ตามที่ผมได้ตอบกระทู้เพื่อนๆนักลงทุน หลายท่าน
เกี่ยวกับการเริ่มต้นลงทุนหุ้นในต่างประเทศ พบว่าส่วนใหญ่จะมีคำถามคล้ายๆกัน
เหมือนสมัยผมลงทุนต่างประเทศเองแรกๆ …จำได้ว่า งงมาก
และไม่รู้จะถามใคร!!! ......
ผมจึงขออนุญาตรวบรวมข้อสงสัย คำถามที่เกี่ยวข้องกับหุ้นต่างประเทศในกระทู้เดียว
โดยขอตอบจากประสบการณ์ตรงนะครับ อาจจะไม่ค่อยเป็นวิชาการมากมายนัก
หากผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย
โดยจะเน้นใน us,uk,hk,china ครับ
1 ถาม: ทำไมควรเริ่มลงทุนต่างประเทศ ?
ตอบ: - เป็นการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดๆเดียวและเป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่หลากหลาย
-ส่วนใหญ่หุ้นที่เป็น super stock จะอยู่ในต่างประเทศ เช่นหุ้น apple,Microsoft,walmart
,starbucks ,Vodafone,petro china , เป็นต้น
-เราใช้ความได้เปรียบเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่า(เมื่อเทียบกับสมัยก่อน) ทำให้เราซื้อหุ้นต่างประเทศที่ค่าเงินอ่อนกว่า
ได้ในราคา discount (กรณีราคาหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง) แต่ความเป็นจริงได้สองเด้งคือค่าเงินและราคาหุ้น
(ตอนนั้นผม ซื้อgoogle ราคาหุ้นละ 550-600usd เงินบาทประมาณ 29-30บาท /1usd
ปัจจุบันราคาหุ้น 1,030 usd เงินบาทประมาณ 31 บาท/1usd ) (ข้อมูล 15/11/13) เป็นต้น
2 ถาม : เปิดport ต่างประเทศทำยังงัย ?
ตอบ: ปัจจุบันสามารถเปิด port หุ้นต่างประเทศผ่าน brokers ในไทยได้แล้วเช่น
Aira,nomura,asia plus ,phillip, เป็นต้น ส่วนวางเงินขั้นต่ำแล้วแต่ brokers กำหนด
โดยแต่ละที่จะมีข้อเด่น ข้อด้อยแตกต่างกันไป แต่ที่ผมจะแนะนำไม่ใช่ใช้ broker ไหนดี
แต่จะบอกว่าก่อนเปิด port ให้ถาม broker ด้วยคำถามดังนี้
-โปรแกรมที่ใช้เทรด เป็นอย่างไร (บางที่เร็วใช้งานง่ายบางที่ช้าใช้งานยาก)
-ค่าธรรมเนียมการเทรดเท่าไหร่ (10-30 usd ต่อ1 คำสั่ง: )
-การแลกเปลี่ยนสกุลเงินมีความคล่องตัวหรือไม่
-การให้ข้อมูลข่าวสาร(ชนิดที่เป็นประโยชน์) มาก น้อยแค่ไหน
-ลงทุนประเทศไหนได้บ้าง
ข้อควรระวังถ้าไปลงทุนต่างประเทศ
-อัตราแลกเปลี่ยน ถ้าลงทุนในไทยเปรียบเหมือนข้ามถนนที่รถวิ่งเลนเดียว
คือเราจะดูที่ value ของบริษัทและเริ่มลงทุน แต่ถ้าลงทุนต่างประเทศ
เสมือนข้ามถนนที่มี2เลน คือนอกจากดูที่ value ของบริษัท ยังต้องรอจังหวะ
ของค่าเงินที่เหมาะสมอีกด้วย
-Money management ต้องดี เพราะ drawdown ลึกมาก
3 หลังจากเปิด port แล้วจึงตัดสินใจเลือกประเทศที่ลงทุน ..........
โดยแต่ละประเทศมีความน่าสนใจที่แตกต่างกันไป
ก่อนเลือกประเทศผมจะดู 2เรื่องหลักๆ หนึ่ง เรื่องค่าเงินและแนวโน้มสภาพเศรษฐกิจ
สอง กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ(มีการเติบโตหรือแข็งแกร่ง)
โดยต้องผ่านทั้งสองเกณฑ์…จึงตัดสินใจลงทุน...
