
Message from Thao Tho
ya, Chan, plz check the weather carefully b4 you com

. As i know, Hanoi's going to experience rain and monsoon since tonite. On the way back home this afternoon, i can feel the cold wind blow over the whole city. Btw, if it's in stormy weather, it's not good idea to travel to Halong bay nearby the sea.
เอ้าตายห่าแล้วสิครับ เพราะผมกำลังจะเดินทางไปฮานอยวันที่ 26-29 กันยายน 2556 นี้ ทุกอย่างถูกจองไว้หมดแล้ว พอดีส่งข้อความไปบอกเพื่อนเวียดนามว่า จะไปฮานอย หวังว่าจะได้เจอทุกคน หลังจากคุยกันต่อ ถึงกับกระเมื่อ Thao บอกเราถึงพยากรณ์อากาศที่ฮานอยว่า
"due to my weather forecast app on my smartphone, it said in gonna sunny again only from 29"

เข้าใจง่ายๆ คือท้องฟ้าที่ฮานอยจะแจ่มใส ศิวิไลซ์ น่าท่องเที่ยว หลังวันที่ 29 ซึ้งเวลานั้น พวกกระผมคง Landing in Thailand เรียบร้อยแล้ว ถึงกระนั้นพวกเราก็ไม่ท้อถอยครับ เย็น 25 กย จึงได้เดินทางสู่มหานคร ถึงท่าอากาศยานดอนเมืองประมาณตี 2 ถึงเช้ามากมายเลยครับ ทุกท่านคงเข้าใจว่า ที่นั่งในสนามบินถูกปรับข้อบ่งชี้ในการใช้จากนั่งเป็นนอนทั้งหมด 1 คนอาจจใช้เก้าอี้ในการนอนถึง 6 seat เพราะฉะนั้น พวกเราจึง "อิลากอิเลือ" แถวพื้นนั่นแหละ จนกระทั่ง 04:30 am ถึงได้เข้าแถวเช็คอิน ...เอ้อออ ลืมบอกไป การเดินทางครั้งนี้เราจองทัวร์ของ Airasiago ; Fight Ticket included Room (4 day 3 night) ราคา 4,300 บาทต่อคน ต่อต้องจองล่วงหน้านะครับ ก่อนนานเท่าไหร่ ยิ่งถูกเท่านั้น ผมจองล่วงหน้าก่อน 3 เดือน

การเดินทางจากไทย อากาศโปร่ง ท้องฟ้าสดใส เวลาผ่านไป 1 ชม กับอีก 45 นาที กัปตันลดกระดับความสูงของเครื่องต่ำกว่าเมฆเท่านั้นแหละครับ ฝนกระหน่ำ เห็นได้ชัดจากหน้าต่างเครื่อง อีกไม่กี่อึดใจเครื่อง AirBus A320 ก็ Landing ลงที่สนามบินนานาชาตินอยไบ (Noibai) ประเทศเวียดนามอย่างราบรื่น จากที่ผมค่อนข้างคาดหวังกับสนามบินนานาชาติ ที่มีคนบอกผมมาว่า ดีกว่าสุวรรณภูมิอีก พอลงเหยียบแผ่นดินไซง่อนปุ๊บ ผมตกใจมากมายว่า ใช่เวียดนาดไหมเนี่ย สนามบินเป็นเก่าๆ มีจุดที่กำลังสร้างใหม่กำลังก่อสร้าง หรือเกิดการ Outbreak ในฮานอยรึป่าว เยี่ยงไรถึงไร้ร้างผู้คนเพียงนี้ คนน้อยมาก หรือไปเยอะที่ขาออกก็หาทราบได้ จะลองประเมินดูวันกลับก็แล้วกัน Line การคัดกรองคนเข้าเมืองแปลกๆ งงๆ ไม่มีการแสกนๆใด รึสันนิฐานได้ว่า ผ่านการตรวจตราจากเมืองไทย ครบถ้วนแล้ว มีแค่การ Stamp ลงใน Passport หน้าสุดท้ายเท่านั้น อันนี้ก็แอบงงว่าทำไม ที่ ด่านตรวจคนเข้าเมืองต้อง Stamp Passport หน้าสุดท้าย เคยไปเว้ (Hue-The Middle of Vietnam ) ตม.