เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ต่อ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิพโล วัดนาป่าพง

กระทู้คำถาม
เรียน   ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิพโล
           ผมมีโอกาสได้ฟังการบรรยายธรรม หรือ การตอบปัญหา ของท่านจากซีดี และข่าวคราวกิตติศัพท์ของท่าน เรื่องถือเอาแต่พุทธวจนะไม่ให้ถือเอาคำของสาวกบ้าง   ปาฏิโมกข์๑๕๐ข้อบ้าง ผมขอวิจารณ์ท่านบ้างนะ                              
          ๑.ท่านตอบปัญหาไม่เคลียร์ ตอบไม่ตรงประเด็น ๙๐ เปอร์เซ็น เช่น โยมถามว่า ทำบุญอุทิศให้ผู้ตายเขาจะได้รับหรือไม่  ท่านตอบว่าใครจะไปตามรู้ได้ว่าเขาได้รับหรือไม่(เขาไม่ได้ถามว่าท่านรู้หรือไม่เขาต้องการรู้หลักการในคำสอนของพระพุทธเจ้า) ท่านตอบแบบตัดบท เพราะท่านไม่รู้หลักการของพุทธพจน์อย่างแท้จริง ศึกษาไม่ทั่วถึง จึงตอบให้ความกระจ่างแก่ผู้ถามไม่ได้   แล้วท่านก็อธิบายออกนอกเรื่องจนโยมเขาไม่ถามอีก ผมเชื่อว่าผู้ถามเขายังไม่เคลียร์กับคำตอบของท่าน   ผมฟังคำถามดู เขาถามมุ่งความมั่นใจว่าบุญที่เขาทำสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ตายหรือไม่อย่างไร  ทำมัยท่านไม่ตอบตามพุทธพจน์ที่พระองค์ทรงตอบแก่ชาณุชโสณีพราหมณ์ ซึ่งเขาถามในคำถามเดียวกันนี้  ท่านศึกษายังไม่ถึงใช่มั๊ย  การตอบหรือการอธิบายของท่านกลับกลายเป็นคำของสาวกไปเสียนี่ จึงไม่ควรถือเอา
          ๒.การอธิบายพุทธพจน์เองด้วยความเห็นของท่าน มันก็เป็นคำของสาวกนั่นแหละ ท่านรู้ตัวมั๊ย แต่สาวกอย่างท่าน ถือว่าเป็นสาวกชั้นโหล่สุด เมื่อเทียบกับ สาวกขั้นอรรถกา หรือฎีกา (แม้คำในอรรถกถาบางส่วนก็เป็น ปกิณณกเทศนาของพระพุทธเจ้าที่สาวกขั้นอรรถกถาท่านนำมาประกอบการอธิบายพุทธพจน์อีกทีนึง   ท่านคงไม่รู้หรอก เพราะตัวท่านปิดประตูความเป็นพหูสูตเสียแล้ว)  จะว่าอีกอย่างหนึ่งตัวท่านยังจะเรียกว่าสาวกไม่ได้หรอก ควรจะเรียกว่า  เป็นอัตโนมติของเกจิอาจารย์รูปหนึ่งมากกว่า  ท่านไปตำหนิอรรถกถา เพราะท่านอ่านอรรถกถาไม่รู้เรื่องใช่มั๊ย จะรู้เรื่องได้ยังงัยเพราะตัวท่านไม่มีครูบาอาจารย์สอน
          ๓.ถ้าท่านจะเผยแผ่พุทธวจนะอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง ตามอุดมการณ์ของท่าน ท่านอย่าได้อธิบายเลย  เพราะการอธิบายของท่านมันคือการเติมความเห็นของตัวเองเข้าไปในพุทธพจน์นั่นเอง ผู้ไม่รู้จริง เขาก็จะเข้าใจว่าเป็นพุทธพจน์แท้  เมื่อท่านอธิบายท่านควรบอกว่า นี้คือความเห็นของอาตมานะ อย่างนี้จึงจะชื่อว่า เผยแผ่พุทธวจนะแท้ๆ
         ๔.ท่านอธิบายพุทธพจน์เอง ท่านแน่ใจหรือ ว่าท่านรู้เจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้า ท่านแน่ใจหรือว่าท่านเข้าใจถูก   ก็เพราะท่านไม่ยอมอ่านอรรถกถานี่  ระหว่างท่าน กับ อรรถกถา หรือฎีกาจารย์ ถามว่าใครรักธรรมวินัยมากกว่ากัน  ตัวท่านเองไม่รู้จักพระอรรถกถาจารย์หรือฎีกาจารย์ จึงไม่ยอมรับท่าน   ระหว่างท่าน กับ อรรถกถาจารย์ หรือฎีกาจารย์ ถามว่าใคร ได้ฌาน ใครถึงนิพพาน  ตัวท่านได้ฌานหรือยัง  ถึงนิพพานหรือยัง(ท่านอ่านพระไตรปิฎกมายังไม่กี่ปีไม่น่าเอาความรู้ไปเทียบชั้นกับท่านเลย) ท่านมาสำคัญตนว่าเป็นผู้รู้พุทธวจนะจริง แต่ผมมีความเห็นว่า ท่านโง่แล้วอวดฉลาด มากกว่านะ อีกประการหนึ่งการมีคนฟังมากมีบริวารเยอะมียศตำแหน่ง มีคนให้ท้ายเยอะ อย่าคิดว่าตัวเองถูก เพราะสิ่งเหล่านี้เอามาวัดความถูกต้องไม่ได้
          ๕.ผู้รู้จริงเขาฟังท่านอธิบายพุทธพจน์ หรือ ตอบปัญหา เขาก็ขำ หรือนั่งหัวเราะ เพราะท่านตอบปัญหา หรือ อธิบายพุทธพจน์ แบบสุ่มเดา แบบไม่รู้จริง(ผู้รู้จริงเท่านั้นจึงจะรู้ว่าท่านไม่รู้ ส่วนผู้ไม่รู้เขาก็เข้าใจว่าท่านรู้จริง เพราะท่านมักอ้างว่านี่เอามาจากพุทธวจนะ) ผมว่าท่านเปรียบเหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอดนะ ทำไม เพราะท่านไม่รู้พุทธวจนะจริง คนฟังก็ไม่รู้จริง เขาก็เชื่อทาน ไม่แย้งอะไรท่าน เพราะเขาไม่รู้  แต่ผู้รู้เขาฟังเขาก็หัวเราะท่านเท่านั้นแหละ ท่านหลอกได้แต่ผู้ไม่รู้ ผู้รู้ท่านหลอกเขาไม่ได้หรอก ผมสงสารโยมที่เขาเชื่อท่านนะ เขาจะจำข้อมูลผิดๆไปจากท่าน โดยเฉพาะตอนท่านอธิบายเสริมและอธิบายผิด เว้นแต่พุทธวจนะที่เป็นของจริงที่เขาจำไปก็เป็นบุญของเขาไป
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 16
คนที่เดินตามทาง นอกเส้นทางของพระพุทธเจ้า  ก็มักมีความเห็นไปตามใจของตัวเอง โดยไม่ตรวจสอบ กับพระพุทธเจ้า
เพราะขาดความเคารพ ศรัทธาในพระพุทธเจ้า