ยกตัวอย่าง us และuk ตอนที่ผมลงทุน ค่าเงิน USD,GBP อ่อน-อ่อนมาก (เราได้เปรียบค่าเงิน:ให้ผ่าน)
และมูลค่าหุ้นยังไม่สูงมากนัก (p/e เฉลี่ย ประมาณ10-15เท่า:ให้ผ่าน)
จึงตัดสินใจลงทุน โดยเริ่มจากทยอยแปลงค่าเงินจากบาทเป็น usd,gbp
สลับกับการทยอยซื้อหุ้นตามระดับราคาต่างๆกัน(ซื้อเป็นไม้ๆ)
ถ้าค่าเงินusd อ่อนและราคาหุ้นลงมา ก็ซื้อมากหน่อย..
หรือถ้าค่าเงิน usd อ่อนมากแต่หุ้นยังไม่ลง ก็แลกค่าเงินล่วงหน้าไปก่อนแล้วค่อยซื้อหุ้นภายหลัง เป็นต้น
ยกตัวอย่างหุ้นแต่ละประเทศ ข้อดี และข้อเสีย(จากประสบการณ์) ดังนี้
Us: stocks
ข้อดี (คร่าวๆที่นึกออก) มีหุ้นที่เรารู้จักเข้าใจง่าย งบการเงินอ่านง่าย ข้อมูลหาง่าย
ข้อเสีย ราคาหุ้นแต่ละตัวมีตั้งแต่หลักพันยันหลักแสน ถ้าเงินน้อยจะถัวยาก
… หุ้นบางตัวมี Drawdown ที่ลึกมากๆ ความผันผวนค่อนข้างสูง , ปันผลจะไม่ค่อยมาก เป็นต้น
ตัวอย่างหุ้นเช่น(ข้อมูล ณ วันที่ 15/11/13)
-Apple Inc Com ตัวย่อ AAPL: NYSE (p/e 13 เท่า ,beta 0.31 yield 2.31%)
-Microsoft Corp Com ตัวย่อ MSFT: NSDQ (p/e 14 เท่า ,beta 0.89 yield 2.95%)
-Wal-Mart Stores Inc Com ตัวย่อ WMT: NYSE (p/e 15 เท่า ,beta 0.64 yield 2.38%)
-Johnson & Johnson Com ตัวย่อ JNJ: NYSE (p/e 20 เท่า ,beta 0.84 yield 2.81%)
-Starbucks Corp Com ตัวย่อ SBUX: NSDQ (p/e 36 เท่า ,beta 1.17 yield 1.28%)
Us: ETFs (ข้อมูลเยอะจัด...ขอแนะนำโดยละเอียดวันหลังคับ)
ข้อดี มีกองทุนที่หลายหลายมากกกที่ประเทศไทยไม่เคยมี... เช่น กองทุนประเภท short index , ทองคำ2x,3x
ข้อเสีย etfs บางตัว สภาพคล่องไม่สูงนัก
China Stocks (H-Shares)
ข้อดี มีหุ้นหลากหลาย ราคาไม่สูง (เมื่อเทียบกับเมืองไทย) แนวโน้มธุรกิจเติบโต
ข้อเสีย งบการเงินเป็นสกุลเงินหยวน(Rmb) แต่ราคาหุ้น H-Shares เป็น HKD ต้องแปลงค่าเงินดีๆ
บริษัทส่วนใหญ่ใน H-Shares จะเป็นรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่สภาพคล่องไม่มาก ,
เทรด H-Shares จะเทรดเป็น board lot เช่นหุ้น Ping an Insurance ราคาหุ้น 63.5 HKD. board lot 500
หมายถึงให้ ซื้อไม้ละ 500หุ้น@ 63.5 hkd ใช้เงิน 31,750 hkd หรือประมาณ 127,000 บาท ต่อหนึ่งlot
(แต่ถ้ามีเงินน้อยกว่านั้นต้องไปซื้อที่ตลาด OTC ที่us แต่หุ้นจะใช้ตัวย่ออื่น )
ตัวอย่าง H-Shares เช่น
-Bank of China ตัวย่อ 03988.HK
-ICBC ตัวย่อ 01398.HK
-Petro China ตัวย่อ 00857.HK
-China Telecom ตัวย่อ 00728.HK
-Pingan ตัวย่อ 023184.HK
-Air China ตัวย่อ 00753.HK
UK Stocks
ข้อดี,ข้อเสีย คล้ายๆตลาด us
ตัวอย่างชื่อหุ้น ดังนี้
GlaxoSmithKline ตัวย่อ GSK
Prudential ตัวย่อ PRU
Tesco ตัวย่อ TSCO
Vodafone GRP ตัวย่อ VOD
4 ถาม:หาข้อมูลจากไหนได้บ้าง?