ก็ใช้หน้าสุดท้ายของหนังสือเดินทางเช่นกัน

ที่เคยคุยกับ Mai Hai Yen (เพื่อนคนเวียดนามอีกคน) บอกว่ามาถึงเวียดนามแล้วให้ส่ง SMS หาเธอด้วย และ Minh Den ก็แนะนำว่า "once you arrive HN you can buy a pretty cheap sim card There are 3 bigest phone servies in Vietnam: Mobile phone, Vinaphone or Viettel one sim card price about 50.000VND, with 120.000VND in your amount. So don't have to add any money
ผมเลยตัดสินใจเดินหาเลือกซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์ที่สถามบิน ได้ของเครือข่าย Vinaphone ราคา 150,000 VND มีมูลค่าเงินในซิมเท่ากับจำนวนซื้อ

จากนั้นก็หาทางมุ่งหน้าสู่ Hanoi โดยเรามี 2 ทางเลือกจากที่ Review ในเว็ปพันทิพย์มา คือ
1.By Bus ราคาไม่เกิน 10,000 VND
2.By Taxi ราคาน่าจะสนุนอยู่ที่ 20 US $
ไม่ใช่เราไม่มีตังนะครับ พกมาเต็มเป้ แต่อยากสัมผัสระบบขนส่งมวลชนของฮานอย 55555 เราถึงตัดสินใจเดินหารถบัส พร้อมกับสบถเบาๆ กับคนขับแท็กซี่ว่า "อย่ามายุ่งกับตรู" เดินจนสังเกตเห็นรถบัส หมายเลข 7 พร้อมคนรอราว 20 คน แต่เป้าหมายเราคือ สาย 17 เอาไงดีละครับท่าน เพื่อนเดินเข้าไปถามผู้หญิงเวียดนามที่รอขึ้นรถคนหนึ่งทันทีว่า "They want to go "long bian" Where's the bus number one-seven ? ตายห่าล่ะเธอทำหน้างง เหมือนจะไม่รับแขก ...อ๋อ ที่ใบหน้าเป็นอย่างนั้นคือเธอพยายามทำความเข้าใจพร้อมกับทวนคำถามว่า "Long Bian" เธอมองซ้ายมองขวา พร้อมกับชี้ไปที่คนกลุ่มหนึ่ง 20 คนเศษๆ เราพอจะเข้าใจว่าเธอน่าจะจับใจความได้ว่าผมจะไป "ลองเบียน" ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำในใจกลางเมืองฮานอยซึ่งเป็นป้ายสุดท้ายของรถบัสสาย 17 แป๊บเดียวสาย17 วิ่งมาพร้อมผู้โดยสาร เธอหันมายิ้มชี้มือไปที่รถพร้อมพยักหน้า เราจึงจะลืมที่จะโค้งขอบคุณพร้อมกับกล่าวคำว่า "Thank you very much" นับเป็นความประทับใจแรกบนแผ่นดินฮานอย ของผู้คนที่สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้มากมาย แต่พยายามที่จะเข้าใจ และช่วย โดยไม่เบือนหน้าหนีเหมือนคนไทยส่วนใหญ่ที่กลัวชาวต่างชาติ

