คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
คห.ที่ 1 และ คห.ที่2 พูดถูกแล้วครับ
การกรวดน้ำ แต่เดิมเป็นคติความเชื่อของพราหมณ์ ที่เวลาจะให้อะไรใครจะต้องเทน้ำราดมือ
พระเจ้าพิมพิสาร เมื่อทำบุญกับพระพุทธเจ้า จึงเทน้ำรดมือพระพุทธเจ้า
เพราะพื้นเพเดิมคนที่นั่นเค้าทำกันมาแบบนั้น พระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่ขัด
จนทำให้การกรวดน้ำ มีอยู่จนถึงปัจจุบัน
ถ้าใครจะบอกว่าในพระไตรปิฏกไม่มีการกรวดน้ำ ก็ถูกต้อง เพราะในศาสนาพุทธไม่มีพิธีนี้
แต่ด้วยเนื่องจาก หลังจากทำบุญแล้ว มักจะมีการอุทิศส่วนกุศล ให้กับเจ้ากรรมนายเวรและญาติ
คนทั่วไปที่สมาธิไม่มั่นคง เมื่อได้ทำการกรวดน้ำ
ก็เป็นอุบายในการรวมจิตรวมสมาธิเพ่งอุทิศบุญได้ดี
เพราะในขณะที่เทน้ำ จิตก็จับอยู่กับการรดน้ำ-เทน้ำ เป็นอุบายอย่างนึงในการเพ่งรวมจิต
เพราะนึกว่าน้ำเปรียบเสมือนบุญที่เราเทมอบให้กับผู้อื่น
อะไรที่ดี มีประโยชน์ ศาสนาพุทธไม่ขัดศรัทธาใคร วิธีการนี้จึงสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
แต่สำหรับผู้ที่มีจิตใจมั่นคง มีสมาธิดีแล้ว การกรวดน้ำอาจจะไม่จำเป็น
เพราะผู้ที่มีสมาธิดีแล้ว จิตจะนิ่งได้ง่ายกว่า
การ "เพ่งรวมจิต" อุทิศส่วนกุศลจึงสามารถทำได้เลย ไม่ต้องกรวดน้ำ
แต่ถ้าเห็นใคร ยังทำการกรวดน้ำอยู่ ก็อย่าไปนึกดูแคลน
หรือแม้แต่พระสงฆ์ผู้เป็นตัวแทนรับสังฆทาน ท่านยังบอกให้ชาวบ้านกรวดน้ำอยู่ ก็อย่าไปนึกดูแคลน
เหตุเพราะว่า "ดีทั้งนั้น" จะกรวดหรือไม่กรวดน้ำ ขอแค่มาทำบุญ ใจใฝ่บุญ เป็นใช้ได้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อคุณรู้แล้วว่า การกรวดน้ำไม่มีในศาสนาพุทธ
แต่ถ้าจิตไปนึกตำหนิดูแคลน ผู้ที่ยังกรวดน้ำอยู่ คุณอาจจะกลายเป็นคน "ติดดี" ได้
( "ติดดี" คำๆนี้หมายถึง การที่คิดว่า การเคร่งเกินปกติเป็นความดีงาม )
อยากให้ผู้อื่นดูว่าเราเคร่ง ดูว่าเราเลิศ ดูว่าเราฉลาดกว่าผู้อื่น ดูว่าเราตรงทางกว่าผู้อื่น
จิตจึงไม่ยอมรับผู้ที่มีการปฏิบัติไม่เหมือนตน จะต้องเป็นเหมือนตนเท่านั้น
(ความจริงแล้ว คนเรามีกำลังใจต่างกัน ความรู้และการเข้าถึงต่างกัน จึงจำเป็นจะต้องมีหลายวิธี)
"ติดดี" ยังแปลได้อีกใจความนึงว่า "อวิชชา ของผู้ที่รักดี"
(คือใจใฝ่ดี อยากจะทำดี และอยากให้ผู้อื่นทำดี แต่เป็นการทำดีผิดทาง เพราะตั้งอารมณ์ผิดทาง)