ตอบ : ถ้าภาพรวมเช่น www. finance.yahoo.com , www.morningstar.com , www.bloomberg.com
แต่ส่วนใหญ่จะเปิด website ของแต่ละบริษัทเอง
สรุป
ลงทุนต่างประเทศไม่ยาก และ ไม่ง่าย ครับ ...........ขอให้โชคดีทุกคน
ขอจบด้วยขนาดของหุ้น google เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทยทั้งตลาด!
หุ้น Google market cap ประมาณ 345,000 ล้านเหรียญ
หรือเท่ากับ 10.695 ล้านล้านบาทไทย (ข้อมุล15/11/13)
ตลาดหุ้นไทย(SET) เท่ากับ 12.41 ล้านล้านบาทไทย หรือ(ข้อมุล15/11/13)
....พูดง่ายว่าหุ้น google บริษัทเดียว มีขนาดเกือบจะเท่ากับตลาดหุ้นไทยทั้งตลาดเลย!!!! ....
....และในโลกกลมๆใบนี้ มีหุ้นทุกตัวรวมกันเป็นหมื่นๆตัวแสนๆตัว .......
...เราคงเป็นเพียงแค่ปลาซิว ที่ว่ายในwallstreet เท่านั้นเอง.....
ขอบคุณครับ
ปลาซิวว่ายในwall street (1 :อยากเริ่มลงทุนหุ้น ต่างประเทศ ทำงัย?)
เกี่ยวกับการเริ่มต้นลงทุนหุ้นในต่างประเทศ พบว่าส่วนใหญ่จะมีคำถามคล้ายๆกัน
เหมือนสมัยผมลงทุนต่างประเทศเองแรกๆ …จำได้ว่า งงมาก
และไม่รู้จะถามใคร!!! ......
ผมจึงขออนุญาตรวบรวมข้อสงสัย คำถามที่เกี่ยวข้องกับหุ้นต่างประเทศในกระทู้เดียว
โดยขอตอบจากประสบการณ์ตรงนะครับ อาจจะไม่ค่อยเป็นวิชาการมากมายนัก
หากผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย
โดยจะเน้นใน us,uk,hk,china ครับ
1 ถาม: ทำไมควรเริ่มลงทุนต่างประเทศ ?
ตอบ: - เป็นการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดๆเดียวและเป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่หลากหลาย
-ส่วนใหญ่หุ้นที่เป็น super stock จะอยู่ในต่างประเทศ เช่นหุ้น apple,Microsoft,walmart
,starbucks ,Vodafone,petro china , เป็นต้น
-เราใช้ความได้เปรียบเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่า(เมื่อเทียบกับสมัยก่อน) ทำให้เราซื้อหุ้นต่างประเทศที่ค่าเงินอ่อนกว่า
ได้ในราคา discount (กรณีราคาหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง) แต่ความเป็นจริงได้สองเด้งคือค่าเงินและราคาหุ้น
(ตอนนั้นผม ซื้อgoogle ราคาหุ้นละ 550-600usd เงินบาทประมาณ 29-30บาท /1usd
ปัจจุบันราคาหุ้น 1,030 usd เงินบาทประมาณ 31 บาท/1usd ) (ข้อมูล 15/11/13) เป็นต้น
2 ถาม : เปิดport ต่างประเทศทำยังงัย ?
