร้อย นายพันมั๊ย ? ทหารเงินเดือนน้อยนะ จะพอกินพอใช้จ่ายในครอบครัวหรอ ทำไมไม่ไปหาอาชีพอื่นที่เลี้ยงเราได้ล่ะ” ผู้ถามคือผู้หญิง อายุน่าจะ 40 ปลายๆ
เรายิ้มแบบแห้งๆ แต่เราไม่ตอบ เพราะเรารู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมันมาอัดอั้นที่ลำคอ พอเราออกมาจากห้อง เรามานั่งพักสักครู่แล้วโทรหาแฟนคุยกันสักพักก็วาง แล้วเราก็มานั่งคิดทบทวนสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดสิ่งสุดท้าย
แฟนเราเป็นทหารยศชั้นประทวน ตอนนี้ประจำการอยู่ที่ จ.ปัตตานี หากเค้าไม่รักในอาชีพนี้จริงๆเค้าก็คงไม่ลงไปทำเพราะที่บ้านก็พอจะมีที่ทาง ทำธุรกิจเล็กๆน้อยๆได้ แต่เค้าเลือกที่จะอยู่นั่น 3ปีแล้วก็ยังไม่กลับขึ้นมา เราน้อยใจ น้อยใจแทนแฟนเรา ว่าทำไมหนอ คนที่สุขสบายอยู่ข้างบนนี้ถึงได้ดูถูกดูแคลนอาชีพเค้านัก ทั้งๆที่เค้าเอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิต แลกกับการทำงานที่มีเงินเดือนอันน้อยนิด เราเลือกที่จะไม่เล่าเรื่องนี้ให้แฟนฟัง เราภูมิใจนะที่เราจะตอบกับใครต่อใครว่าแฟนเราทำงานอะไร ที่ไหน อย่างไร เราว่าสิ่งที่เค้าทำ คือสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ และมีเกียรติที่สุด แต่ทำไมหนอ? ผู้หญิงคนนี้ถึงได้พูดแบบนี้ ?
คนเมืองหลวง ตื่นขึ้นมาคิดแต่ว่าจะไปกินไรดี จะเที่ยวที่ไหน ช็อปปิ้งกับใคร แต่ขณะเดียวกันคนที่เป็นทหารเงินเดือนน้อยนิด ที่เค้าคิดนั้น กลับกำลังถือปืน เข้าเวรยาม ดูแลความปลอดภัยของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ความคิดที่เค้าคิดตอนนั้นคือ จะได้กลับไปเจอครอบครัวมั๊ย จะได้กลับไปนอนหนุนตักแม่หรือป่าว หรือ พรุ่งนี้จะยังมีลมหายใจอยู่มั๊ย?
ที่เรามาพูดในที่นี้เราไม่ได้ต้องการมาดราม่า รึ จะมาต่อว่าต่อขานใคร อะไรทั้งนั้น เพียงแต่อยากแชร์ความรู้สึกของครอบครัวทหารว่าเค้าคิดอย่างไร ไม่จำเป็นต้องยกย่องให้เค้าเป็นวีรบุรุษเมื่อเค้าตายไปหรอกค่ะ ขอแค่ให้เกียรติเมื่อตอนเค้ามีชีวิตอยู่แค่นั้นเพียงพอแล้ว