รถสาย 17 ออกเดินทางจากสนามบินนอยไบ พร้อมสายฝนโปรยปรายเล็กน้อย กับผู้โดยสารบนรถที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้แรงงานจะเข้าไปในเมือง ถ้าใครได้มาเวียดนามแล้วนั่งสายนี้เข้าเมือง ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะมันจะเลาะลัดทุ่งนา เทือกสวน ตลอดสองข้างทางคุณจะเห็นกลิ่นอายของความเป็นเวียดนาม และอีกอย่างที่ผมเห็นคือ ลักษณะของการปลูกบ้าน ที่ลักษณะแคบมากๆๆๆๆๆ แตาเรียวเล็กสูงตระหง่าน เกือบทุกหลัง ผมมิอาจรู้เพราะอะไร ได้แต่คาดเดาว่า กรรมสิทธิ์การครอบครองที่ดินของแต่ละคนคงน้อยมาก รวมเวลาได้ 1 ช.ม. พอดี รถสาย 17 ( ราคา 7,000 VND ต่างกันมากโขกับค่า Taxi )

รถสาย 17 จอดที่ใจกลางเมือง เราลงรถพร้อมกับความงง ว่าจะเอาไงดี เพราะงงทิศทางที่จะไปโรงแรมที่เราจองผ่านตั๋วเครื่องบิน จึงเลือกที่จะสุ่มเดาเดินไปพร้อมกับฝนลงเม็ดเบาๆ แอบนึกในใจว่า จะเที่ยวไหนได้เนี้ย ร่มก็ไม่มี เสื้อกันหนาวก็ไม่ได้เอามา เดินจนสุดความสามารถเราแล้ว จึงแวะถามสาววัยรุ่นเวียดนามที่พึ่งจอดมอเตอร์ไซค์ ชี้แผนที่กันอยู่นานกว่าเขาจะเข้าใจ แต่ยอมรับเลยว่าเขาสามารถ Speak English is very nice !! เธอแนะนำว่าเดินไปเจอวงเวียน แล้วเลี้ยวซ้าย ตรงไปเจอตลาด อีก 2 ซอยจะถึงโรงแรมที่เราอยู่ หรือจะด้วยความที่เราทำหน้างง เธอเลยกล่าวว่า" I can go to send U for free " เธอคงกลัวเราคิดว่าเธอจะคิดตังเลยบอกก่อนเลยว่าฟรีนะ อยากจะบอกว่าคนเวียดนามน่ารักจริงๆๆนะ จากนั้นก็เดินไปตามคำแนะนำ อยากจะบอกว่าการข้ามถนนยากมากครับ แต่พอเห็นคนเวียดนามข้ามที ดูชิวๆๆ ไม่ต้องดูรถมากมาย เดินไปเลย รถจะหยุดเอง 555 ในที่สุดเราก็พุ่งชนเป้าหมายด้วยยความภาคภูมิใจ กับการเดินโดยไม่ได้ช่วยเพิ่มรายได้ให้รถแท็กซี่ อยากจะบอกว่า Hanoi Old Town Hotel is center of the capital มากๆๆ เพราะอยู่ใจกลางตลงตลาด ข้างโรงแรมขายกระสอบ เชือกปอ เสื่อ อะไรมากมาย