ตอบ: ปัจจุบันสามารถเปิด port หุ้นต่างประเทศผ่าน brokers ในไทยได้แล้วเช่น
Aira,nomura,asia plus ,phillip, เป็นต้น ส่วนวางเงินขั้นต่ำแล้วแต่ brokers กำหนด
โดยแต่ละที่จะมีข้อเด่น ข้อด้อยแตกต่างกันไป แต่ที่ผมจะแนะนำไม่ใช่ใช้ broker ไหนดี
แต่จะบอกว่าก่อนเปิด port ให้ถาม broker ด้วยคำถามดังนี้
-โปรแกรมที่ใช้เทรด เป็นอย่างไร (บางที่เร็วใช้งานง่ายบางที่ช้าใช้งานยาก)
-ค่าธรรมเนียมการเทรดเท่าไหร่ (10-30 usd ต่อ1 คำสั่ง: )
-การแลกเปลี่ยนสกุลเงินมีความคล่องตัวหรือไม่
-การให้ข้อมูลข่าวสาร(ชนิดที่เป็นประโยชน์) มาก น้อยแค่ไหน
-ลงทุนประเทศไหนได้บ้าง
ข้อควรระวังถ้าไปลงทุนต่างประเทศ
-อัตราแลกเปลี่ยน ถ้าลงทุนในไทยเปรียบเหมือนข้ามถนนที่รถวิ่งเลนเดียว
คือเราจะดูที่ value ของบริษัทและเริ่มลงทุน แต่ถ้าลงทุนต่างประเทศ
เสมือนข้ามถนนที่มี2เลน คือนอกจากดูที่ value ของบริษัท ยังต้องรอจังหวะ
ของค่าเงินที่เหมาะสมอีกด้วย
-Money management ต้องดี เพราะ drawdown ลึกมาก
3 หลังจากเปิด port แล้วจึงตัดสินใจเลือกประเทศที่ลงทุน ..........
โดยแต่ละประเทศมีความน่าสนใจที่แตกต่างกันไป
ก่อนเลือกประเทศผมจะดู 2เรื่องหลักๆ หนึ่ง เรื่องค่าเงินและแนวโน้มสภาพเศรษฐกิจ
สอง กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ(มีการเติบโตหรือแข็งแกร่ง)
โดยต้องผ่านทั้งสองเกณฑ์…จึงตัดสินใจลงทุน...
ยกตัวอย่าง us และuk ตอนที่ผมลงทุน ค่าเงิน USD,GBP อ่อน-อ่อนมาก (เราได้เปรียบค่าเงิน:ให้ผ่าน)
และมูลค่าหุ้นยังไม่สูงมากนัก (p/e เฉลี่ย ประมาณ10-15เท่า:ให้ผ่าน)
จึงตัดสินใจลงทุน โดยเริ่มจากทยอยแปลงค่าเงินจากบาทเป็น usd,gbp
สลับกับการทยอยซื้อหุ้นตามระดับราคาต่างๆกัน(ซื้อเป็นไม้ๆ)
ถ้าค่าเงินusd อ่อนและราคาหุ้นลงมา ก็ซื้อมากหน่อย..