การกรวดน้ำ แต่เดิมเป็นคติความเชื่อของพราหมณ์ ที่เวลาจะให้อะไรใครจะต้องเทน้ำราดมือ
พระเจ้าพิมพิสาร เมื่อทำบุญกับพระพุทธเจ้า จึงเทน้ำรดมือพระพุทธเจ้า
เพราะพื้นเพเดิมคนที่นั่นเค้าทำกันมาแบบนั้น พระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่ขัด
จนทำให้การกรวดน้ำ มีอยู่จนถึงปัจจุบัน
ถ้าใครจะบอกว่าในพระไตรปิฏกไม่มีการกรวดน้ำ ก็ถูกต้อง เพราะในศาสนาพุทธไม่มีพิธีนี้
แต่ด้วยเนื่องจาก หลังจากทำบุญแล้ว มักจะมีการอุทิศส่วนกุศล ให้กับเจ้ากรรมนายเวรและญาติ
คนทั่วไปที่สมาธิไม่มั่นคง เมื่อได้ทำการกรวดน้ำ
ก็เป็นอุบายในการรวมจิตรวมสมาธิเพ่งอุทิศบุญได้ดี
เพราะในขณะที่เทน้ำ จิตก็จับอยู่กับการรดน้ำ-เทน้ำ เป็นอุบายอย่างนึงในการเพ่งรวมจิต
เพราะนึกว่าน้ำเปรียบเสมือนบุญที่เราเทมอบให้กับผู้อื่น
อะไรที่ดี มีประโยชน์ ศาสนาพุทธไม่ขัดศรัทธาใคร วิธีการนี้จึงสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
แต่สำหรับผู้ที่มีจิตใจมั่นคง มีสมาธิดีแล้ว การกรวดน้ำอาจจะไม่จำเป็น
เพราะผู้ที่มีสมาธิดีแล้ว จิตจะนิ่งได้ง่ายกว่า
การ "เพ่งรวมจิต" อุทิศส่วนกุศลจึงสามารถทำได้เลย ไม่ต้องกรวดน้ำ
แต่ถ้าเห็นใคร ยังทำการกรวดน้ำอยู่ ก็อย่าไปนึกดูแคลน
หรือแม้แต่พระสงฆ์ผู้เป็นตัวแทนรับสังฆทาน ท่านยังบอกให้ชาวบ้านกรวดน้ำอยู่ ก็อย่าไปนึกดูแคลน
เหตุเพราะว่า "ดีทั้งนั้น" จะกรวดหรือไม่กรวดน้ำ ขอแค่มาทำบุญ ใจใฝ่บุญ เป็นใช้ได้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อคุณรู้แล้วว่า การกรวดน้ำไม่มีในศาสนาพุทธ
แต่ถ้าจิตไปนึกตำหนิดูแคลน ผู้ที่ยังกรวดน้ำอยู่ คุณอาจจะกลายเป็นคน "ติดดี" ได้
( "ติดดี" คำๆนี้หมายถึง การที่คิดว่า การเคร่งเกินปกติเป็นความดีงาม )
อยากให้ผู้อื่นดูว่าเราเคร่ง ดูว่าเราเลิศ ดูว่าเราฉลาดกว่าผู้อื่น ดูว่าเราตรงทางกว่าผู้อื่น
จิตจึงไม่ยอมรับผู้ที่มีการปฏิบัติไม่เหมือนตน จะต้องเป็นเหมือนตนเท่านั้น
(ความจริงแล้ว คนเรามีกำลังใจต่างกัน ความรู้และการเข้าถึงต่างกัน จึงจำเป็นจะต้องมีหลายวิธี)
"ติดดี" ยังแปลได้อีกใจความนึงว่า "อวิชชา ของผู้ที่รักดี"
(คือใจใฝ่ดี อยากจะทำดี และอยากให้ผู้อื่นทำดี แต่เป็นการทำดีผิดทาง เพราะตั้งอารมณ์ผิดทาง)
แสดงความคิดเห็น
การกรวดน้ำ