เดินเข้าโรงแรม น่าจะเป็นเจ้าของโรงแรมทักว่าทำไมดูเหนื่อยมากมาย จากไทยมาแค่ 1ชั่วโมง กับ 45 นาทีเองไม่ใช่หรอ หารู้ไม่ว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง ห้องที่ได้คือ 101 จัดการอาบน้ำอาบท่า หลังจากที่อาบครั้งล่าสุดตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจากที่ทำงาน ด้วยบรรยากาศฝนตกเลยนอนพักเหนื่อยแล้วคุยกันว่า บ่ายๆ ค่อยออกไปเดินรอบเมือง ทะเลสาบคืนดาบ และก็ดูแสดงหุ่นกระบอกน้ำ ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์ก็ออกเดินทาง ทัวร์เมืองฮานอยโดยแผนที่ กระดาษA4 ถ่ายเอกสาร 1 แผ่น ถนนทุกเส้นคึกคักไปด้วยการค้าขาย ร้านรวง แผงลอย หาบเล่ ละลานตาไปหมด

ระหว่างจะข้ามถนน มีชายวัยกลางคนว่างตามมา เราแอบตกใจ ยิ่งเพิ่มความกลัวไปอีกที่ชายคนนั้นก้มลงจับรองเท้าเรา คิดในใจว่าเหยียบสร้อยคอทองคำเขาติดรองเท้ามาป่าวว่ะ ได้แต่งึงงงต่อไป ผ่านอีกซอย มองเห็นจุดซ่อมรองเท้าเต็มไปหมด แล้วก็ใช้วิธีการที่คล้ายคลึง จึงเข้าใจว่า "อ๋อ เขาชวนเราเปลี่ยนพื้นรองเท้า" จากนั้นก็คิดว่าจะไปดูหุ่นกระบอก จากตารางการแสดง มีตั้งแต่รอบ 15:30 16:30 17:30 18:30 20:00 ตอนนี้แค่ สี่โมงเย็น แต่ตั๋วเต็มหมด มีอีกทีตอน 2 ทุ่ม จึงซื้อตั๋วรอบ 2 ทุ่ม โรงแสดงละครหุ่นกระบอกจะอยู่ริม Sward Lake หรือที่เรียกกันว่าทะเลสาปคืนดาบนั่นเอง ในทะเลสาบเป็นที่ตั้งของ Ngoc Son temple รอบๆ รึมบึงบรรยากาศคล้ายๆ ที่สมสู่ เอ้ย แรงไป ประมาณว่าพลอดรักกันนี่แหละครับ เดินไปสักครู่

กองทัพเริ่มจะไม่ไหวแระครับ เพราะท้องร้องว่า หิวๆๆๆๆ เลยเดินหาร้านอาหาร เลยได้ตกลงปลงใจที่ครัวไซง่อนอะไรสักอย่างนี่แหละ อาหารที่เลือก มีข้าวผัดปู บะหมี่เนื้อ และก็ทอดปลามึก พูดแล้วน้ำลายไหล เมนูหลังสุดนี่น่ากินสุดๆๆๆ เดินแล้วเดินอีกก็ยังไม่ถึงเวลา สักที ตอนนั้นเริ่มมืดแระ หกโมงเย็น เหลืออีกตั้ง 2 ชม เลยไปตั้งหลักรอที่โรงแรมดีกว่า จนเกือบ 19:30 ถึงเดินออกมาจากโรงแรมประมาณ 2 กิโลเมตร สำหรับการแสดงก็ประหลาดใจสำหรับการแสดงพอควร แต่ด้วยเนื้อเรื่องเป็นภาษาถิ่น ไม่มีการแปล เลยดูภาษาภาพครับ แอบง่วงบ้างบางตอน ถึง หลายตอน 55555

ระหว่างเดินทางกลับโรงแรม ลองเปลี่ยนเส้นทาง ภาพที่เห็นคือ ตรอกข้าวสารเบาๆ แต่ร้านรวง เหล้าปั่น นมปั่น มิได้ใหญ่โตหรูหรา แต่เป็นร้านแบบมีโต๊ะญี่ปุ่น พร้อมเก้าอี้ 4-5 ตัว นั่งกันตรงริมถนนนี่แหละครับ บ้างดื่มเบียร์ บ้างดื่มนมปั่น บ้างแทะเปลือกเม็ดทานตะวัน บริเวณเกือบทุกสี่แยกที่เราเดินผ่าน เดินเยอะ แถมมื้อเย็นก็ตั้งแต่ สี่โมง ท้องเลยเริ่มร้อง เลยรองท้องด้วยเฝอ กับ ขนมปังฝรั่งเศสสอดใส้เนื้ออะไรก็ไม่รู้ ทำให้รอดตายจากความหิว พร้อมกับนอนหลับเป็นตาย ....เอาวันแรกไปก่อนนะครับ วันที่สอง Halong Bay Comming Soon