หรือถ้าค่าเงิน usd อ่อนมากแต่หุ้นยังไม่ลง ก็แลกค่าเงินล่วงหน้าไปก่อนแล้วค่อยซื้อหุ้นภายหลัง เป็นต้น
ยกตัวอย่างหุ้นแต่ละประเทศ ข้อดี และข้อเสีย(จากประสบการณ์) ดังนี้
Us: stocks
ข้อดี (คร่าวๆที่นึกออก) มีหุ้นที่เรารู้จักเข้าใจง่าย งบการเงินอ่านง่าย ข้อมูลหาง่าย
ข้อเสีย ราคาหุ้นแต่ละตัวมีตั้งแต่หลักพันยันหลักแสน ถ้าเงินน้อยจะถัวยาก
… หุ้นบางตัวมี Drawdown ที่ลึกมากๆ ความผันผวนค่อนข้างสูง , ปันผลจะไม่ค่อยมาก เป็นต้น
ตัวอย่างหุ้นเช่น(ข้อมูล ณ วันที่ 15/11/13)
-Apple Inc Com ตัวย่อ AAPL: NYSE (p/e 13 เท่า ,beta 0.31 yield 2.31%)
-Microsoft Corp Com ตัวย่อ MSFT: NSDQ (p/e 14 เท่า ,beta 0.89 yield 2.95%)
-Wal-Mart Stores Inc Com ตัวย่อ WMT: NYSE (p/e 15 เท่า ,beta 0.64 yield 2.38%)
-Johnson & Johnson Com ตัวย่อ JNJ: NYSE (p/e 20 เท่า ,beta 0.84 yield 2.81%)
-Starbucks Corp Com ตัวย่อ SBUX: NSDQ (p/e 36 เท่า ,beta 1.17 yield 1.28%)
Us: ETFs (ข้อมูลเยอะจัด...ขอแนะนำโดยละเอียดวันหลังคับ)
ข้อดี มีกองทุนที่หลายหลายมากกกที่ประเทศไทยไม่เคยมี... เช่น กองทุนประเภท short index , ทองคำ2x,3x
ข้อเสีย etfs บางตัว สภาพคล่องไม่สูงนัก
China Stocks (H-Shares)
ข้อดี มีหุ้นหลากหลาย ราคาไม่สูง (เมื่อเทียบกับเมืองไทย) แนวโน้มธุรกิจเติบโต
ข้อเสีย งบการเงินเป็นสกุลเงินหยวน(Rmb) แต่ราคาหุ้น H-Shares เป็น HKD ต้องแปลงค่าเงินดีๆ
บริษัทส่วนใหญ่ใน H-Shares จะเป็นรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่สภาพคล่องไม่มาก ,
เทรด H-Shares จะเทรดเป็น board lot เช่นหุ้น Ping an Insurance ราคาหุ้น 63.5 HKD. board lot 500
หมายถึงให้ ซื้อไม้ละ 500หุ้น@ 63.5 hkd ใช้เงิน 31,750 hkd หรือประมาณ 127,000 บาท ต่อหนึ่งlot
(แต่ถ้ามีเงินน้อยกว่านั้นต้องไปซื้อที่ตลาด OTC ที่us แต่หุ้นจะใช้ตัวย่ออื่น )
ตัวอย่าง H-Shares เช่น
-Bank of China ตัวย่อ 03988.HK
-ICBC ตัวย่อ 01398.HK
-Petro China ตัวย่อ 00857.HK
-China Telecom ตัวย่อ 00728.HK
-Pingan ตัวย่อ 023184.HK
-Air China ตัวย่อ 00753.HK
UK Stocks
ข้อดี,ข้อเสีย คล้ายๆตลาด us
ตัวอย่างชื่อหุ้น ดังนี้
GlaxoSmithKline ตัวย่อ GSK
Prudential ตัวย่อ PRU
Tesco ตัวย่อ TSCO
Vodafone GRP ตัวย่อ VOD
4 ถาม:หาข้อมูลจากไหนได้บ้าง?
ตอบ : ถ้าภาพรวมเช่น www. finance.yahoo.com , www.morningstar.com , www.bloomberg.com
แต่ส่วนใหญ่จะเปิด website ของแต่ละบริษัทเอง
สรุป
ลงทุนต่างประเทศไม่ยาก และ ไม่ง่าย ครับ ...........ขอให้โชคดีทุกคน
ขอจบด้วยขนาดของหุ้น google เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทยทั้งตลาด!
หุ้น Google market cap ประมาณ 345,000 ล้านเหรียญ
หรือเท่ากับ 10.695 ล้านล้านบาทไทย (ข้อมุล15/11/13)
ตลาดหุ้นไทย(SET) เท่ากับ 12.41 ล้านล้านบาทไทย หรือ(ข้อมุล15/11/13)
....พูดง่ายว่าหุ้น google บริษัทเดียว มีขนาดเกือบจะเท่ากับตลาดหุ้นไทยทั้งตลาดเลย!!!! ....
....และในโลกกลมๆใบนี้ มีหุ้นทุกตัวรวมกันเป็นหมื่นๆตัวแสนๆตัว .......
...เราคงเป็นเพียงแค่ปลาซิว ที่ว่ายในwallstreet เท่านั้นเอง.....
ขอบคุณครับ