เมื่อพ่อฉันเป็นมะเร็ง ตอนที่ 2

ตอนที่ 1                      http://pantip.com/topic/31103392
ตอนที่ 3 (ตอนสุดท้าย) http://pantip.com/topic/31105647
ต่อกันเลยค่ะ

วันรุ่งขึ้นเราไปเคลียร์งานที่ทำงานก่อนลาไปเฝ้าพ่อ เบลอมากค่ะ ทำงานแบบงงๆ ใครถามอะไรก็ตอบงงๆ เข้าห้องน้ำแบบงงๆ คือลืมลงกลอนประตูค่ะ มีพี่คนหนึ่งเปิดเข้ามาตอนทำธุระด้วย T^T แต่ตอนนั้นเราไม่ได้ใส่ใจอะไร จิตใจยังคิดถึงเรื่องพ่อตลอดเวลา

ช่วงบ่ายเราไปโรงพยาบาล ระหว่างเดินทางกลั้นน้ำตาจนปวดหัว พี่ที่ทำงานโทรมาว่าเพราะทำงานตอนเช้าพลาด เราฟังๆแล้วค่ะๆๆๆ เขาถามว่าตอนนี้อยู่ไหน เปิดคอมแล้วแก้เดี๋ยวนี้ เราร้องไห้ตรงนั้นเลยค่ะ (กลาง MRT - -^)บอกว่าเรามาหาพ่อที่โรงพยาบาล ยังไม่ถึง เดี๋ยวถึงจะแก้ให้ เค้าก็ตกใจค่ะ (เป็นใครก็ตกใจ) บอกไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวพี่จัดการเอง ต้องขอโทษพี่คนนั้นจริงๆค่ะ

ไปถึงเจอหมอกำลังพูดกับแม่และญาติพ่ออยู่เลย หมอบอกว่าพ่อเป็นมะเร็งเกือบระยะ 4 แล้ว แพร่เข้าน้ำเหลืองไปหมดแล้ว ประเมินว่าอยู่ได้ 5 ปี ทุกคนน้ำตาไหลโดยพร้อมเพรียง เราตกลงกันว่าจะยังไม่บอกพ่อในตอนแรก บอกว่าเป็นมะเร็งแค่ตรงลำไส้ ต้องให้คีโม

แรกๆที่พ่อฟื้นขึ้นมา เจ็บแผลมากค่ะ ขอมอร์ฟีนตลอด แม่เล่าว่าพ่อร้องไห้ กลัวโรคนี้ (ขนาดรู้แค่ว่าเป็นระยะ 1) กลัวเรื่องเงิน แต่พอตอนเรามา พ่อบอกว่าสบ๊ายย เวลาคนมาเยี่ยมพ่อจะบอกว่าเป็นนิดเดียว ตัดออกหมดแล้ว คีโมอีกนิดหน่อยก็หาย ฟังแล้วสะเทือนใจเสมอค่ะ

ทุกๆวัน หมอจะมาเยี่ยม เราจะยกกันออกไปคุยนอกห้อง แล้วเรื่องมันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนหมอจะพยายามให้ญาติทำใจ จนเราไม่ไหว เลยเดินไปถามหมอว่า ขอรู้ทั้งหมดนะคะหมอ ทำใจได้แล้วค่ะ (ตอนนั้นพยายามไม่มีน้ำตาสักหยด เพื่อจะ convince หมอให้ได้) หมอเลยพาไปที่ห้องตรวจ  โชว์รูปทั้งหมดที่เค้าถ่ายไว้เวลาผ่าตัด บอกว่าเจอตรงนี้ๆ แบบนี้ๆ เราลากเพื่อนที่เป็นหมอมาขอผลของการเอกซเรย์จากพยาบาลไปอ่าน ศัพท์อะไรก็ไม่รู้ค่ะ นับถือพวกเรียนหมอพยาบาลจริงๆ เราพยายามทำความเข้าใจกับโรคนี้ค่ะ โทรไปถามทั้งคนที่เป็น ญาติคนที่เป็นเท่าที่รู้จัก ไปอ่านในเว็บบ้าง เพราะไม่รู้มันจะเป็นแบบไหนต่อไป

หมอบอกว่าพ่อมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ลำไส้ ทวารมาในช่วง 3-4 ปีแล้ว 2 ปีที่แล้วหมอเคยแนะนำให้ส่องกล้อง แต่พ่อไม่ยอมเพราะกลัวเจ็บ ถึงตอนนี้อยากจะบอกทุกคนว่า