[CR] แบกเป้ ข้ามฟ้า ท่องฮานอย (4 วัน 3 คืน หมดไม่ถึงหมื่น นะครับผม) Part 1
Message from Thao Tho
ya, Chan, plz check the weather carefully b4 you com
เอ้าตายห่าแล้วสิครับ เพราะผมกำลังจะเดินทางไปฮานอยวันที่ 26-29 กันยายน 2556 นี้ ทุกอย่างถูกจองไว้หมดแล้ว พอดีส่งข้อความไปบอกเพื่อนเวียดนามว่า จะไปฮานอย หวังว่าจะได้เจอทุกคน หลังจากคุยกันต่อ ถึงกับกระเมื่อ Thao บอกเราถึงพยากรณ์อากาศที่ฮานอยว่า
"due to my weather forecast app on my smartphone, it said in gonna sunny again only from 29"
เข้าใจง่ายๆ คือท้องฟ้าที่ฮานอยจะแจ่มใส ศิวิไลซ์ น่าท่องเที่ยว หลังวันที่ 29 ซึ้งเวลานั้น พวกกระผมคง Landing in Thailand เรียบร้อยแล้ว ถึงกระนั้นพวกเราก็ไม่ท้อถอยครับ เย็น 25 กย จึงได้เดินทางสู่มหานคร ถึงท่าอากาศยานดอนเมืองประมาณตี 2 ถึงเช้ามากมายเลยครับ ทุกท่านคงเข้าใจว่า ที่นั่งในสนามบินถูกปรับข้อบ่งชี้ในการใช้จากนั่งเป็นนอนทั้งหมด 1 คนอาจจใช้เก้าอี้ในการนอนถึง 6 seat เพราะฉะนั้น พวกเราจึง "อิลากอิเลือ" แถวพื้นนั่นแหละ จนกระทั่ง 04:30 am ถึงได้เข้าแถวเช็คอิน ...เอ้อออ ลืมบอกไป การเดินทางครั้งนี้เราจองทัวร์ของ Airasiago ; Fight Ticket included Room (4 day 3 night) ราคา 4,300 บาทต่อคน ต่อต้องจองล่วงหน้านะครับ ก่อนนานเท่าไหร่ ยิ่งถูกเท่านั้น ผมจองล่วงหน้าก่อน 3 เดือน
การเดินทางจากไทย อากาศโปร่ง ท้องฟ้าสดใส เวลาผ่านไป 1 ชม กับอีก 45 นาที กัปตันลดกระดับความสูงของเครื่องต่ำกว่าเมฆเท่านั้นแหละครับ ฝนกระหน่ำ เห็นได้ชัดจากหน้าต่างเครื่อง อีกไม่กี่อึดใจเครื่อง AirBus A320 ก็ Landing ลงที่สนามบินนานาชาตินอยไบ (Noibai) ประเทศเวียดนามอย่างราบรื่น จากที่ผมค่อนข้างคาดหวังกับสนามบินนานาชาติ ที่มีคนบอกผมมาว่า ดีกว่าสุวรรณภูมิอีก พอลงเหยียบแผ่นดินไซง่อนปุ๊บ ผมตกใจมากมายว่า ใช่เวียดนาดไหมเนี่ย สนามบินเป็นเก่าๆ มีจุดที่กำลังสร้างใหม่กำลังก่อสร้าง หรือเกิดการ Outbreak ในฮานอยรึป่าว เยี่ยงไรถึงไร้ร้างผู้คนเพียงนี้ คนน้อยมาก หรือไปเยอะที่ขาออกก็หาทราบได้ จะลองประเมินดูวันกลับก็แล้วกัน Line การคัดกรองคนเข้าเมืองแปลกๆ งงๆ ไม่มีการแสกนๆใด รึสันนิฐานได้ว่า ผ่านการตรวจตราจากเมืองไทย ครบถ้วนแล้ว มีแค่การ Stamp ลงใน Passport หน้าสุดท้ายเท่านั้น อันนี้ก็แอบงงว่าทำไม ที่ ด่านตรวจคนเข้าเมืองต้อง Stamp Passport หน้าสุดท้าย เคยไปเว้ (Hue-The Middle of Vietnam ) ตม.ก็ใช้หน้าสุดท้ายของหนังสือเดินทางเช่นกัน