ผมจึงขอแนะนำ จขก ดังนี้
พระพุทธเจ้าสอน ว่าอย่างไร

ภิกษุ ท.! พวกเธออย่ากล่าวถ้อยคำที่ยึดถือเอาแตกต่างกัน ว่า "ท่าน
ไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้, ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้, ท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยได้
อย่างไร ท่านปฏิบัติผิด, ข้าพเจ้าซิปฏิบัติชอบ, คำควรกล่าวก่อน ท่านกล่าว
ทีหลัง คำควรกล่าวทีหลัง ท่านมากล่าวก่อน คำพูดของท่านจึงไม่เป็นประโยชน์
คำพูดของข้าพเจ้าเป็นประโยชน์. ข้อที่ท่านเคยถนัด มาแปรปรวนไปเสียแล้ว.
ข้าพเจ้าแย้งคำพูดของท่านแหลกหมดแล้ว, ท่านถูกข้าพเจ้าข่มแล้ว เพื่อให้ถอน
คำพูดผิด ๆ นั้นเสียหรือท่านสามารถก็จงค้านมาเถิด:" ดังนี้.พวกเธอไม่พึง
กล่าวถ้อยคำเช่นนั้นเพราะเหตุไรเล่า? เพราะการกล่าวนั้น ๆ ไม่ประกอบด้วย
ประโยชน์ ไม่เป็นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์
ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน.

    ภิกษุ ท.! เมื่อพวกเธอจะกล่าว จงกล่าวว่า "เช่นนี้ ๆ เป็นความ
ทุกข์, เช่นนี้ ๆ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์, เช่นนี้ ๆ เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์,
และเช่นนี้ ๆ เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์;" ดังนี้. เพราะ
เหตุไรจึงควรกล่าวเล่า ? เพราะการกล่าวนั้น ๆ ย่อมประกอบด้วยประโยชน์
เป็นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์ เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์ ความคลาย
กำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน.

    ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทำความเพียร
เพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า "นี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์, นี้เป็นความ
ดับไม่เหลือแห่งทุกข์, นี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์," ดังนี้เถิด.    



- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๕/๑๖๖๒.