พออายุ 40-50 จงไปส่องกล้องเถอะค่ะ จะได้ไม่สายเกินไป

ของเราหมอบอกว่าต้องมาส่องตั้งแต่อายุ 30 เพราะมันเป็นโรคทางพันธุกรรม ตามนั้นค่ะหมอ อีกสิบปีเจอกัน

พอค่าใช้จ่ายแตะสองแสน โรงพยาบาลก็เรียกแม่ไปเคลียร์ค่าใช้จ่าย แม่เบิกเงินสดมาจ่าย (แม่เราไม่ใช้บัตรเครดิตค่ะ ลดปัญหาความฟุ่มเฟือย) พวกเราเริ่มคิดกันว่าจะทำอย่างไรดีเรื่องเงิน เราเลยแบ่งกับแม่ว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ ส่วนแม่รับผิดชอบเรื่องการรักษาต่อเป็นหลัก เราเริ่มโทรไปหา HR ของที่ทำงานพ่อ ทำความเข้าใจสวัสดิการที่พ่อจะได้รับ โทรหาประกันที่พ่อทำไว้ โทรหาประกันสังคม สอบถามหลักฐานทั้งหมดที่ต้องใช้ กลายเป็นว่าได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เพิ่มขึ้นเยอะมาก 555

ก่อนออกจากโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกือบสามแสน บริษัทพ่อซับไปเกือบสองแสน ประกันอีกห้าหกหมื่น กลายเป็นครอบครัวเราออกแค่ห้าหกหมื่น ส่วนนั้นลองไปเบิกประกันสังคม (ซึ่งหลักฐานที่ใช้ หมอวินิจฉัยว่าผ่าตัดฉุกเฉิน) แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงไม่ได้ อันนี้แม่เป็นคนไปคุยค่ะ ไปอยู่หลายรอบจนเลิกเพราะไม่มีเวลาพอ ทำให้หมดศรัทธากับประกันสังคมไปส่วนหนึ่ง

เรื่องการรักษาต่อ ดูไว้หลายที่ ถ้าหากจะใช้ประกันสังคมต้องไปที่เกษมราษฎร์ ซึ่งหมอปัจจุบันบอกว่าก็ต้องยอมรับว่าคุณภาพอาจจะไม่ดีมาก ยาบางตัวอาจจะเบิกไม่ได้ มองหน้ากันไปมา บวกกับที่แม่และเรารู้ว่ามันร้ายแรงเร่งด่วนพอสมควร สรุปว่าไปคลีนิกนอกเวลาที่จุฬากันเถอะ ค่าใช้จ่ายคงต้องไปตายกันเอาดาบหน้า

ด้วยความที่เรามีฝันจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ท่องเที่ยวไปหลายๆที่ ถึงขนาดตอนนั้นพอเพิ่งผ่าตัดไม่ครบอาทิตย์ บริษัทจัดไป outing ที่ต่างจังหวัด เราแพ็กกระเป๋าจะไปด้วย พ่อบอกไปสนุกเถอะ พ่อสบายมาก แต่ตอนเช้าของวันที่เราจะไป แม่โทรมาร้องไห้ว่าอย่าไปเลย อยู่ไปเพื่อนแม่เพื่อนพ่อ เราถึงคิดได้ว่า ทำไมเราเห็นแก่ตัวขนาดนี้ สองคนนี้คือคนที่รักเรามาก ให้เรามาทั้งชีวิต แค่นี้เราให้เขาไม่ได้ เราเลยพยายามเริ่มปรับความคิดใหม่ค่ะ พ่อแม่ต้องมาก่อน หลังจากนั้นแม่เรียกเรามาคุยขอให้เราล้มเลิกความคิดไปเรียนต่อต่างประเทศซึ่งเป็นความฝันของเราตั้งแต่เด็กๆ แม่บอกขาดเราไม่ได้ แม่สู้ไม่ไหว เราเศร้ามากค่ะ เหมือนอยู่ๆดีๆเป้าหมายที่มีมานานหายไป แต่ก็ยังไม่หยุดอ่านหนังสือจะไปสอบ ช่วงนั้นเหมือนหลอกตัวเองไปวันๆ ทรมานจริงๆ อยากทำเพื่อแม่ให้ถึงที่สุด อยากตามความฝันก็อยาก ช่วงนั้นแม่จะให้ญาติพ่อมาพูดกับเราเป็นระยะเรื่องนี้ และมีวันหนึ่งน้าจิ๋ว (ยังไม่หายไปไหนค่ะ ยังมาเยี่ยมทุกวัน) มาถามเราเรื่องเรียนต่อเหมือนกันเพราะเห็นเราอ่านหนังสืออยู่ เราน้ำตาตกเพราะความขัดแย้งในตัวเอง น้าจิ๋วบอกว่า เราต้องเข้าใจแม่ และค่อยๆทำให้แม่เข้าใจเรา เราเลยคิดได้ว่ามันยังมีโอกาสอยู่ แค่อาจจะไม่ใช่อีกปีสองปี แต่ก็ไม่ผิดที่จะพยายามค่ะ