ที่เคยคุยกับ Mai Hai Yen (เพื่อนคนเวียดนามอีกคน) บอกว่ามาถึงเวียดนามแล้วให้ส่ง SMS หาเธอด้วย และ Minh Den ก็แนะนำว่า "once you arrive HN you can buy a pretty cheap sim card There are 3 bigest phone servies in Vietnam: Mobile phone, Vinaphone or Viettel one sim card price about 50.000VND, with 120.000VND in your amount. So don't have to add any money
ผมเลยตัดสินใจเดินหาเลือกซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์ที่สถามบิน ได้ของเครือข่าย Vinaphone ราคา 150,000 VND มีมูลค่าเงินในซิมเท่ากับจำนวนซื้อ
จากนั้นก็หาทางมุ่งหน้าสู่ Hanoi โดยเรามี 2 ทางเลือกจากที่ Review ในเว็ปพันทิพย์มา คือ
1.By Bus ราคาไม่เกิน 10,000 VND
2.By Taxi ราคาน่าจะสนุนอยู่ที่ 20 US $
ไม่ใช่เราไม่มีตังนะครับ พกมาเต็มเป้ แต่อยากสัมผัสระบบขนส่งมวลชนของฮานอย 55555 เราถึงตัดสินใจเดินหารถบัส พร้อมกับสบถเบาๆ กับคนขับแท็กซี่ว่า "อย่ามายุ่งกับตรู" เดินจนสังเกตเห็นรถบัส หมายเลข 7 พร้อมคนรอราว 20 คน แต่เป้าหมายเราคือ สาย 17 เอาไงดีละครับท่าน เพื่อนเดินเข้าไปถามผู้หญิงเวียดนามที่รอขึ้นรถคนหนึ่งทันทีว่า "They want to go "long bian" Where's the bus number one-seven ? ตายห่าล่ะเธอทำหน้างง เหมือนจะไม่รับแขก ...อ๋อ ที่ใบหน้าเป็นอย่างนั้นคือเธอพยายามทำความเข้าใจพร้อมกับทวนคำถามว่า "Long Bian" เธอมองซ้ายมองขวา พร้อมกับชี้ไปที่คนกลุ่มหนึ่ง 20 คนเศษๆ เราพอจะเข้าใจว่าเธอน่าจะจับใจความได้ว่าผมจะไป "ลองเบียน" ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำในใจกลางเมืองฮานอยซึ่งเป็นป้ายสุดท้ายของรถบัสสาย 17 แป๊บเดียวสาย17 วิ่งมาพร้อมผู้โดยสาร เธอหันมายิ้มชี้มือไปที่รถพร้อมพยักหน้า เราจึงจะลืมที่จะโค้งขอบคุณพร้อมกับกล่าวคำว่า "Thank you very much" นับเป็นความประทับใจแรกบนแผ่นดินฮานอย ของผู้คนที่สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้มากมาย แต่พยายามที่จะเข้าใจ และช่วย โดยไม่เบือนหน้าหนีเหมือนคนไทยส่วนใหญ่ที่กลัวชาวต่างชาติ