1.  ถ้าท่านเห็นว่า  ท่านอาจารย์ ยังกล่าวธรรมไม่ทั่วถึง  ท่านก็ควรแนะนำว่า มีพระสูตร นี้ๆ แบบนี้จึงจะถือว่าเป็นการทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าพวกเธออย่ากล่าวถ้อยคำที่ยึดถือเอาแตกต่างกัน ว่า "ท่าน
ไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้, ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้
คำพูดแบบนี้  ผู้รู้   ย่อมรู้อยู่แล้วว่าเกิด จาก กิเลสตัวไหน
เป็นนิสัยของสังคม แบบไหน ของสังคมด้อยพัฒนา หรือพัฒนาแล้ว

2.คนที่ทำตามคำสอน พระพุทธเจ้า   จะเรียกว่าไม่มีอาจารย์  คงไม่ได้
ถ้าท่านเห็นว่าไม่ถูก ไม่ทั่วถึง ในคำตอบ  ท่านก็แนะนำ ว่ามีพระสูตร นี้ๆ ได้

คนที่กล่าวตามธรรม จึงมีโอกาส บรรลุธรรม เมื่อสอนคนอื่น เพราะ จิต ทำหน้าที่ไปตามที่พระพุทธเจ้าสอน
เมื่อเห็นว่าไม่ถูกไม่ตรง  ก็ พูดไปตามที่ท่านจำมาว่า  พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ๆ
ท่านก็มีโอกาส ไตร่ตรองในธรรมที่ท่านชี้แจง  เมื่อ จิตพร้อมก็เกิดความเข้าใจในธรรมที่ท่านชี้แจงเองได้

3.
4.
5. อย่างที่กล่าวมาในข้างต้น ผู้รู้จริง ไม่มีใครมาเสียเวลา หัวเราะ หรือโทษคนอื่น มันเป็นนิสัยของคนที่ไม่รู้ แต่เขาจะทำตามที่พระพุทธเจ้าสอน
ทำตามนิสัยของ ผู้เห็นถูก  เมื่อพูดชี้แจงธรรม  ก็จะได้รับแต่ประโยชน์  
ทำตามนิสัยของบัณทิตก็ได้พบแต่สิ่งที่เป็นสาระ

สิ่งเหล่านี้เป็นความแตกต่าง มานานของคนที่ยังจม กับคนที่หลุดพ้น   แม้จะศึกษาธรรมะ  เหมือนกัน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 33
พระอาจารย์คึกฤทธ์อาจจะสอนผิดบ้างถูกบ้าง  แต่ท่านก็ยังสอนให้คนรุ่นใหม่เข้าใกล้คำสอนพระพุทธเจ้า  เมื่อก่อนผมไม่รู้จักอาจารย์คึกฤทธิ์ ศาสนาพุทธที่ผมรู้จักมาตั้งแต่เด็ก  มีแต่สร้างวัด ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า  เรี่ยไรเงิน  ไม่รู้จะสร้างวัดให้อลังการไปทำไม ?  ผมเคยได้อ่านฝรั่งคนหนึ่งบอกศาสนาพุทธที่เห็นในประเทศไทยอาจจะไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนให้ทำก็ได้  มีแต่พิธีกรรม กับลัทธิอื่น ปนกันมั่ว  มาคิด ๆ ดูเห็นจริง
        พอมาพบอาจารย์คึกฤทธิ์  เอาคำสอนมาบอกให้ฟังก็ใช่เลย ผมก็ฟังแล้วก็พิจารณา  ผมคนรุ่นใหม่เชื่อมั่นในความคิดตัวเองอยู่แล้ว คิดเป็น
ที่เคยฟังจากพระอื่น ๆ มา บางทีก็สอนพุทธวจนได้ดี  แต่ก็แค่คำสอนที่จำมาจากหนังสือแถมต้องเปิดหนังสืออ่านอีก  แต่พระอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านจำพุทธวจนได้จำแม่นรวมกับคำอธิบายที่ผ่านประสบการณ์ชีวิต  และตอบคำถามในใจผมได้  ผมเลยต้องฟัง    ยอมรับว่าฟังมา 4  เดือนแล้ว  ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก  ท่านเหมือนคอมพิวเตอร์พุทธวจน  ที่  Link แต่ละพระสูตร  มาตอบปัญหาความข้องใจในศาสนาพุทธที่เมื่อก่อนผมคิดว่าไม่มีเหตุผลได้    
       แต่แปลกพอฟังมาก ๆ  จะคุ้นสำนวนพุทธวจน  แล้วมาฟังพระทั่ว ๆไปสอนด้วยคำพูดทั่ว ๆ ไป แล้วเบื่อเลย เหมือนไร้สาระ  อันนี้ confirm จริง
ถ้าอาจารย์คึกฤทธิ์   ไม่มีเหตุผลผมไม่เสียเวลาฟังหรอกครับ ปกติเมื่อก่อนไม่ฟังพระเทศน์อยู่แล้ว  แต่นี่ฟังมาหลายเดือนแล้ว
        ตอนนี้ผมเชื่อเรื่องภพภูมิแล้ว จากที่เมื่อก่อนไม่เชื่อ  ผมเห็นความเป็นเหตุเป็นผลของปฏิจจะสมุปบาทของพระพุทธเจ้า เหมือนกฏแรงโน้มถ่วง  ของนิวตัน  ผมคิดว่าแค่นี้ก็คุ้มแล้วครับ  ถ้าไม่มีพระอย่างอาจารย์คึกฤทธิ์  ผมคงไม่มานั่งอ่านพระไตรปิฎกหรอกครับ
ค่าสำหรับผมแล้วครับ
ความคิดเห็นที่ 25
ตั้งแต่เจ้ไฮปฏิบัติธรรมมา 10 ปี เจ้ว่าท่านอาจารย์ถ่ายทอดธรรมะของพุทธองค์ ได้เข้าใจง่ายที่สุด
ปฏิบัติได้ผลที่สุด ไม่เห็นเป็นอย่างที่เจ้าของกระทู้บอกเลย! เวลาท่านตอบปัญหาธรรม หากท่านใช้ความคิดของท่านเอง ท่านก็จะบอกท่านเข้าใจอย่างนี้นะ! ขอให้ญาติโยมไปพิจารณาเอง! ทุกท่านก็เข้าใจท่านนับถือท่านเพราะธรรมบางข้อก็ต้องคิดเองเพราะพระพุทธองค์ไม่อยู่แล้ว
จขกท หากนับถือพระพุทธเจ้าจริงๆ และเห็นว่าอาจารย์ท่านถ่ายทอดผิด จขกท ควรเข้าไปพบท่าน
บอกท่านตรงๆจะดีกว่าและไม่บาปด้วยที่มากล่าวหาสาวกดีๆของพระพุทธเจ้าในทางเสียหาย. เพราะท่านอาจารย์ท่านก็ยินดีให้พบ
เจ้ไฮฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าโดยผ่านท่านอาจารย์เพียงแค่ 2 เดือน เจ้พบว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้าใจได้ไม่ยาก และ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆเหมือนที่เข้าใจมา
เจ้ปฏิบัติอาปานานสติตามที่พระอาจารย์ถ่ายทอดจากพุทธวัจน ทำให้เจ้เหมือนเกิดใหม่ ลองทำดูชิ
คุณจะรู้ด้วยตนเอง
http://m.youtube.com/watch?v=iVyaLAEo0Zk