ระหว่าง 10 วัน เราไปๆกลับๆโรงพยาบาลแถวบ้านและอพาร์ทเม้นท์ที่เราอยู่ แฟนเรามารับกลับทุกวันค่ะ หิวก็กินของเยี่ยมคนป่วย 555 เพราะพ่อกินไม่ได้ ทำให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ยังไม่ได้ทอดทิ้งเราช่วงที่ลำบาก

10 วันหลังผ่าตัดใหญ่ พ่อก็พร้อมออกจากโรงพยาบาลค่ะ พวกเราตัดสินใจไม่ซื้อเตียงผู้ป่วยเพราะจะยิ่งทำให้พ่อคิดว่าตัวเองกำลังป่วย แม่จัดการสั่งโซฟาเบด (แบบที่นั่งก็ได้ นอนก็ได้) เตรียมรอไว้ พ่อต้องหยุดงานอีกเดือน ส่วนแม่ เราถือว่าแม่เราเป็นศรีภรรยาแห่งปีเลยก็ว่าได้ แม่ขอหัวหน้าทำงานที่บ้าน ออกไปพบลูกค้าเมื่อจำเป็น (แม่เรามียอดขายค่อนข้างเยอะ ค่อนข้างจำเป็นกับความอยู่รอดของบริษัท จึงยังไม่ถูกไล่ออกถึงปัจจุบันนี้ค่ะ) เนื่องจากพ่อยกไส้ขึ้นมาถ่ายที่น่าท้อง แม่ศึกษาว่าจะต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง แล้วฝากให้น้าจิ๋วช่วยซื้อให้ เวลาเปลี่ยนถุงคือช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด เพราะจะต้องทำความสะอาด อุจจาระจะออกมาเลอะรอบๆรูที่เปิดไว้ แม่จะเป็นคนเปลี่ยนให้ เอาน้ำเกลือล้าง เช็ดให้ อย่างน้อยมีสองครั้งต่อวัน บางวันพ่อท้องเสีย มันจะพุ่งออกมาเป็นน้ำ กลิ่นเกินคำบรรยายค่ะ แม่ศึกษาว่าควรจะทำอะไรให้พ่อทาน (ปกติแม่เป็นคนทำอาหารไม่เก่ง ไม่มีเวลาทำ แม่ศึกษาจนเดี๋ยวนี้ทำอาหารได้อร่อยทีเดียว) ค่าอุปกรณ์พวกนี้เดือนๆหนึ่งมี 3000 บาท แม่จ่ายหมดค่ะ ไม่อยากให้พ่อกังวล (ครอบครัวเราแยกกระเป๋ากันค่ะ)

พ่อน้ำหนักลดไป 5 กิโล ผอมลงมาก ช่วงนี้พวกเราพยายามให้พ่อกิจนเยอะๆ พยายามทำน้ำหนัก เผื่อน้ำหนักลดตอนให้คีโม ซึ่งหมอแนะนำว่าควรจะให้คีโมหลังผ่าตัดเสร็จซักเดือน ระหว่างอยู่บ้านพ่อตั้งตารอวันไปทำงาน แอบทำงานในบางครั้ง พ่อทำงานมาตลอดชีวิต คงเบื่อที่ต้องอยู่เฉยๆ

สามอาทิตย์ผ่านไป...

พ่อเริ่มไปทำงาน แต่ยังคงไม่ค่อยสะดวกเพราะติดที่ลำไส้ที่แงะขึ้นมาถ่ายที่หน้าท้อง (ต่อไปนี้เราจะเรียกมันว่า อ๊อส นะคะ) พ่อเล่าให้ฟังว่า เวลาประชุมอยู่มันก็ตด (มันตด อุจจาระ เหมือนที่ออกทางทวารล่ะคะแต่พ่อจะควบคุมไม่ได้) แล้วพ่อก็ต้องไปเปลี่ยนถุงทุกกลางวัน (พ่อเรียนจากแม่ระหว่างพักฟื้นค่ะ) อ๊อสทำให้พ่อเราออกไปพบลูกค้าต่างจังหวัดไม่ได้ เป็นสิ่งที่ขัดขวางการทำงานระดับหนึ่งค่ะ

พ่อไปทำงานได้หนึ่งอาทิตย์ พวกเราทำนัดไปหาหมอที่คลีนิกนอกเวลา โรงพยาบาลจุฬา อีกอาทิตย์ ความโชคร้ายระลอก 2 ก็มาเยือนค่ะ