รถสาย 17 ออกเดินทางจากสนามบินนอยไบ พร้อมสายฝนโปรยปรายเล็กน้อย กับผู้โดยสารบนรถที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้แรงงานจะเข้าไปในเมือง ถ้าใครได้มาเวียดนามแล้วนั่งสายนี้เข้าเมือง ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะมันจะเลาะลัดทุ่งนา เทือกสวน ตลอดสองข้างทางคุณจะเห็นกลิ่นอายของความเป็นเวียดนาม และอีกอย่างที่ผมเห็นคือ ลักษณะของการปลูกบ้าน ที่ลักษณะแคบมากๆๆๆๆๆ แตาเรียวเล็กสูงตระหง่าน เกือบทุกหลัง ผมมิอาจรู้เพราะอะไร ได้แต่คาดเดาว่า กรรมสิทธิ์การครอบครองที่ดินของแต่ละคนคงน้อยมาก รวมเวลาได้ 1 ช.ม. พอดี รถสาย 17 ( ราคา 7,000 VND ต่างกันมากโขกับค่า Taxi )
รถสาย 17 จอดที่ใจกลางเมือง เราลงรถพร้อมกับความงง ว่าจะเอาไงดี เพราะงงทิศทางที่จะไปโรงแรมที่เราจองผ่านตั๋วเครื่องบิน จึงเลือกที่จะสุ่มเดาเดินไปพร้อมกับฝนลงเม็ดเบาๆ แอบนึกในใจว่า จะเที่ยวไหนได้เนี้ย ร่มก็ไม่มี เสื้อกันหนาวก็ไม่ได้เอามา เดินจนสุดความสามารถเราแล้ว จึงแวะถามสาววัยรุ่นเวียดนามที่พึ่งจอดมอเตอร์ไซค์ ชี้แผนที่กันอยู่นานกว่าเขาจะเข้าใจ แต่ยอมรับเลยว่าเขาสามารถ Speak English is very nice !! เธอแนะนำว่าเดินไปเจอวงเวียน แล้วเลี้ยวซ้าย ตรงไปเจอตลาด อีก 2 ซอยจะถึงโรงแรมที่เราอยู่ หรือจะด้วยความที่เราทำหน้างง เธอเลยกล่าวว่า" I can go to send U for free " เธอคงกลัวเราคิดว่าเธอจะคิดตังเลยบอกก่อนเลยว่าฟรีนะ อยากจะบอกว่าคนเวียดนามน่ารักจริงๆๆนะ จากนั้นก็เดินไปตามคำแนะนำ อยากจะบอกว่าการข้ามถนนยากมากครับ แต่พอเห็นคนเวียดนามข้ามที ดูชิวๆๆ ไม่ต้องดูรถมากมาย เดินไปเลย รถจะหยุดเอง 555 ในที่สุดเราก็พุ่งชนเป้าหมายด้วยยความภาคภูมิใจ กับการเดินโดยไม่ได้ช่วยเพิ่มรายได้ให้รถแท็กซี่ อยากจะบอกว่า Hanoi Old Town Hotel is center of the capital มากๆๆ เพราะอยู่ใจกลางตลงตลาด ข้างโรงแรมขายกระสอบ เชือกปอ เสื่อ อะไรมากมาย
เดินเข้าโรงแรม น่าจะเป็นเจ้าของโรงแรมทักว่าทำไมดูเหนื่อยมากมาย จากไทยมาแค่ 1ชั่วโมง กับ 45 นาทีเองไม่ใช่หรอ หารู้ไม่ว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง ห้องที่ได้คือ 101 จัดการอาบน้ำอาบท่า หลังจากที่อาบครั้งล่าสุดตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจากที่ทำงาน ด้วยบรรยากาศฝนตกเลยนอนพักเหนื่อยแล้วคุยกันว่า บ่ายๆ ค่อยออกไปเดินรอบเมือง ทะเลสาบคืนดาบ และก็ดูแสดงหุ่นกระบอกน้ำ ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์ก็ออกเดินทาง ทัวร์เมืองฮานอยโดยแผนที่ กระดาษA4 ถ่ายเอกสาร 1 แผ่น ถนนทุกเส้นคึกคักไปด้วยการค้าขาย ร้านรวง แผงลอย หาบเล่ ละลานตาไปหมด