สาธุ
เจ้ไฮ ใจบุญ และสวยสุดในสามโลก
ความคิดเห็นที่ 41
เรียน จขกท คนดี สุภาพบุรุษ เขาไม่กล่าวหาใครโดยที่จำเลยไม่ได้อยู่แก้ต่างด้วยหรอกนะคับ และถ้าคุณหรือคนที่สั่งคุณมามั่นใจว่ารุ้ พุทธวจนดีดีกว่า พอจ.คึกฤทธ์ ก็มาถกกันในคำตถาคตสิ ไม่ใช่มานินทาลับหลัง คนดีเขาไม่มทำกัน
ความคิดเห็นที่ 19
ฟังแล้วใช้ หลักมหาปเทศตรวจสอบดูครับ

๑. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุข้าพเจ้าได้สดับรับ
มาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของ
พระศาสดา”...
๒. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีสงฆ์อยู่
พร้อมด้วยพระเถระ พร้อมด้วยปาโมกข์ ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า
“นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของพระศาสดา”...
๓. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้น มีภิกษุ
ผู้เป็นเถระอยู่จำนวนมากเป็นพหูสูตร เรียนคำภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา
ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็น
คำสอนของพระศาสดา”...
๔. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุ
ผู้เป็นเถระ อยู่รูปหนึ่งเป็นพหูสูตร เรียนคำภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา
ข้าพเจ้าได้สดับเฉพาะหน้าพระเถระรูปนั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอน
ของพระศาสดา”...
เธอทั้งหลายยังไม่พึงชื่นชม ยังไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของผู้นั้น พึงเรียนบท
และพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วพึงสอบสวนลงในพระสูตร เทียบเคียงดูในวินัย
ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ไม่ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ไม่ได้ พึงลง
สันนิษฐานว่า “นี้มิใช่พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และภิกษุ
นี้รับมาผิด” เธอทั้งหลายพึงทิ้งคำนั้นเสีย ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลง
ในสูตรก็ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ได้ พึงลงสันนิษฐานว่า “นี้เป็นพระดำรัสของพระ
ผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และภิกษุนั้นรับมาด้วยดี”เธอทั้งหลายพึงจำ
มหาปเทส.. นี้ไว้
อุปริ. ม. ๑๔ / ๕๓ / ๔๑
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่