จากคำบอกเล่าของแม่ พ่อบ่นปวดท้องตั้งแต่กลางคืน แต่พยายามอดทนจนถึงตอนเช้า ตอนเช้าแม่รีบพาไปหาหมอให้เอกซเรย์แล้วโทรมาหาเรา เผอิญว่าเราติดประชุมกับลูกค้าทั้งวัน แม่บอกไม่เป็นไรไม่ต้องรีบมาเพราะมีน้าจิ๋วมาอยู่เป็นเพื่อน เราบอกแม่ว่าจะไปหาตอนเย็น ช่วงเย็นญาติโทรเข้ามือถือ บอกว่าพ่อต้องผ่าตัดเพราะเจอว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี ปกติจะทำการเจาะออกมาได้ แต่เนื่องจากพ่อเราเคยผ่าใหญ่ไปแล้ว อวัยวะต่างๆอาจจะไม่อยู่ที่ๆมันควรจะเป็นบวกกับเกิดพังผืดขึ้น ทำให้ต้องผ่าตัดออกเท่านั้น ส่วนแม่เครียดจนเป็นลมไป

เราลุกลี้ลุกล้นออกจากห้องประชุม (งงกันทั้งลูกค้าเจ้านาย) แล้วบึ่งไปโรงพยาบาล ไปถึงเจอพ่อนอนตัวเหลืองตาเหลืองอยู่บนเตียงผู้ป่วย แม่นอนแบ๊บอยู่ที่เตียงผู้เฝ้าคนไข้อีกข้าง หมอให้ยานอนหลับและยาคลายเครียดซึ่งหมายความว่าแม่จะไม่ตื่นจนกระทั่งถึงเช้า เริ่มดึก ญาติเริ่มกลับ เราไปนั่งเฝ้าพ่อหน้าห้องผ่าตัด ทีนี้คนเดียว ทิ้งแม่นอนอยู่ข้างบน โชคดีที่น้องชายตามมาเลยให้น้องเฝ้าแม่อยู่ข้างบน

เป็นครั้งแรกที่เราเฝ้าหน้าห้องผ่าตัด หมอบอก 3 ชั่วโมงไม่เกินนี้ ตอนนั่งคนเดียวตอนนั้นเรางงมาก ร้องไม่ออก เป็นห่วงทั้งพ่อและแม่ ไม่ถึง 10 นาทีแฟนเรามาจากที่ทำงานมานั่งเป็นเพื่อน สักพักก็มีน้าจิ๋วมานั่งด้วย ทำให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้นพอสมควรค่ะ

สามชั่วโมงพอดีหมอเดินออกมา บอกว่าตัดถุงน้ำดีออกไปหมด ไม่มีผลกระทบอะไรนอกจาก ต่อไปดีพ่อจะกินมันๆมากไม่ได้

พ่อถามหาแม่เป็นคนแรกค่ะ เราถึงได้รู้ว่า แม่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพ่อจริงๆ น้ำหนักที่ยังทำไม่ได้ซักทีก็ลดลงไปอีก หมอบอกให้คิดในแง่ดีว่ามันมาเกิดตอนนี้ดีกว่าตอนที่ให้คีโมแล้วเพราะจะผ่าไม่ได้ เนื่องจากผลของคีโมอาจทำให้แผลไม่ประสาน

น้องชายเรา "นอน" เฝ้าแม่จริงๆค่ะตอนพาพ่อกลับมาจากห้องผ่าตัด เป็นครั้งแรกที่เราไม่สนใจเรื่องที่นอน (ปกติเราจะเป็นคนนอนยาก) หากางเกงวอร์มของน้องมาใส่ ครึ่งบนยังเป็นชุดทำงาน แล้วนอนบนพื้นข้างๆเตียงคนไข้ของพ่อ ระหว่างนั้นพยาบาลจะมาวัดความดันทั้งคืน และพ่อจะต้องไปห้องน้ำ เราจะเป็นคนพาพ่อไปเพราะแม่ยังสลบอยู่ เป็นครั้งแรกที่เราช่วยพ่อฉี่ และทำให้เรารู้ว่าแม่ต้องดูแลพ่อในการผ่าตัดครั้งที่แล้วซึ่งหนักกว่าครั้งนี้ขนาดไหน

ค่าใช้จ่ายครั้งนี้ซัดไปอีกเป็นแสนค่ะ ประกันมาซับไปครึ่งหนึ่ง แต่ที่เบิกได้ของบริษัทพ่อหมดแล้ว

เดี๋ยวมาต่อตอนที่ 3 ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่