ระหว่างจะข้ามถนน มีชายวัยกลางคนว่างตามมา เราแอบตกใจ ยิ่งเพิ่มความกลัวไปอีกที่ชายคนนั้นก้มลงจับรองเท้าเรา คิดในใจว่าเหยียบสร้อยคอทองคำเขาติดรองเท้ามาป่าวว่ะ ได้แต่งึงงงต่อไป ผ่านอีกซอย มองเห็นจุดซ่อมรองเท้าเต็มไปหมด แล้วก็ใช้วิธีการที่คล้ายคลึง จึงเข้าใจว่า "อ๋อ เขาชวนเราเปลี่ยนพื้นรองเท้า" จากนั้นก็คิดว่าจะไปดูหุ่นกระบอก จากตารางการแสดง มีตั้งแต่รอบ 15:30 16:30 17:30 18:30 20:00 ตอนนี้แค่ สี่โมงเย็น แต่ตั๋วเต็มหมด มีอีกทีตอน 2 ทุ่ม จึงซื้อตั๋วรอบ 2 ทุ่ม โรงแสดงละครหุ่นกระบอกจะอยู่ริม Sward Lake หรือที่เรียกกันว่าทะเลสาปคืนดาบนั่นเอง ในทะเลสาบเป็นที่ตั้งของ Ngoc Son temple รอบๆ รึมบึงบรรยากาศคล้ายๆ ที่สมสู่ เอ้ย แรงไป ประมาณว่าพลอดรักกันนี่แหละครับ เดินไปสักครู่
กองทัพเริ่มจะไม่ไหวแระครับ เพราะท้องร้องว่า หิวๆๆๆๆ เลยเดินหาร้านอาหาร เลยได้ตกลงปลงใจที่ครัวไซง่อนอะไรสักอย่างนี่แหละ อาหารที่เลือก มีข้าวผัดปู บะหมี่เนื้อ และก็ทอดปลามึก พูดแล้วน้ำลายไหล เมนูหลังสุดนี่น่ากินสุดๆๆๆ เดินแล้วเดินอีกก็ยังไม่ถึงเวลา สักที ตอนนั้นเริ่มมืดแระ หกโมงเย็น เหลืออีกตั้ง 2 ชม เลยไปตั้งหลักรอที่โรงแรมดีกว่า จนเกือบ 19:30 ถึงเดินออกมาจากโรงแรมประมาณ 2 กิโลเมตร สำหรับการแสดงก็ประหลาดใจสำหรับการแสดงพอควร แต่ด้วยเนื้อเรื่องเป็นภาษาถิ่น ไม่มีการแปล เลยดูภาษาภาพครับ แอบง่วงบ้างบางตอน ถึง หลายตอน 55555
ระหว่างเดินทางกลับโรงแรม ลองเปลี่ยนเส้นทาง ภาพที่เห็นคือ ตรอกข้าวสารเบาๆ แต่ร้านรวง เหล้าปั่น นมปั่น มิได้ใหญ่โตหรูหรา แต่เป็นร้านแบบมีโต๊ะญี่ปุ่น พร้อมเก้าอี้ 4-5 ตัว นั่งกันตรงริมถนนนี่แหละครับ บ้างดื่มเบียร์ บ้างดื่มนมปั่น บ้างแทะเปลือกเม็ดทานตะวัน บริเวณเกือบทุกสี่แยกที่เราเดินผ่าน เดินเยอะ แถมมื้อเย็นก็ตั้งแต่ สี่โมง ท้องเลยเริ่มร้อง เลยรองท้องด้วยเฝอ กับ ขนมปังฝรั่งเศสสอดใส้เนื้ออะไรก็ไม่รู้ ทำให้รอดตายจากความหิว พร้อมกับนอนหลับเป็นตาย ....เอาวันแรกไปก่อนนะครับ วันที่สอง Halong Bay Comming Soon
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น